ศาลฎีกาฯให้โอกาสกลับตัว!นายก อบต.ดงครั่งน้อย ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 1 เดือน รอลงโทษ 1 ปี

news bunhome main 0201

ศาลฎีกาฯพิพากษา ‘บุญโฮม กุลวงษ์’ นายก อบต.ดงครั่งน้อย จ.ร้อยเอ็ด จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ไม่แสดงเงินฝาก 2 บัญชี มอเตอร์ไซค์ 3 คัน หนี้สิน คู่สมรส ห้ามดํารงตําแหน่งทางการเมือง 5 ปี จําคุก 1 เดือน ปรับ 4,000 บาท แม้เคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน แต่เป็นโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน เห็นควรให้โอกาสกลับตัว รอการลงโทษ 1 ปี

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายางานว่าเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาว่านายบุญโฮม กุลวงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิด ข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตําบลดงครั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ เงินฝากธนาคาร 2 บัญชี รถจักรยานยนต์ 3 คัน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สินของของนางสาคร กุลวงษ์ คู่สมรส ได้แก่ เงินฝากธนาคาร 2 บัญชี รถยนต์ 1 คัน เงินกู้ยืมจากธนาคาร 2 บัญชี ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 23 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตําแหน่ง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่ง จําคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจําคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท แม้ผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน แต่เป็นโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน เห็นสมควรให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหากลับตัว โทษจําคุกจึงให้ รอการลงโทษไว้มีกําหนด 1 ปี ส่วนที่ผู้ร้องขอให้นับโทษจําคุก ผู้ถูกกล่าวหาต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 4226/2561 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดนั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษ จึงให้ยกคําขอในส่วนนี้ และคําขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง รายละเอียดดังนี้

ผู้ร้องยื่นคําร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนา ไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตําบล ดงครั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ของผู้ถูกกล่าวหา และลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 114 วรรคสอง (1), 167, 188 กับให้นับโทษจําคุกผู้ถูกกล่าวหาต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4226/2561 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด

ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลย ในคดีที่ผู้ร้องขอให้นับโทษต่อ

พิเคราะห์คําร้อง ประกอบเอกสารท้ายคําร้อง และคําให้การของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่งนายกองค์การบริหาร ส่วนตําบลดงครั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2557 และพ้นจากตําแหน่งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2559 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณี พ้นจากตําแหน่งโดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส ตามคําร้องหลายรายการ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบหรือไม่

เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 ให้ยกเลิก พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แต่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทําความผิดยังคงบัญญัติให้การ กระทําตามคําร้องเป็นความผิดอยู่และมีระวางโทษเท่าเดิม จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําความผิดบังคับแก่คดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคหนึ่ง แต่องค์ประกอบ ความผิดตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง ในส่วนที่ว่า จะต้องมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น เป็นคุณแก่ผู้ถูกกล่าวหามากกว่ากฎหมายเดิม ศาลจึงต้องนําพฤติการณ์ดังกล่าวมาประกอบการ วินิจฉัยการกระทําความผิดด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ที่บัญญัติให้ใช้กฎหมาย ในส่วนที่เป็นคุณไม่ว่าในทางใดส่วนมาตรการบังคับทางการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ไม่เป็นคุณแก่ ผู้ถูกกล่าวหา จึงต้องใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 บังคับแก่คดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนตําบลดงครั่งน้อย จึงเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้องภายในสามสิบวันนับแต่วันพ้นจากตําแหน่งดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4, 32 และมาตรา 33

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนตําบลดงครั่งน้อย โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา ได้แก่ เงินฝากธนาคาร 2 บัญชี รถจักรยานยนต์ 3 คัน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สินของของนางสาคร กุลวงษ์ คู่สมรส ได้แก่ เงินฝากธนาคาร 2 บัญชี รถยนต์ 1 คัน เงินกู้ยืมจากธนาคาร 2 บัญชี ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบต่อผู้ร้องเป็นหน้าที่สําคัญของ ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติ พฤติการณ์ มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตําบลดงครั่งน้อย ทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น มีผลต้องห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตําแหน่ง ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง และการกระทําของผู้ถูกกล่าวหายังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความ อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่ง ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย

ส่วนที่ผู้ร้องขอให้วินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควร แจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่ง สําหรับกรณีไม่แสดงรายการทรัพย์สินที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เลขที่ 1530 ตําบลดงครั่งใหญ่ อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด นั้น ระหว่างพิจารณา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ผู้ร้องยื่นคําแถลงข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าวต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตําแหน่งแล้ว ในส่วนนี้องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีความผิด

พิพากษาว่า นายบุญโฮม กุลวงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิด ข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มา แห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตําบลดงครั่งน้อย อําเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ประกอบพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือดํารงตําแหน่งใดใน พรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 23 กันยายน 2558 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกกล่าวหา พ้นจากตําแหน่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสอง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบ ต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีพ้นจากตําแหน่ง จําคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจําคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท แม้ผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน แต่เป็นโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน เห็นสมควรให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหากลับตัว โทษจําคุกจึงให้ รอการลงโทษไว้มีกําหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชําระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่ผู้ร้องขอให้นับโทษจําคุก ผู้ถูกกล่าวหาต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีหมายเลขแดงที่ 4226/2561 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดนั้น เนื่องจากคดีนี้ศาลรอการลงโทษ จึงให้ยกคําขอในส่วนนี้ และคําขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (คดีหมายเลขแดงที่อม./2564 วันที่ 21 ธ.ค.2564)

news bunhome