ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกายืนยกคำร้อง ‘สมคิด’ส.อบจ.นนทบุรี ยื่นบัญชีฯเท็จ คดีขาดอายุความ

news somkid main 2102

ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ‘สมคิด มากวงษ์’ ส.อบจ.นนทบุรี ยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่ง ซุกทรัพย์สินหลายรายการ ยกคำร้อง เหตุขาดอายุความแล้วลงโทษทางการเมืองไม่ได้

....................................

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ.2564 ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำพิพากษาในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้อง นายสมคิด มากวงษ์ ผู้ถูกกล่าวหา เรื่องการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สิน พิพากษายืนตามคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองที่พิพากษายกคำร้องเนื่องจากคดีขาดอายุความ

ผู้ร้อง อุทธรณ์คัดค้านคําพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองลงวันที่ 22 เดือน มกราคม พุทธศักราช 2563

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ รับวันที่ 19 เดือน ตุลาคมพุทธศักราช 2563

ผู้ร้องยื่นคําร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือ ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่ง ทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีเข้ารับตําแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี อําเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดนนทบุรี ที่ดํารงอยู่ในปัจจุบันและให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 114, 188

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองตรวจคําร้องและเอกสาร ประกอบคําร้องแล้ว พิพากษายกคําร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

พิเคราะห์คําร้องและเอกสารประกอบคําร้อง สํานวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อุทธรณ์ของผู้ร้องและคําแก้อุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดํารงตําแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2555 เข้ารับตําแหน่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2555 จนถึงวันยื่นคําร้อง ผู้ถูกกล่าวหา ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตําแหน่ง เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 โดยไม่แสดงรายการทรัพย์สิน คือ เงินฝากธนาคาร 9 บัญชี ที่ดิน 91 แปลง เงินกู้จากธนาคาร 3 บัญชี รถจักรยานยนต์ของคู่สมรส 7 คัน และรายการเงินเบิกเกินบัญชี ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) 2 บัญชี และคดีส่วนอาญาขาดอายุความแล้ว

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า เมื่อความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดง รายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตําแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ขาดอายุความทางอาญาแล้ว จะนํามาตรการบังคับทางการเมืองมาใช้บังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้หรือไม่ ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า การดํารงตําแหน่งทางการเมือง การพ้นจากตําแหน่งทางการเมือง การห้ามมิให้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง และการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ใช่สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย การห้ามมิให้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือการเพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้งเป็นมาตรการบังคับทางการเมืองที่เป็นผลของการกระทําความผิดซึ่งแยกต่างหาก จากโทษทางอาญา และบัญญัติขึ้นเพื่อมุ่งเน้นมาตรการบังคับทางการเมืองเป็นหลักสําคัญ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 นั้นมีผลบังคับใช้ขณะกระทําความผิด เพียงแต่เปลี่ยนให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองเป็นศาลที่มีอํานาจวินิจฉัย ชี้ขาดคดีแทนศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น อีกทั้งโทษทางการเมืองหรือการพ้นจากการดํารงตําแหน่งทาง การเมืองมิใช่กรณีที่สืบเนื่องมาจากการกระทําความผิดทางอาญา และการเพิกถอนสิทธิสมัคร รับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งก็ไม่ใช่เป็นเพียงโทษอุปกรณ์หรือโทษข้างเคียงของโทษทางอาญา ทั้งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติมาตรการบังคับทางการเมืองและบทลงโทษทางอาญาแยกไว้คนละหมวด ย่อมมีเจตนารมณ์ แบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ดังนั้น เมื่อมาตรการบังคับทางการเมืองไม่ใช่การลงโทษทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จึงไม่อาจนําเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความมาใช้บังคับกับ มาตรการบังคับทางการเมืองได้ นั้น เห็นว่า การเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 หรือการห้ามมิให้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 ถือเป็นมาตรการบังคับทางการเมืองซึ่งมีผลเป็นการจํากัดสิทธิของบุคคล ในการแสดงออกในฐานะพลเมืองของรัฐอันสืบเนื่องมาจากการกระทําความผิดทางอาญา โดยศาลจะ มีอํานาจบังคับใช้มาตรการดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่ศาลได้มีคําพิพากษาวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้นั้นกระทําความผิดอาญาโดยจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินภายในเวลาที่กําหนด หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ มาตรการบังคับทางการเมืองจึงเป็นผลสืบเนื่องมาจากการวินิจฉัยความรับผิดในทาง อาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 การที่ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหา ย่อมเป็นการขอให้ศาลวินิจฉัยพฤติการณ์หรือการกระทําอันเดียวกันกับที่ต้องนํามา วินิจฉัยในส่วนความรับผิดทางอาญาที่ขาดอายุความไปแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่ามาตรการบังคับทาง การเมืองรวมเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาโดยไม่อาจแยกออกจากการวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาได้ ดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ดังนั้น มาตรการบังคับทางการเมืองดังกล่าวแม้มิใช่โทษตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 18 ก็ย่อมต้องอยู่ภายใต้หลักทั่วไปของคดีอาญาซึ่งรวมถึงการอยู่ในบังคับของอายุความทางอาญา เมื่อการกระทําส่วนนี้เป็นอันขาดอายุความทางอาญาไปแล้ว ซึ่งมีผลให้สิทธินําคดีอาญามา ฟ้องระงับไปโดยศาลไม่จําต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําความผิดตามคําร้องหรือไม่ กรณีจึงไม่อาจนํามาตรการบังคับทางการเมืองมาใช้บังคับแก่ผู้ถูกกล่าวหาได้ ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของผู้ร้องไม่จําต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทําให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ ดํารงตําแหน่งทางการเมืองพิพากษายกคําร้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน (คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.1/2564 วันที่ 2 ก.พ.2564)

news somkid 2102