
“…เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากะโดงและบ้านตะโก ทั้งยังใช้วัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ย่อมถือว่าที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ เอกสารหมาย จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462…”
........................................
จากกรณีที่ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ (ศาลชั้นต้น) มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ พE-357/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พE544/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ฟ้องขับไล่ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม ออกจากที่ดินของ รฟท. บริเวณแยกเขากระโดง และเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) รวม 2 แปลง ที่ออกทับที่ดิน รฟท.ด้วย
โดยคดีนี้ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ และ น.ส.3 เลขที่ 424 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งนางประภาวัลย์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และให้นางประภาวัลย์ รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท
พร้อมทั้งให้นางประภาวัลย์ชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,224 บาท นับถัดจากวันที่มีคำพิพากษา (วันที่ 6 ส.ค.2568) เป็นต้นไป จนกว่าจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินให้แก่ รฟท. ในสภาพเรียบร้อย
ทั้งนี้ เนื่องจากศาลฯพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า ที่ดินทั้ง 2 แปลงดังกล่าว เป็นที่ดินของ รฟท. ซึ่งได้มาตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พ.ย.2462 นั้น (อ่านประกอบ : ‘ศาลจังหวัดบุรีรัมย์’พิพากษาเพิกถอน‘โฉนด-น.ส.3’ 2 แปลง ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดคำพิพากษาของศาลจังหวัดบุรีรัมย์ ในคดีดังกล่าว (คดีหมายเลขดำที่ พE-357/2567 คดีหมายเลขแดงที่ พE544/2568) ดังนี้
@‘รฟท.’อ้าง‘โฉนด-น.ส.3’ 2 แปลง อยู่บนที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’
พิเคราะห์คำฟ้อง คำให้การ พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 มีประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี เพื่อให้กรมรถไฟหลวง ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกรมรถไฟแผ่นดิน เริ่มลงมือตรวจ และวางแนวทางรถไฟที่แน่นอนช่วงตั้งแต่นครราหสีมา ข้ามลำน้ำมูลราว ตำบลท่าช้าง เข้าเขตอำเภอพิมาย ไปยังจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ จนถึงอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
ดังประมาณไว้ในแผนที่ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปี นับแต่วันประกาศเป็นต้นไป และให้แต่งตั้งข้าหลวงพิเศษจัดการที่ดินในเขตดังกล่าว ในระหว่าง 2 ปี ที่ได้กำหนดไว้นี้ ห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดจับจองที่ดินซึ่งเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีเจ้าของ
ส่วนที่ดินที่มีเจ้าของก่อนวันประกาศพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้เจ้าของเอาที่ดินที่อยู่ในเขตทางรถไฟตามที่ปรากฏในแผนที่ไปยกให้หรือขายซื้อ แลกเปลี่ยนกับผู้หนึ่งผู้ใด และห้ามมิให้สร้างบ้านเรือนหรือปลูกต้นไม้ หรือทำไร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากข้าหลวงพิเศษหรือผู้แทน
ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2464 พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 มีผลใช้บังคับ ตามเอกสารหมาย จ.3
ต่อมาวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 มีประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟแผ่นดินต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ขยายระยะเวลาการตรวจและวางทางรถไฟ ช่วงระหว่างจังหวัดสุรินทร์ถึงอุบลราชธานีออกไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2464 ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟแผ่นดินต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 เอกสารหมาย จ.4
ต่อมาวันที่ 27 กันยายน 2465 มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ให้ยกเลิกประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟฯลฯ ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 และวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 และให้ใช้พระราชกฤษฎีกานี้แทน เนื่องจากได้ตรวจแนวทางรถไฟได้แน่นอนแล้วเสร็จตั้งแต่จังหวัดสุรินทร์ถึงจังหวัดอุบลราชธานี
และให้กรมรถไฟแผ่นดินเป็นธุระในเรื่องจัดหาซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นตามที่เห็นว่าจำเป็น เพื่อสร้างทางรถไฟ ส่วนการพิจารณาถึงเรื่องสิทธิค่าทำขวัญให้ใช้ข้อความทั้งปวงที่มีปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ส่วนที่ 2 ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นซึ่งต้องจัดซื้อนั้น มีระบุไว้ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้
และให้นับว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระราชกฤษฎีนี้ด้วย เพื่อให้สะดวกแก่จัดหาซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นและเพื่อจัดการตามที่จําเป็นเพื่อกำหนดและใช้เงินค่าทำขวัญ
มีการแต่งตั้งข้าหลวงพิเศษเป็นกรรมการจัดซื้อที่ดิน ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง เอกสารหมาย จ.5
ในระหว่างการตรวจและวางแนวทางรถไฟสายดังกล่าว มีการจัดทำแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 ถึงที่ 650ตามสำเนาแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.5
โจทก์ (รฟท.) จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 โดยรับโอนกิจการทรัพย์สินและหนีสินจากกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 10
จำเลย (นางประภาวัลย์) มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 120612 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.3 และมีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เอกสารหมาย ล.4 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1
@พยาน'โจทก์-จำเลย'เบิกความ'โต้แย้ง'ปมที่ดิน'เขากระโดง'
คดีมีประเด็นเห็นควรให้วินิจฉัยประการแรกว่า คำขอให้จำเลยเพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 เป็นคำขอท้ายฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 วรรคแปด บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดแล้ว ให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นตามวิธีการที่อธิบดีกำหนด”
ดังนั้น หากปรากฎข้อเท็จจริงว่าการอกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งสองฉบับเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อน ศาลย่อมมีอำนาจเพิกถอนเสียได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว คำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยประการต่อมาว่า ที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 120612 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 เป็นของโจทก์ (รฟท.) หรือจำเลย (นางประภาวัลย์)
โจทก์มี นายชลาวุฒ เวียงเงิน หัวหน้ากองสำรวจและเอกสารสิทธิของโจทก์ เป็นพยานเบิกความว่า พยานมีหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมเอกสารสิทธิที่ดินรถไฟในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
จากการตรวจสอบพบว่าโจทก์ (รฟท.) เป็นเจ้าของที่ดินรถไฟ นับตั้งแต่ส่วนแยกจากสถานีรถไฟบุรีรัมย์ไปจนถึงบริเวณเชิงเขากระโดงระยะทาง 8 กิโลเมตร โดยตั้งแต่กิโลเมตรที่ 4 ถึง 8 มีความกว้างจากทางรถไฟด้านละ 1,000 เมตร เนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือเส้นทางนครราชสีมาไปอุบลราชธานี
โดยมีความเป็นมา ในปี 2462 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าให้กรมรถไฟหลวงสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาไปยังอุบลราชธานีต่อจากทางรถไฟเดิมให้แล้วเสร็จ ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2462
โดยให้อำนาจข้าหลวงพิเศษจัดการที่ดินเป็นผู้รับผิดชอบตรวจวางแนวทาง และจัดซื้อที่ดินตามความจำเป็นสำหรับการก่อสร้างและการเดินรถไฟตามแนวทาง ซึ่งได้ประมาณไว้ในแผนที่ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เอกสารหมาย จ.2
ต่อมาในปี 2464 การตรวจและวางแนวทางรถไฟสายดังกล่าวในช่วงเขตจังหวัดสุรินทร์ถึงจังหวัดอุบลราชธานียังไม่แล้วเสร็จ จึงมีประกาศพระราชกฤษฎีกาขยายระยะเวลาในการตรวจและวางแนวทางรถไฟในการสร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานีออกไปอีก 1 ปี ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟแผ่นดินต่อจากนครราชสีมา ฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 เอกสารหมาย จ.4
ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดิน เห็นว่า มีความจำเป็นต้องใช้หิน ดิน และวัสดุอื่นๆ สำหรับการก่อสร้างทางรถไฟและการเดินรถ จึงสำรวจและวางแนวทางรถไฟแยกจากเส้นทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานีบริเวณกิโลเมตรที่ 375+650 ออกไปยังที่ดินบริเวณเขากระโดงและบ้านตะโกเป็นระยะทางรวม 8 กิโลเมตร
ทางช่วง 4 กิโลเมตรแรก ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 0+000 ถึงกิโลเมตรที่ 3+000 มีความกว้างจากกึ่งกลางทางรถไฟข้างละ 15 เมตร และทางถัดไปจนถึงกิโลเมตรที่ 4+540 มีความกว้างจากกึ่งกลางทางรถไฟข้างละ 20 เมตร เป็นที่ดินซึ่งมีผู้ครอบครองทำประโยชน์ในพื้นที่ กรมรถไฟหลวงจึงจ่ายเงินค่าทำขวัญให้แก่ผู้ทำประโยชน์ 18 ราย
แต่ทางอีก 4 กิโลเมตรถัดไป ตั้งแต่กิโลเมตรที่ 4+450 ถึงกิโลเมตรที่ 8+000 มีความกว้างจากกึ่งกลางทางรถไฟข้างละ 1,000 เมตร ในขณะนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า และมีสภาพเป็นป่าไม้ไม่มีเจ้าของ กรมรถไฟหลวงจึงเข้าครอบครองและกำหนดให้เป็นที่ดินเพื่อประโยชน์แก่กิจการรถไฟสำหรับลำเลียงหิน ระเบิดหินและย่อยหินบริเวณเขากระโดง เพื่อใช้ในการก่อสร้างและเดินรถไฟ
กรมรถไฟหลวงจัดทำแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟ พร้อมระบุรายชื่อผู้เป็นเจ้าของที่ดิน 18 ราย รวมถึงตำแหน่งที่ดินแต่ละแปลงซึ่งมีการจัดซื้อไว้ในแผนที่ หากพื้นที่บริเวณใดไม่มีเจ้าของทำประโยชน์ในแผนที่จะระบุว่าเป็นพื้นที่ป่าหรือป่าไม้เบญจพรรณ หรือเป็นเขา ตามสำเนาแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.6
ต่อมาในปี 2467 นายช่างก่อสร้างเอกสายตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทำหนังสือถึงผู้รักษาการแทนผู้บัญชาการกรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม เพื่อนำเสนอใบสำคัญแสดงรายละเอียดค่าทำขวัญ สำหรับซื้อที่ดินทางแยกไปเขากระโดงและบ้านตะโก ระบุว่า การจ่ายเงินค่าทำขวัญสำหรับซื้อที่ดินทางแยกไปเขากระโดงและบ้านตะโกแก่ผู้เป็นเจ้าของที่ดินรวม 18 ราย เป็นการหมดสิ้น
สำหรับที่ดินในเขตมณฑลนครราชสีมาในทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตามสำเนาบันทึกกรมรถไฟแผ่นดิน ฉบับลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2467 และใบสำคัญแสดงรายละเอียดแห่งค่าทำขวัญเอกสารหมาย จ.7 พยานตรวจสอบตำแหน่งที่ดินรถไฟกับกรมแผนที่ทหารพบว่า กรมแผนที่ทหารมีการสำรวจภูมิประเทศในจังหวัดบุรีรัมย์ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สถานีรถไฟบุรีรัมย์ไปจนถึงที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง
โดยเริ่มทำการสำรวจภาคสนามในพื้นที่ตั้งแต่ปี 2464 เสร็จสิ้นในปี 2465 พบว่า มีทางรถไฟแยกออกไปทางเขากระโดง โดยไปสิ้นสุดที่โรงงานทุบหิน สอดคล้องกับแผนที่ L7017 ของกรมแผนที่ทหาร ซึ่งจัดทำขึ้นโดยวิธีการไฟโตแกรมเมตรี
จากรูปถ่ายทางอากาศที่ถ่ายเมื่อเดือนธันวาคม 2526 ถึง 2527 รวมถึงภาพถ่ายทางอากาศครอบทับระวางที่ดินบริเวณเขากระโดงในปัจจุบัน ตามสำเนาแผนที่ L7017 และภาพถ่ายทางอากาศเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.11 ตามลำดับ ปัจจุบันยังไม่มีพระราชโองการพิเศษให้ที่ดินรถไฟตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินรถไฟ เอกสารหมาย จ.6 บริเวณเขากระโดงขาดจากการเป็นที่ดินรถไฟ ที่ดินตามแผนที่ดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์
พยานได้เข้าร่วมนำชี้แนวเขตที่ดิน เพื่อจัดทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตั้งอยู่ในเขตที่ดินรถไฟทางแยกเขากระโดง โดยมีตำแหน่งที่ตั้งตามแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศแสดงสัญลักษณ์ชี้ด้วยลูกศรแดง ระหว่างกิโลเมตรที่ 6+665.16 ถึงกิโลเมตรที่ 6+724.14
โดยตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 120621 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 90 เมตร และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 80 เมตร
จำเลย เข้าครอบครองทำประโยชน์ล้อมรั้วคอนกรีตและรั้วลวดหนามโดยรอบที่ดิน ตามสำเนาแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งพื้นที่พิพาท สำเนาแผนผังแสดงระยะห่างจากศูนย์กลางทางแยกเขากระโดง และภาพถ่ายแสดงการใช้ประโยชน์ในที่ดินพิพาท เอกสารหมาย จ.16 ถึง จ.18
ส่วนจำเลย (นางประภาวัลย์) อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 120612 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4
ที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 120612 แบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 8811 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามสำเนาคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดิน และคำขอแบ่งได้มาโดยการครอบครองเอกสารหมาย ล.5 และ ล.6
เดิมที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.4 และที่ดินโฉนดเลขที่ 8811 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 212 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เอกสารหมาย ล.7 ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีการครอบครองทำประโยชน์มาตั้งแต่ก่อนปี 2510
ต่อมามีการออกเอกสารสิทธิตามเอกสารหมาย ล.7 ก่อนที่ทางราชการจะออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 เอกสารหมาย ล.3 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 เอกสารหมาย ล.4 ซึ่งได้มีการตรวจสอบสิทธิก่อนแล้ว
หลังจากได้รับเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินเรื่อยมาโดยทางราชการไม่เคยเพิกถอนเอกสารสิทธิดังกล่าว สิทธิในที่ดินจึงเป็นของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 เอกสารหมาย ล.4 มาจากนางทอง เครือณรงค์สันติ ตามสำเนาหนังสือสัญญาแบ่งชายเอกสารหมาย ล.16 และซื้อที่ดินตามโฉนดเลขที่ 120612 เอกสารหมาย ล.3 มาจากนายแผง ลครวงศ์ ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8811 ตามสำเนาโฉนดที่ดิน เอกสารหมาย ล.17
เดิมที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีเอกสารสิทธิ เป็นแบบแจ้งสิทธิครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ตามเอกสารหมาย ล.18 ซึ่งมีชื่อนายแผง ลครวงศ์ เป็นผู้ครอบครองที่ดิน โดยนายแผงแจ้งแก่จำเลยว่า ครอบครองที่ดินมาประมาณ 30 ปี
และจำเลย มีนายสมาน พลศักดิ์ เจ้าพนักงานที่ดินเป็นพยานเบิกความว่า พยานรับราชการอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ มีหน้าที่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินและจดทะเบียนนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ที่ดินพิพาทในคดีนี้ เดิมมีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 8811 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งออกให้แก่ผู้มีสิทธิในที่ดินตามหลักฐานเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 57 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งออกให้ตั้งแต่ปี 2510
โดยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ออกตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 62 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามเอกสารหมาย ล.18 ซึ่งระบุว่า มีการครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2468
ในการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 8811 มีการแจ้งเจ้าของที่ดินแปลงข้างเคียง ซึ่งโจทก์ (รฟท.) มาร่วมสอบเขตและลงลายมือชื่อรับรองว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวไม่เหลื่อมล้ำแนวเขตที่ดินแปลงข้างเคียง รวมถึงที่ดินของโจทก์ตามสำเนาใบไต่สวนเอกสารหมาย ล.19
ต่อมาในปี 2519 ที่ดินโฉนดเลขที่ 8811 มีการรังวัดแบ่งแยก ซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อรับรองว่า สามารถแบ่งแยกโฉนดที่ดินได้ ตามสำเนารายงานการรังวัดเอกสารหมาย ล.20 เมื่อการรังวัดเสร็จสิ้น มีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 8811 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.21 แล้วจึงมีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 8801 ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.3
@ศาลฯชี้เขากระโดงที่ดินรถไฟ-ห้ามเอกชนถือกรรมสิทธิ์
เห็นว่า นายชลาวุฒพยานโจทก์ (รฟท.) เบิกความประกอบพยานเอกสารตามอำนาจหน้าที่ซึ่งตนเองรับผิดชอบ ในการตรวจสอบที่มาของที่ดินโจทก์ น่าเชื่อว่า การสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี เป็นระยะทางไกลหลายร้อยกิโลเมตรต้องใช้หินจำนวนมาก จึงต้องมีการกำหนดเขตสำรวจหินไว้ให้เพียงพอต่อการนำหินออกมาใช้สำหรับสร้างทางรถไฟ
หากมีเจ้าของผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินช่วงกิโลเมตรที่ 6 ถึง 7 ในขณะนั้นจริง ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดินย่อมดำเนินการจัดซื้อที่ดินบริเวณดังกล่าวจากผู้ครอบครองทำประโยชน์อย่างแน่นอน
ดังเช่นผู้มีรายชื่อเป็นเจ้าของที่ดินในช่วง 4 กิโลเมตรแรก รวม 18 ราย ตามที่ปรากฏอยู่ในแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งปรากฏว่า มีการจ่ายเงินค่าทำขวัญให้แก่เจ้าของที่ดินทั้งสิบแปดราย ตามสำเนาใบสำคัญแสดงรายละเอียดแห่งค่าทำขวัญ เอกสารหมาย จ.9
นอกจากนี้ แผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.6 และแผนที่ของกรมแผนที่ทหารเอกสารหมาย จ.9 เป็นเอกสารราชการที่จัดทำขึ้นก่อนเกิดเหตุเป็นเวลานานกว่า 90 ปี สัญลักษณ์ที่ระบุในแผนที่ทั้งสองฉบับ มีความสอดคล้องกันว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นป่าไม้ ไม่มีเจ้าของครอบครองทำประโยชน์
อีกทั้งจำเลย และนายสมาน พยานจำเลย ยังเบิกความสอดคล้องกันว่า เดิมที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีเอกสารสิทธิเป็นแบบแจ้งสิทธิครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ตามเอกสารหมาย ล.18 ซึ่งระบุว่า นายแผง ลครวงศ์ เป็นผู้ครอบครองที่ดินมาตั้งแต่ปี 2468 อันเป็นเวลาภายหลังจากที่ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดินได้สำรวจและวางแนวการก่อสร้างทางรถไฟในบริเวณดังกล่าวแล้ว
พยานหลักฐานที่โจทก์ (รฟท.) นำสืบมา จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ เอกสารหมาย จ.6 เป็นที่ดิน ซึ่งข้าหลวงพิเศษได้สำรวจ และวางแนวการก่อสร้างทางรถไฟไว้ ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เพื่อเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากระโดง ซึ่งเป็นแหล่งหินที่ใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟ
โดยจัดซื้อที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรแรก จากเจ้าของที่ดิน 18 ราย และเข้ายึดถือครอบครองที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่มีเจ้าของ โดยพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ระบุไว้ชัดแจ้งว่า ในช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้ผู้ใดไปจับจองที่ดิน ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ
แสดงให้เห็นว่า ข้าหลวงพิเศษที่ได้รับแต่งตั้งตามพระราชกฤษฎีกาและกรมรถไฟแผ่นดิน มีอำนาจกำหนดพื้นที่ ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของให้เป็นที่หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการก่อสร้างทางรถไฟได้
เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากะโดงและบ้านตะโก ทั้งยังใช้วัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ย่อมถือว่าที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟเอกสารหมาย จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เอกสารหมาย จ.2
อันเป็นที่ดินที่จัดหามา เพื่อใช้ในการสร้างทางรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 มาตรา 3 (2) ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
กล่าวคือ ห้ามไม่ให้ยกกำหนดอายุความขึ้นต่อสู้สิทธิของแผ่นดินเหนือที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นของรถไฟ และห้ามไม่ให้เอกชนหรือบริษัทใดๆ หวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินรถไฟหรืออสังหาริมทรัพย์อื่น
เมื่อโจทก์ (รฟท.) จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้โอนทรัพย์สินและหนี้สินของกรมรถไฟแผ่นดินให้แก่โจทก์
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าว เมื่อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 มีตำแหน่งที่ตั้งอยู่ระหว่างกิโลเมตรที่ 6 ถึงที่ 7 ตามสำเนาแผนที่แสดงตำแหน่งที่ตั้งพื้นที่พิพาทเอกสารหมาย จ.16 โดยที่ดินตามโฉนดเลขที่ 120612 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 90 เมตร
และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตั้งอยู่ห่างจากศูนย์กลางทางรถไฟสายทางแยกไปเขากระโดงไม่เกิน 80 เมตร ตามสำเนาแผนผังแสดงระยะห่างจากศูนย์กลางทางแยกเขากระโดง เอกสารหมาย จ.17 ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจึงตั้งอยู่ในที่ดินช่วง 4 กิโลเมตรหลัง ตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ เอกสารหมาย จ.6
แม้จำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามที่กล่าวอ้าง ก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 มาตรา 6 (1) และ (2) พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ จึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลง ตามแผนที่พิพาทเอกสาร จล.1 การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 จึงเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อน
โจทก์ (รฟท.) มีสิทธิขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องดำเนินการดังกล่าวด้วยตัวเอง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายที่ดิน
จำเลยไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมในอันที่จะต้องปฏิบัติต่อโจทก์ จึงไม่อาจบังคับให้จำเลยเพิกถอนโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว หากจำเลยเพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยตามคำขอของโจทก์ได้
@พิพากษาเพิกถอน‘โฉนด-น.ส.3’ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลย (นางประภาวัลย์) ต้องรับผิดชำระเงินให้แห้แก่โจทก์ (รฟท.) หรือไม่ เพียงใด
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 เป็นของโจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดิน ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
หากจำเลยไม่ดำเนินการดังกล่าว ย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 410
ส่วนที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยชำระเงินปีละ 43,680 บาท หรือเดือนละ 3,640 บาท นับถัดจากวันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยนั้น
โจทก์ (รฟท.) มี นางสาวเบญจพร เหล่าโนนคร้อ เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นหัวหน้างานฝ่ายบริหารทรัพย์สิน มีหน้าที่วิเคราะห์ผลตอบแทนการให้เช่าที่ดินของโจทก์ โจทก์กำหนดอัตราค่าเช่าที่ดิน ตามระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 129 ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.23
ที่ดินบริเวณเขากระโดงมีราคาประเมินรอบปีบัญชี 2566 ถึง 2569 อัตราตารางวาละ 1,000 บาท ตามสำเนาแผนที่ ประกอบการประเมินราคาที่ดินเอกสารหมาย จ.24 ต่อมาโจทก์กำหนดอัตรามาตรฐานเชิงพาณิชย์และชั้นสถานีเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกำหนดให้พื้นที่ย่านสถานีรถไฟบุรีรัมย์เป็นสถานีชั้นสาม
โดยกำหนดอัตรามาตรฐานค่าเช่าเชิงพาณิชย์สำหรับพื้นที่เขตทางในอัตราตารางเมตรละ 40 บาท ต่อปี ตามสำเนาหนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่อง ขออนุมัติเรื่องขออนุมัติปรับปรุงอัตรามาตรฐานเชิงพาณิชย์และขั้นสถานีเพื่อการบริหารทรัพย์สินเอกสารหมาย จ.25
ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตทางของสถานีรถไฟบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นสถานีรถไฟชั้นสาม โจทก์กำหนดอัตราค่าเช่ามาตรฐานเชิงพาณิชย์ไม่ต่ำกว่าอัตราตารางเมตรละ 40 บาท ต่อปี ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่รวม 967.20 ตารางเมตร โจทก์อาจนำออกหาประโยชน์คิดเป็นเงินได้ไม่น้อยกว่าปีละ 38,688 บาท หรือเดือนละ 3,224 บาท
เห็นว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายในอัตราตารางเมตรละ 40 บาท ต่อปี ตามระเบียบของทางราชการ ประกอบกับที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตั้งอยู่ใกล้กับถนนสาธารณะ และแหล่งท่องเที่ยวซึ่งมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์
อีกทั้งจำเลยยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวมีหอพักให้เช่าเดือนละประมาณ 3,000 บาท ห้องหนึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 4 ตารางเมตร โดยมิได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างให้เห็นข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีก จึงเป็นอัตราที่เหมาะสมแล้ว
เมื่อแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1 ระบุว่า ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมีเนื้อที่รวม 241.80 ตารางวา คำนวณเป็นตารางเมตร ได้ 967.20 ตารางเมตร จึงเห็นควรกำหนดให้ในอัตราปีละ 38,688 บาท หรือเดือนละ 3,224 บาท
พิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 120612 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 424 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1
และให้จำเลย รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินกับบริวาร ออกไปจากที่ดินพิพาท และส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,224 บาท นับถัดจากวันที่มีคำพิพากษา (วันที่ 6 สิงหาคม 2568) เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
ค่าฤชาธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก
สำหรับคดีนี้ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม (จำเลย) มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลอุทธรณ์ฯได้
อ่านประกอบ :
‘รฟท.’ยื่นฟ้อง‘ศาลบุรีรัมย์’ขอเพิกถอนโฉนด-ขับไล่‘กรุณา ชิดชอบ-ศิลาชัยฯ’พ้น‘เขากระโดง’
เปิดหนังสือ‘ป.ป.ช.’ทวงคดี‘เขากระโดง’ก่อน‘วีริศ’อนุมัติฟ้องขับไล่‘กรุณา ชิดชอบ-บ.ศิลาชัย’
‘พิพัฒน์’จ่อเชิญ ‘วีริศ’ หารือไขก๊อกผู้ว่ารถไฟ แต่ไม่รั้ง ถ้าต้องการจะไป
วีริศ ไขก๊อก ‘ผู้ว่าฯรถไฟ’ อ้างพ่อแม่แก่มาก ต้องการการดูแล
‘ศาลจังหวัดบุรีรัมย์’พิพากษาเพิกถอน‘โฉนด-น.ส.3’ 2 แปลง ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’
ย้อนรอยคดี‘เขากระโดง’(จบ) ‘กรมที่ดิน’แย้งคำวินิจฉัย‘กฤษฎีกา’ สั่งไม่เพิกถอนโฉนด‘ชิดชอบ’
ย้อนรอยคดี‘เขากระโดง’(1) ข้อเท็จจริงโฉนด 2 แปลง-‘ชิดชอบ’ให้ข้อมูล‘คกก.สอบสวน’ค้านเพิกถอน
ย้อนรอยคดี‘เขากระโดง’(1) ข้อเท็จจริงโฉนด 2 แปลง-‘ชิดชอบ’ให้ข้อมูล‘คกก.สอบสวน’ค้านเพิกถอน
เปิดที่ดิน 2 แปลงแรกเขากระโดง รฟท.จ่อฟ้องขับไล่-'กรุณา ชิดชอบ-บ.ศิลาชัย' ผู้ครอบครอง
‘ทวี’ ยกคำตัดสิน 9 ครั้งย้ำชัด ‘เขากระโดง’ ที่รถไฟ ‘ทรงศักดิ์’โต้คำวินิจฉัยไม่เคยบอก
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(จบ) รฟท.โต้ปม‘แผนที่ฯ’-ขอศาลฯสั่งถอนโฉนด‘เขากระโดง’
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(3) คำพิพากษา'เขากระโดง'ผูกพันอธิบดี-ใช้ดุลพินิจมิชอบ
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(2) ‘คกก.สอบสวน’ยุติเรื่องฯไม่รอผลรังวัด‘เขากระโดง’
เปิดคำฟ้องคดีเพิกถอนคำสั่ง'กรมที่ดิน'(1) ยก‘คำพิพากษา-กฤษฎีกา'ยัน'รฟท.'เจ้าของ'เขากระโดง'
‘มหาดไทย’ รื้อใหม่กระบวนการ ‘เขากระโดง’ รอผลศาลปค.-รฟท.ฟ้องรายแปลงเท่านั้น
‘รฟท.’ โต้ ดีเอสไอ เปล่าเลื่อนแจ้งความ ‘เขากระโดง’ ชี้มีนัดให้การ 5 ก.ย. 68
‘ดีเอสไอ’เตือน‘รฟท.’ไม่แจ้งความ‘เขากระโดง’ละเว้นฯ เปิดสองมุม‘ภูมิธรรม-อนุทิน'
‘ภูมิธรรม’ เผย ไทม์ไลน์ เซ็นเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง สิ้นเดือนก.ย.นี้
พบอีก! ‘สุทัศน์’อนุกรรมการกม.‘รฟท.’ปี 63 เคยเป็นทนายให้‘ชาวบ้าน’35 ราย คดี‘เขากระโดง’
เซ็นเพิกถอนเขากระโดงส่อเลื่อน! อธิบดีกรมที่ดินเอ็นข้อหัวไหล่ฉีกขาด ส่งตัวผ่าตัดศิริราช
DSI ลงพื้นที่'บุรีรัมย์'พบนิติกรรมต้องสงสัยโฉนด‘เขากระโดง’หลายแปลง-ส่อพัฒนาเป็นคดีพิเศษ
ย้ำ‘รฟท.’เจ้าของ‘เขากระโดง’ แจ้งออก‘ส.ค.1’ยืนยันสิทธิฯ-โต้ปมแนวเขตที่ดินข้างละ 40 เมตร
'ภูมิธรรม' ส่งตัวแทนยื่นร้อง 'ทิวา' ทนายเขากระโดง แถลงข่าวใช้ถ้อยคำรุนเเรงโจมตีผิดมรรยาท
ไม่ขัดกม.-มรรยาทฯ! ‘ชนินทร์’แจงช่วงนั่ง‘ปธ.อนุฯกฎหมาย’รฟท. ไม่เกี่ยวข้องคดี'เขากระโดง'
ส่อขัด‘มรรยาท’! พบ‘ชนินทร์’ทนายคดี‘เขากระโดง’ เคยนั่ง‘ปธ.อนุกรรมการกม.’รฟท.
รฟท.แจ้งครอบครอง'เขากระโดง'ป้องกัน'บุกรุก' ก่อน'กฤษฎีกา'ชี้'ที่ดินรถไฟ'ไม่ต้องออก ส.ค.1
ยังรอ มท.เพิกถอนโฉนด! รฟท. ยกคำตัดสินศาลปค.ที่ดินทั้ง 5,083 ไร่เป็นของการรถไฟฯ
‘ภูมิธรรม’ ยัน ‘เขากระโดง-อัลไพน์’ มาตรฐานเดียว จับตาชงครม.ตั้ง ‘อธิบดีกรมที่ดิน’
DSI จ่อฟัน ‘อาญา-ฟอกเงิน’ บุกรุก ‘เขากระโดง’ - อ้าง รฟท. เจ้าของที่ดิน 5 พันไร่
‘กรมที่ดิน’ชี้ 3 แนวทางเพิกถอน‘โฉนด’ม.61 หลัง‘เดชอิศม์’ตั้ง‘กก.ตรวจสอบฯ’ปม‘เขากระโดง’
เปิดปฏิบัติการ‘คู่ขนาน’ทวงคืน‘เขากระโดง’ บี้ทบทวนคำสั่ง‘กรมที่ดิน’-ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
รฟท.อุทธรณ์ศาลปค. 2 ประเด็น ‘เขากระโดง’ แล้ว - จ่อส่งข้อมูลให้คกก.ชุด ‘ภูมิธรรม’
‘ภูมิธรรม’ สั่ง ‘อธิบดีที่ดิน’ แจงคดีเขากระโดงใน 7 วัน ยันทำไม่เว้นแม้แต่ ‘อัลไพน์’
ฉบับเต็ม! คำวินิจฉัย‘ศาลปค.’ไม่รับฟ้องบางข้อหา-ตีตกปม‘รฟท.’ขอสั่งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฟ้อง 4 ข้อหาไม่รับ 2!‘ศาลปค.’ตีตกคำขอ‘รฟท.’สั่ง‘กรมที่ดิน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’995 ฉบับ
‘ภูมิธรรม’เผยเตรียมเซ็นคำสั่งตั้ง คกก.ทบทวนพิพาท ‘เขากระโดง’
‘ภูมิธรรม’ โยนรมว.จริงมาทำ ‘เขากระโดง-อัลไพน์’ - ปัดคุยแต่งตั้งโยกย้าย
มีอิทธิพลในพื้นที่-บุคลากรไม่พอ! เปิดหนังสือ‘รฟท.’ขอ‘อสส.’ฟ้องถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘อนุทิน’ แจงเขากระโดง-อัลไพน์ ไม่เกี่ยวกัน นายกฯไม่เคยแทรกแซง
‘ประชาชน’ อัดรัฐบาลไม่จริงใจแก้ ‘อัลไพน์-เขากระโดง’ จับเป็นตัวประกันเจรจา กล่าวหาแรงหวังฮุบที่วัด
‘สร.รฟท.’บุก‘ปปป.’กล่าวโทษ‘อธิบดีกรมที่ดิน-คกก.สอบสวน’ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ร่างคำฟ้องยื่นศาลปค. ‘เขากระโดง’ชี้คำสั่งคกก.มาตรา 61 ไม่ชอบ
‘สุริยะ’ ยังไม่ตอบ ‘เขากระโดง’ จะฟ้องรายแปลงหรือไม่ - น้อมรับศาลไม่เพิ่มผู้บริหารแผน ‘บินไทย’
ฉบับเต็ม! เปิดหนังสือแจ้งผลอุทธรณ์ฯ ‘มท.’ชี้‘กรมที่ดิน’ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ชอบแล้ว
‘อนุทิน’ เผยผลอุทธรณ์ ‘เขากระโดง’ ยืนตามมติเดิม ไม่เพิกถอน
ชาวบ้าน 35 ราย กลับลำ เบรกเซ็นสัญญาเช่าที่ดิน‘เขากระโดง’อ้างแพง-‘รฟท.’เร่ง‘บังคับคดี’
‘กรมที่ดิน’โต้‘รฟท.’อ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของ‘เขากระโดง’ 5 พันไร่ ขยายความเกิน‘คำพิพากษา’
‘สุริยะ’ย้ำ‘เขากระโดง’ที่ดินรถไฟฯ พร้อมให้ชาวบ้านเช่าราคาถูก-‘อนุทิน’รอฟังคำสั่ง‘ศาลปค.’
เทียบชัดๆ! คำพิพากษา‘ศาลฎีกา’ VS ความเห็น‘คกก.สอบสวน’ ชี้แนวเขตที่ดินรถไฟฯ‘เขากระโดง’
เผือกร้อน‘สุริยะ-รฟท.’ฟ้อง‘ศาลยุติธรรม’เพิกถอนโฉนด‘รายแปลง’ ปิดฉากมหากาพย์‘เขากระโดง’!
‘สุริยะ-รฟท.’ รอผลอุทธรณ์กรมที่ดิน ‘เขากระโดง’ - ‘วีริศ’ชี้ต้องรอบคอบ หวั่นโดน 157
บังคับคดีแล้ว! โชว์เอกสาร‘ศุภวัฒน์’คืนที่ดิน‘เขากระโดง’ 24 ไร่-ชดใช้‘รฟท.’ 4.8 ล้าน
มท.1ชี้ออกสัญญาเช่า 'เขากระโดง' พิสูจน์สิทธิก่อน-'กรมที่ดิน'ย้ำรถไฟฯไม่มีแผนที่ท้าย'พ.ร.ฎ.'
ฉบับเต็ม!หนังสืออุทธรณ์‘รฟท.’(จบ) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ละเลยต่อหน้าที่ ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(2) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ใช้ดุลพินิจมิชอบ ไม่ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(1) ที่ดิน‘เขากระโดง’เป็นของ‘รถไฟฯ’-ไม่ต้องพิสูจน์สิทธิ์อีก
'วีริศ' ส่งหนังสือถึง 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนมติคกก.สอบสวน 'เขากระโดง'
สอบเขากระโดงล่ม! กมธ.ที่ดินเผย องค์ประชุมไม่ครบก่อนขอมติ
‘เลขาฯกฤษฎีกา’ ชี้ต้องยึดคำพิพากษาเป็นหลัก ‘เขากระโดง’ ‘รฟท.-กรมที่ดิน’ แค่สื่อสารไม่ตรงกัน
‘กรมที่ดิน’ แจง ‘ที่ดินเขากระโดง’ ‘รถไฟ’ไร้เอกสารหลักฐานยืนยัน
‘รถไฟ’ ยื่นศาลปค.อธิบดีทำไม่ครบที่ดิน‘เขากระโดง’-‘อนุทิน’ยันไม่มีช่วยใคร
ย้อนคำวินิจฉัย'ศาลปค.' คดีถอนโฉนด'เขากระโดง'-ก่อน‘กรมที่ดิน’โยน‘รฟท.’ฟ้องขับไล่'รายแปลง'
ไม่ขัดแย้งคำพิพากษา!‘กรมที่ดิน’แจงไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’-แนะ‘รฟท.’ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ จี้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง มาเป็นของ รฟท.
‘รฟท.’เร่งสรุปท่าทีทวงคืน‘เขากระโดง’-ข้องใจ‘คกก.สอบสวน’ไม่รับ‘แผนที่’ยกสู้คดีในศาลจนชนะ
ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
โยน‘รฟท.’พิสูจน์สิทธิ์ในศาล! ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’มีมติไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 5 พันไร่
‘สนง.ที่ดินบุรีรัมย์’ส่งหนังสือแจ้ง‘รฟท.’รังวัด‘เขากระโดง’เสร็จแล้ว-พร้อมแนบระวางแผนที่
รังวัดฯเสร็จแล้ว! ‘กรมที่ดิน’จ่อชงข้อมูล‘คณะกรรมการสอบสวน’ชี้ขาดเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ลงพื้นที่นำชี้แนวเขต'เขากระโดง'-'กรมที่ดิน'แจงกม.ขีดเส้นรังวัดฯให้เสร็จภายใน 50 วัน
ย้อนไทม์ไลน์ 1 ปี เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ไม่คืบหน้า-‘กรมที่ดิน’นัด'รฟท.'ชี้เขตรังวัดที่ดิน
8 เดือนไม่เพิกถอน! ‘กรมที่ดิน’รังวัดเขตที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ใหม่-รฟท.ติดเรื่องค่าใช้จ่าย
เปิดหนังสือทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ อ้าง 9 ข้อเท็จจริง ค้าน‘คกก.สอบสวน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
แผนที่เขตรถไฟฯมีพิรุธ! ทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ยกต่อสู้ ปมถอนโฉนดเขากระโดง-ชี้ศก.บุรีรัมย์ชะงัก
ไม่เกี่ยวถอนโฉนดเขากระโดง!‘ชยาวุธ’เปิดใจลาออกอธิบดีที่ดินดูแลภรรยาป่วย
เปิดตำแหน่งโฉนด’ตระกูล‘ชิดชอบ’ทับที่รถไฟฯ‘เขากระโดง’-‘ฝ่าย กม.’แจงซื้อโดยสุจริต
จ่อโดนเพิกถอน! ชัดๆเปิด‘โฉนด-น.ส.3’ตระกูล’ชิดชอบ’ 20 แปลง 288 ไร่ ทับที่ดิน‘เขากระโดง’
ก่อน‘ชยาวุธ’ทิ้งเก้าอี้อธิบดี! พบ‘คกก.สอบสวน’แจ้งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’รุกที่หลวง 2 แปลง
'อนุทิน'ปัดการเมืองกดดัน 'อธิบดีกรมที่ดิน'ยื่นลาออก อย่าโยงปมพิพาท‘เขากระโดง’
การบ้าน‘อนุทิน’นั่ง‘มท.1’! แก้โจทย์สายสีเขียว-เพิกถอนโฉนดเขากระโดง-ต่อสัญญาซื้อน้ำ‘กปภ.’
ลุยเพิกถอนโฉนด 5 พันไร่!‘กรมที่ดิน’ไม่อุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’-แจ้งศาลฯตั้ง‘คกก.สอบสวน’แล้ว
‘รฟท.’ยื่นอุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’ปมเรียกค่าเสียหาย 707 ล้าน-รอ‘ศาลปค.’แจ้งท่าที‘กรมที่ดิน’
เส้นตาย 30 เม.ย.! ‘รฟท.’จับตา‘กรมที่ดิน’ยื่นอุทธรณ์คดีเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ฉบับเต็ม! พลิกคำพิพากษา‘ศาล ปค.’สั่ง‘กรมที่ดิน ‘ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘ศาลปค.กลาง’สั่ง‘อธิบดีกรมที่ดิน’ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ เพิกถอนโฉนดที่ดิน‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ยันไม่ละเลยเพิกเฉย! ‘กรมที่ดิน’ลุ้น‘ศาลปค.กลาง’ตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้
‘ศาลปค.’นัดตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้-‘ตุลาการฯ’ชี้‘กรมที่ดิน’ละเลยหน้าที่
'ศาลปค.'นั่งพิจารณานัดแรก คดี'รฟท.'ฟ้อง'กรมที่ดิน'ขอสั่งเพิกถอนโฉนด'เขากระโดง' 5 พันไร่
เปิด 2 คำร้อง! ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด-สอบจริยธรรม‘ศักดิ์สยาม’ เอื้อเครือญาติยึด‘เขากระโดง’
ยื่น ป.ป.ช.ฟัน'ศักดิ์สยาม' 3 เรื่อง! 'ทวี'แนะปมเขากระโดง ส่งศาลฎีกาสอบจริยธรรมทันที
ข้อมูลใหม่! โฉนด 12 แปลง 179 ไร่ ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ โยงเครือญาติตระกูล‘ชิดชอบ’
