“…แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฎเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า…”
..................................
จากกรณีที่อธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196/2566 เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พ.ค.2566 เพื่อดำเนินการกับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแยกเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ อันเป็นการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566
กระทั่งต่อมา พรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ได้ทำหนงัสือกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2(2)/22162 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2567 ถึงผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาสรุปได้ว่า
คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท. (อ่านประกอบ : ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’)
ขณะเดียวกัน กรมที่ดิน ยังเผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงประเด็นที่ดิน ‘เขากระโดง’ ใน 5 ประเด็น โดยกรมที่ดินชี้แจงตอนหนึ่งว่า การดำเนินการคณะกรรมการสอบสวนฯ และกรมที่ดิน เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และมิได้ขัดหรือแย้งกับคำพิพากษาของศาลแต่อย่างใด
พร้อมทั้งระบุว่า ‘แผนที่’ ที่การรถไฟฯกล่าวอ้าง ซึ่งได้จัดทำขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2539 เป็นการจัดทำขึ้นตามมติที่ประชุม กบร. จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรกลุ่มสมัชชาคนจน เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2539 โดยผู้ฟ้องคดีนำแผนที่ดังกล่าว ไปใช้ในการต่อสู้คดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 และ ที่ 8027/2561
จึงไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พระพุทธศักราช 2464
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลของคณะทำงานศึกษา แสวงหาหลักฐานและบูรณาการข้อมูลประวัติที่ดิน ตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 91/2567 ลงวันที่ 18 ม.ค.2567 ที่ได้ศึกษาค้นคว้าเทียบเคียงจากพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวข้อง และจากหนังสือกระทรวงโยธาธิการ ฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม รัตนโกสินทรศก 127
สันนิษฐานได้ว่า การกำหนดเขตสร้างทางรถไฟ จะมีการกำหนดไว้เพียงระยะข้างละไม่เกิน 40 เมตร หรือ 20 วา เท่านั้น ไม่ใช่ 8 กิโลเมตร ตามที่มีการกล่าวอ้าง นั้น (อ่านประกอบ : ไม่ขัดแย้งคำพิพากษา!‘กรมที่ดิน’แจงไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’-แนะ‘รฟท.’ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองกลาง ในคดีที่ รฟท. ยื่นฟ้องกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และ 2) โดยขอให้กรมที่ดินเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินของ รฟท. ในพื้นที่บริเวณ 'ทางแยกเขากระโดง' (คดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566) อีกครั้ง ดังนี้
@ย้อนคำวินิจฉัย‘กฤษฎีกา’ชี้ที่ดิน‘เขากระโดง’เป็นของ‘รฟท.’
คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณา
ประเด็นที่หนึ่ง การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน-อธิบดีกรมที่ดิน) ไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับช้อนในที่ดินบริเวณที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี เป็นการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่
คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาที่ 842-876/2560 และที่ 8027/2561
จังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีหนังสือ ที่ บร 0011/13853 ลงวันที่ 18 ก.ค.2540 เสนอหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา เกี่ยวกับกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้ออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดง ในท้องที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ให้แก่ราษฎรบางราย
แต่ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) กล่าวอ้างว่าที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี ซึ่งได้กรรมสิทธิ์มาโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึง อุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พ.ย.พระพุทธศักราช 2462
คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) เรื่องเสร็จที่ 106/2541 พิจารณาแล้วเห็นว่า ที่ดินที่ราษฎรครอบครองบริเวณเขากระโดง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ภายในแนวเขตตาม ‘แผนที่’ ที่เจ้าหน้าที่กรมรถไฟแผ่นดินได้สำรวจและจัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการจัดซื้อที่ดินตามพระราชกฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้างฉบับ พ.ศ.2464 (ที่ถูกคือ ลงวันที่ 27 กันยายน พุทธศักราช 2465)
แต่ที่ดินในส่วนที่หารือนั้น มิได้ดำเนินการจัดซื้อ เพราะใน ‘แผนที่’ กำหนดไว้ว่า เป็นที่ป่ายังไม่มีเอกชนครอบครองทำประโยชน์ แม้ว่าพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ ได้กำหนดแนวเขตอย่างกว้างไว้สำหรับการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟและไม่มีผลเป็นการเวนคืนตามความเห็นของผู้แทนของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ก็ตาม
แต่เมื่อได้สำรวจเส้นทางที่แน่นอน และทราบจำนวนที่ดินที่จำเป็นต้องใช้แล้ว ก็จะมีการตราพระราชกฤษฎีกาจัดชื่อที่ดินจากเอกชนและยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ เป็นตอนๆ ซึ่งแนวทางที่สำรวจแน่นอนแล้วนี้ ประกอบด้วย ที่ดินของเอกชนที่ต้องจัดซื้อตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ และที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐที่ไม่จำเป็นต้องจัดซื้อ แต่มีสภาพเป็นที่ดินหวงห้ามไว้ใช้ในราชการ
การยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ ย่อมหมายถึงการยกเลิกสงวนหวงห้ามที่ดินส่วนที่เป็นของเอกชนในส่วนที่นอกเหนือจากแนวเขตที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินฯ เท่านั้น ไม่ใช่ยกเลิกการหวงห้ามทั้งหมด
เมื่อปรากฏว่าการสำรวจที่ดินเพื่อกำหนดแนวเขตที่ดินที่ใช้สร้างทางรถไฟ ในปี พ.ศ.2464 ได้ดำเนินการโดยครบถ้วน รวมทั้งกรมรถไฟแผ่นดินได้จัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินไว้โดยชัดแจ้งแล้ว และโดยที่ที่ดินบริเวณที่หารือ ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินในขณะนั้นมีสภาพเป็นป่าที่ยังไม่มีมีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์
และเมื่อกรมรถไฟแผ่นดินได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นแหล่งวัสดุสำหรับก่อสร้างทางรถไฟ จึงถือได้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้ใช้ในราชการตามกฎหมายแล้ว ที่ดินนั้น จัดเข้าลักษณะเป็นที่ดินรถไฟตามมาตรา 3 (2) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464
@‘คกก.สอบสวนฯ’ยุติเรื่อง-ไม่ถอนโฉนด‘เขากระโดง’มาแล้ว 1 ครั้ง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งตอบข้อหารือดังกล่าวไปยังผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ตามหนังสือที่ นร 0601/211 ลงวันที่ 17 มี.ค.2541
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงมีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1556/2550 ลงวันที่ 29 พ.ค.2552 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 163/2552 ลงวันที่ 29 ม.ค.2552 เปลี่ยนแปลงกรรมการในคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าว เพื่อพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์
แต่คณะกรรมการดังกล่าวเห็นว่า ที่ดินทั้งสองแปลง ‘ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์’ เป็นที่ดินของผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ที่สงวนหวงห้าม ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้ และไม่สามารถชี้ได้ว่าการออกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงไม่สมบูรณ์หรือขัดต่อกฎหมาย จึงเห็นควรไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3566 และเลขที่ 8564 จึงเสนอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ยุติเรื่อง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เห็นชอบตามความเห็นดังกล่าว จึงมีคำสั่งยุติเรื่องเมื่อวันที่ 18 มี.ค.2552
ต่อมา สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งขาติ ได้มีหนังสือ ลับ ที่ ปช 0018/1084 ลงวันที่ 14 ก.ย.2554 แจ้งว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้พิจารณาสำนวนไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วมีมติให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 เนื่องจากออกทับที่ดินของผู้ฟ้องคดี (รฟท.)
และแจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 99 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้หารือแนวทางปฏิบัติไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้เคยมีความเห็นให้ยุติเรื่องไปแล้ว และจะต้องดำเนินการตามมาตรา 99 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 อย่างไร
สำนักงานอัยการสูงสุด มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ อส 0005/5403 ลงวันที่ 12 มิ.ย.2555 ตอบข้อหารือ โดยมีความเห็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และเลขที่ 8564 ต่อไป
@‘ศาลฎีกา’ที่ดินแยกเขากระโดง 5,083 ไร่เศษ เป็นของรถไฟฯ
หลังจากนั้น ศาลฎีกาให้มีคำพิพากษาที่ 846-876/2560 และที่ 8027/2560 ซึ่งวินิจฉัยสรุปความได้ว่า จากแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนที่แยกออกจากเส้นทางแยกเขากระโดงใช้เป็นเส้นทางลำเลียงหินหรือศิลาที่ย่อยในพื้นที่เขากระโดง เพื่อนำหินไปใช้ก่อสร้างในทางรถไฟสายหลักในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งทางรถไฟที่แยกออกอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 375+650 มีความยาวแยกออกไป 8 กิโลเมตร
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) เข้าครอบครองถือกรรมสิทธิ์ในครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2462 ขณะนั้นประเทศไทยใช้ระบบการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งที่ดินทั้งหมดรวมทั้งที่ดินในบริเวณพิพาทเป็นของพระมหากษัตริย์ (รัชกาลที่ 6)
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ได้เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ก่อนเกิดเหตุคดีนี้นานกว่า 50 ปี จึงเชื่อว่าที่ดินตามแผนที่ซึ่งมีความยาว 8 กิโลเมตร และความกว้างตามที่ระบุในแผนที่ คิดเป็นพื้นที่ 5,083 ไร่ 70 ตารางวา เป็นที่ดินที่ข้าหลวงพิเศษซึ่งเคยได้รับแต่งตั้งตั้งตั้งตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมา ถึง อุบลราชธานีลงวันที่ 8 พ.ย. พระพุทธศักราช 2462
ดำเนินการสำรวจทางรถไฟเพื่อเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดงและบ้านตะโก และดำเนินการจัดซื้อที่ดินในช่วง 4 กิโลเมตรแรก อันเป็นบริเวณที่มีเจ้าของรวม 18 ราย และเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในช่วง 4 กิโลเมตรหลัง อันเป็นบริเวณที่ไม่มีเจ้าของและเป็นแหล่งหินที่ใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟ
สำหรับการเข้าครอบครองที่ดิน 4 กิโลเมตรแรกนั้น ปรากฏว่ารายชื่อเจ้าของที่ดินทั้ง 18 รายที่ระบุในแผนที่ตรงกับรายชื่อเจ้าของที่ดินที่ลงลายมือชื่อหรือพิมพ์ลายนิ้วมือรับเงินค่าทำขวัญในใบสำคัญแสดงรายละเอียดแห่งค่าทำขวัญสำหรับทรัพย์ทุกประเภทที่กรมรถไฟแผ่นดินได้จัดซื้อใช้เพื่อประโยชน์รถไฟ ลงวันที่ 9 พ.ย.2469 (ที่ถูกต้อง คือ วันที่ 9 พ.ย.2467)
และการที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ ระบุว่า ในช่วงเวลาสองปีที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวงฯ ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าจับจองที่ดิน ซึ่งเป็นที่ว่างไม่มีเจ้าของ
ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า ข้าหลวงพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และกรมรถไฟแผ่นดินมีอำนาจกำหนดพื้นที่ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ เป็นที่หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการก่อสร้างทางรถไฟได้ ข้าหลวงพิเศษและกรมรถไฟแผ่นดิน จึงมีอำนาจเข้ายึดถือที่ดินที่ไม่มีเจ้าของในช่วง 4 กิโลเมตรหลังถัดไปด้วย
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึง อุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พ.ย.พระพุทธศักราช 2462
เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง และบ้านตะโก ทั้งยังใช้เป็นแหล่งวัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ย่อมถือได้ว่าที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินดังกล่าว เป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบ
ด้วยกฎหมายอยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามมาตรา 3 (2) แห่ง พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว
จึงเป็นผลให้ที่ดินพิพาทที่เป็นเส้นทางแยกออกมาในคดีนี้ ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองหวงห้ามมิให้ประชาชนเข้ายึดถือหรือครอบครอง รวมทั้งโต้แย้งสิทธิใดๆ กับผู้ฟ้องคดี เว้นแต่จะได้มีประกาศหรือกฎหมายตามพระราชกระแสว่า ขาดจากการเป็นที่ดินรถไฟแล้ว
เมื่อทรัพย์สินของกรมรถไฟโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ตาม พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้รับการคุ้มครองตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว
@‘กรมที่ดิน’เคยเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ทับที่รถไฟ‘เขากระโดง’
หลังจากนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ฟ้องคดี) โจทก์ กับนายวิรัตน์ วงศ์พิพัฒน์ชัย ที่ 1 กับพวกรวม 4 คนจำเลย โดยวินิจฉัยในทำนองเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีข้างต้น และให้เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินของจำเลยทั้งสี่ คดีดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดถึงที่สุด
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) มีหนังสือ ที่ รฟ 1/1911/2564 ลงวันที่ 23 มิ.ย.2564 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ใช้อำนาจตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดงตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนในที่ดินบริเวณที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีหนังสือกรมที่ดิน ลับ ที่ มท 0516.2/15572 ลงวันที่ 27 ก.ค.2564 ขอให้ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ชี้แจงว่า แผนที่แสดงเขตที่ดินของการรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตวันออกเฉียงเหนือซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ลงวันที่ 27 พ.ย.พระพุทธศักราช 2465 หรือไม่
ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) มีหนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ รฟ 1/2291/2564 ลงวันที่ 20 ส.ค.2564 แจ้งตอบผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ว่า ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ไม่มีแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินฯ มีเพียงแผนที่แสดงเขตที่ดินของการรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง ซึ่งเป็นเอกสารที่ยื่นในคดีพิพาทต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) จึงมีหนังสือกรมที่ดิน ลับ ที่ มท 0516.2/3530 ลงวันที่ 27 ก.ย.2564 แจ้งให้ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) นำส่งแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ หรือนำครอบแผนที่อีกครั้ง
พร้อมทั้งแจ้งว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง ไม่ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแต่อย่างใด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่สามารถดำเนินการแก้ไขหรือเพิกถอนตามมาตรา 61 วรรคแปด แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) เป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทกรม ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย และมีหน้าที่ตามที่ปรากฎในกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 2 ว่า ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ...
และข้อ 18 กำหนดว่า สำนักจัดการที่ดินของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1) .. (2) ดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน...
จากข้อกำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าวจึงเห็นได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) มีภารกิจหน้าที่ในการคุ้มครอง ดูแลและรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภท และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ในฐานะผู้บังคับบัญชา ก็ย่อมมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้สำเร็จลุล่วงตามภารกิจที่ถูกกำหนดไว้
เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า
ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลาตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พ.ย. พระพุทธศักราช 2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดี
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) จึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าวตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557
ประกอบกับ เมื่อมีข้อเท็จจริงที่มีผลเกี่ยวเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีดังกล่าวว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ได้มีคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 2992/2564 ลงวันที่ 11 พ.ย.2564 แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข.) เลขที่ 200 หมู่ที่ 9 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 13) ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561
และสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการยกเลิกใบไต่สวนพร้อมจำหน่าย ส.ค.1 เลขที่ 209 หมู่ที่ 1 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดิน และยกเลิกเรื่องการขออกโฉนดที่ดินจำนวน 40 ฉบับของประชาชนจำนวนสามสิบห้าราย ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560
รวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดบุรีรัมย์ และเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 2066 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งที่ดินทั้งหมดข้างต้นเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเป็นการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับช้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดี
แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆนอกเหนือจากที่ปรากฎเป็นข้อพิพาทในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) จึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
อีกทั้งที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึง มีฐานะเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน-อธิบดีกรมที่ดิน) กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่
ประกอบกับ ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจสอบเอกสารทางทะเบียนจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า มีการออกโฉนดที่ดินทับช้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ 850 แปลง แต่ผู้ฟ้องคดีดำเนินการคัดถ่ายเอกสารมาได้บางส่วน จำนวน 497 แปลง ปรากฏตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 15
@‘ศาลปค.’วินิจฉัย‘กรมที่ดิน’ละเลยหน้าที่-ไม่ตั้ง‘คกก.สอบสวนฯ’
อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของคณะทำงานตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 822/2565 ลงวันที่ 4 เม.ย.2565 ว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบข้อมูลหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่อยู่ในบริเวณที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีอ้างสิทธิในเบื้องต้นพบว่า มีการออกโฉนดที่ดิน จำนวนประมาณ 396 ฉบับ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำนวนประมาณ 376 ฉบับ รวมเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งสิ้น จำนวนประมาณ 772 ฉบับ
เมื่อผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ได้มีหนังสือ ที่ รฟ 1/1911/2564 ลงวันที่ 23 เม.ย.2564 ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ใช้อำนาจตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่งประกฎหมายที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนในที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด
กรณีจึงเป็นความปรากฏขึ้น จากการที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ว่าได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) ก็สามารถมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินไปก่อนได้ โดยไม่จำต้องรอให้ตรวจสอบพบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมด หรือพบข้อเท็จจริงจนชัดแจ้งแล้วจึงจะมีคำสั่งแต่งตั้ง
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน-อธิบดีกรมที่ดิน) จึงละเลยต่อหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมีหน้าที่ในการดำเนินการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อพิจารณาตามคำร้องขอของผู้ฟ้องคดี (รฟท.) เพื่อตรวจสอบถึงความถูกต้องในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณที่พิพาทว่าเป็นการออกโดยทับช้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้จะไม่มีกฎหมายกำหนดระยะเวลาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต้องมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายที่ดินเมื่อใดก็ตาม แต่อย่างช้าที่สุดก็ไม่ควรเกินระยะเวลา 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือจากผู้ฟ้องคดีอันเป็นระยะเวลาอันสมควร
โดยพิจารณาเทียบเคียงจากระยะเวลาชั้นสูงในการพิจารณาคำร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 (ทั้งนี้ ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ อ.432/2/2563)
เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้รับหนังสือการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ รฟ 1/1911/2564 ลงวันที่ 23 มิ.ย.2564 จึงถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่ช้าที่สุด ที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินบริเวณแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ปรากฏแก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงควรที่จะมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนภายใน 90 วัน หรือภายในวันที่ 26 ก.ย.2564 แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏภายหลังจากที่มีการฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 822/2565 ลงวันที่ 4 เม.ย.2565 แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียนของผู้ฟ้องคดี โดยกำหนดให้คณะทำงานสรุปข้อเท็จจริงและให้ความเห็นต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ภายใน 90 วัน
แต่คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงชุดดังกล่าว ก็ยังไม่ได้มีการสรุปข้อเท็จจริง และให้ความเห็นเสนอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) ภายใน 90 วัน แต่อย่างใด
แม้คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ จะมีกรอบระยะเวลาการทำงานดำเนินการก็ตาม แต่หากปล่อยให้คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ดำเนินการต่อไป การริเริ่มการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไม่อาจเกิดขึ้นได้ภายในเวลาอันสมควรอย่างแน่นอน
และโดยมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้กำหนดขั้นตอน วิธีการ การดำเนินการเพิกถอนหรือแก้ไขโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้ โดยตามวรรคสอง บัญญัติให้ก่อนที่จะดำเนินการเพิกถอนหรือแก้ไขโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวนั้น
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือผู้ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มอบหมายตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นทำการสอบสวน และแจ้งผู้มีส่วนได้เสียเพื่อให้โอกาสคัดค้าน โดยให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
อันได้แก่ กฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียน โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ.2553
ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กรมที่ดิน) โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) จึงต้องมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้
@‘กรมที่ดิน’เคยอ้างเหตุ‘รฟท.’ไม่แสดงแผนที่แนบท้าย‘พ.ร.ฎ.’
กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่า ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ไม่สามารถแสดงแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตวันออกเฉียงเหนือซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง พ.ศ.2465 หรือถ่ายทอดแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว รวมทั้งรายละเอียดตำแหน่งที่ดินที่จะต้องดำเนินการเพิกถอนให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ทราบได้ จึงไม่สามารถดำเนินการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้นั้น
เห็นว่า ความมุ่งหมายของมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต้องการให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อดำเนินการแสวงหาและตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้ปรากฏขึ้น เพื่อพิจารณาและเสนอความเห็นประกอบต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เป็นหน่วยงานที่มีความชำนาญเฉพาะด้านและเป็นผู้จัดเก็บเอกสารเกี่ยวกับการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไว้ทั้งหมด จึงย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะต้องดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ข้อกล่าวอ้างว่าผู้ฟ้องคดีไม่สามารถจัดหาแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ หรือไม่สามารถถ่ายทอดแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาฯ ได้ จึงไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจะไม่ดำเนินการ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้ ข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น
กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างว่า ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ไม่ยอมใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล เพื่อขอให้เพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามมาตรา 61 วรรคแปด แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน นั้น
เห็นว่า มาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไม่ได้จำกัดอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน-อธิบดีกรมที่ดิน) จะเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินเฉพาะกรณีที่ที่จะต้องมีคำพิพากษาถึงที่สุดเท่านั้น แต่ยังได้กำหนดอำนาจหน้าที่รวมถึงวิธีการและขั้นตอนต่างๆ กรณีที่ความปรากฎแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เองว่ามีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ใดโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ก็เป็นหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง และหากพบว่ามีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นอำนาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่จะมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินได้ โดยไม่จำต้องให้ผู้ฟ้องคดีไปฟ้องร้องดำเนินคดีต่อศาลเสียก่อน ข้อกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงไม่อาจรับฟังได้
เหล่านี้ คือ รายละเอียดคำวินิจฉัย ‘ศาลปกครองกลาง’ ในคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินบริเวณแยกเขากระโดงที่ออกทับที่ดินของการรถไฟฯ และถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’ มีมติไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง และสั่งให้ยุติเรื่อง และโยนเรื่องกลับมาให้ รฟท. ดำเนินการพิสูจน์สิทธิในที่ดินต่อศาลยุติธรรม โดยฟ้องขับไล่ ‘รายแปลง’ ต่อไป!
อ่านประกอบ :
ไม่ขัดแย้งคำพิพากษา!‘กรมที่ดิน’แจงไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’-แนะ‘รฟท.’ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ จี้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง มาเป็นของ รฟท.
‘รฟท.’เร่งสรุปท่าทีทวงคืน‘เขากระโดง’-ข้องใจ‘คกก.สอบสวน’ไม่รับ‘แผนที่’ยกสู้คดีในศาลจนชนะ
ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
โยน‘รฟท.’พิสูจน์สิทธิ์ในศาล! ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’มีมติไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 5 พันไร่
‘สนง.ที่ดินบุรีรัมย์’ส่งหนังสือแจ้ง‘รฟท.’รังวัด‘เขากระโดง’เสร็จแล้ว-พร้อมแนบระวางแผนที่
รังวัดฯเสร็จแล้ว! ‘กรมที่ดิน’จ่อชงข้อมูล‘คณะกรรมการสอบสวน’ชี้ขาดเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ลงพื้นที่นำชี้แนวเขต'เขากระโดง'-'กรมที่ดิน'แจงกม.ขีดเส้นรังวัดฯให้เสร็จภายใน 50 วัน
ย้อนไทม์ไลน์ 1 ปี เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ไม่คืบหน้า-‘กรมที่ดิน’นัด'รฟท.'ชี้เขตรังวัดที่ดิน
8 เดือนไม่เพิกถอน! ‘กรมที่ดิน’รังวัดเขตที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ใหม่-รฟท.ติดเรื่องค่าใช้จ่าย
เปิดหนังสือทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ อ้าง 9 ข้อเท็จจริง ค้าน‘คกก.สอบสวน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
แผนที่เขตรถไฟฯมีพิรุธ! ทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ยกต่อสู้ ปมถอนโฉนดเขากระโดง-ชี้ศก.บุรีรัมย์ชะงัก
ไม่เกี่ยวถอนโฉนดเขากระโดง!‘ชยาวุธ’เปิดใจลาออกอธิบดีที่ดินดูแลภรรยาป่วย
เปิดตำแหน่งโฉนด’ตระกูล‘ชิดชอบ’ทับที่รถไฟฯ‘เขากระโดง’-‘ฝ่าย กม.’แจงซื้อโดยสุจริต
จ่อโดนเพิกถอน! ชัดๆเปิด‘โฉนด-น.ส.3’ตระกูล’ชิดชอบ’ 20 แปลง 288 ไร่ ทับที่ดิน‘เขากระโดง’
ก่อน‘ชยาวุธ’ทิ้งเก้าอี้อธิบดี! พบ‘คกก.สอบสวน’แจ้งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’รุกที่หลวง 2 แปลง
'อนุทิน'ปัดการเมืองกดดัน 'อธิบดีกรมที่ดิน'ยื่นลาออก อย่าโยงปมพิพาท‘เขากระโดง’
การบ้าน‘อนุทิน’นั่ง‘มท.1’! แก้โจทย์สายสีเขียว-เพิกถอนโฉนดเขากระโดง-ต่อสัญญาซื้อน้ำ‘กปภ.’
ลุยเพิกถอนโฉนด 5 พันไร่!‘กรมที่ดิน’ไม่อุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’-แจ้งศาลฯตั้ง‘คกก.สอบสวน’แล้ว
‘รฟท.’ยื่นอุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’ปมเรียกค่าเสียหาย 707 ล้าน-รอ‘ศาลปค.’แจ้งท่าที‘กรมที่ดิน’
เส้นตาย 30 เม.ย.! ‘รฟท.’จับตา‘กรมที่ดิน’ยื่นอุทธรณ์คดีเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ฉบับเต็ม! พลิกคำพิพากษา‘ศาล ปค.’สั่ง‘กรมที่ดิน ‘ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘ศาลปค.กลาง’สั่ง‘อธิบดีกรมที่ดิน’ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ เพิกถอนโฉนดที่ดิน‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ยันไม่ละเลยเพิกเฉย! ‘กรมที่ดิน’ลุ้น‘ศาลปค.กลาง’ตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้
‘ศาลปค.’นัดตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้-‘ตุลาการฯ’ชี้‘กรมที่ดิน’ละเลยหน้าที่
'ศาลปค.'นั่งพิจารณานัดแรก คดี'รฟท.'ฟ้อง'กรมที่ดิน'ขอสั่งเพิกถอนโฉนด'เขากระโดง' 5 พันไร่
เปิด 2 คำร้อง! ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด-สอบจริยธรรม‘ศักดิ์สยาม’ เอื้อเครือญาติยึด‘เขากระโดง’
ยื่น ป.ป.ช.ฟัน'ศักดิ์สยาม' 3 เรื่อง! 'ทวี'แนะปมเขากระโดง ส่งศาลฎีกาสอบจริยธรรมทันที
ข้อมูลใหม่! โฉนด 12 แปลง 179 ไร่ ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ โยงเครือญาติตระกูล‘ชิดชอบ’