"...การกระทำและพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจดังกล่าวของคณะกรรมการสอบสวนและอธิบดีกรมที่ดิน จึงเห็นได้โดยชัดเจนว่า เป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และอาจเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิที่มุ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย..."
.........................................
จากกรณีที่อธิบดีกรมที่ดิน มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196/2566 เรื่อง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ลงวันที่ 12 พ.ค.2566 เพื่อดำเนินการกับหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแยกเขากระโดง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ จำนวน 995 ฉบับ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566
ต่อมา พรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ได้ทำหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0516.2(2)/22162 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 21 ต.ค.2567 ถึงผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหาสรุปได้ว่า
คณะกรรมการสอบสวนฯ มีมติเห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินรถไฟฯ บริเวณแยกเขากระโดง เนื่องจาก รฟท. ไม่มีหลักฐานเป็นที่ข้อยุติว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของ รฟท. (อ่านประกอบ : ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’)
กระทั่งต่อมา วีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท. ได้ทำหนังสือ ที่ รฟ1/2780/2567 เรื่อง อุทธรณ์คำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ลงวันที่ 12 พ.ย.2567 ส่งไปถึงอธิบดีกรมที่ดิน นั้น (อ่านประกอบ : 'วีริศ' ส่งหนังสือถึง 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนมติคกก.สอบสวน 'เขากระโดง')
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอหนังสืออุทธรณ์ฯของ รฟท. ที่ส่งไป ‘กรมที่ดิน’ ซึ่งมีความยาว 20 หน้ากระดาษ โดยแบ่งการนำเสนอเป็น 3 ตอน โดยตอนที่ 3 ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย รฟท. โต้แย้งคำสั่งของ ‘กรมที่ดิน’ โดยย้ำว่า ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’ กระทำไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และองค์ประกอบของ คณะกรรมการสอบสวนฯไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีรายละเอียด ดังนี้
@คำสั่งไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อ 2. การที่อธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิที่ดิน ซึ่งออกทับช้อนกับที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแยกเขากระโดง ตำบลเสม็ดและตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน เป็นการกระทำโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การรถไฟแห่งประเทศไทยขอเรียนว่า ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566 ได้วินิจนัยตอนหนึ่งว่า เมื่อกรมที่ดินเป็นหน่วยงานทางปกครองประเภทกรม ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย และมีหน้าที่ตามที่ปรากฎในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ2557 ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 2. ว่า
ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ... และข้อ 18 กำหนดว่า สำนักจัดการที่ดินของรัฐมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (1)....(2) ดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน.....
จากข้อกำหนดในกฎกระทรวงดังกล่าว จึงเห็นได้ว่า กรมที่ดินมีภารกิจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลและรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภท และอธิบดีกรมที่ดิน ในฐานะผู้บังคับบัญชา ก็ย่อมมีหน้าในการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้สำเร็จลุล่วงตามภารกิจที่ถูกกำหนดไว้
เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตร์ที่ดินของกรมรถไฟ ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตร์ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462
เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินบริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง กรมที่ดินจึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าว (หน้า 26-27)
และศาลปกครองกลางยังวินิจฉัยต่อไปว่า ประกอบกับเมื่อมีข้อเท็จจริงที่มีผลเกี่ยวเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีดังกล่าวว่า อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งกรมที่ดินที่ 2992/2564 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ข) เลขที่ 200 หมู่ที่ 9 (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 13) ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการยกเลิกใบไต่สวนพร้อมจำหน่าย ส.ค.1 เลขที่ 209 หมู่ที่ 1 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดิน
และยกเลิกเรื่องการขอออกโฉนดที่ดิน จำนวน 40 ฉบับของประชาชนจำนวน 35 ราย ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842-876/2560 รวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 206 ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งที่ดินทั้งหมดเกิดขึ้นในพื้นที่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยกล่าวอ้างว่าเป็นการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ นอกเหนือจากที่ปรากฎเป็นข้อพิพาท ในคดีก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงสามารถใช้ยันบุคคลภายบุคคลภายนอกนั้น จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดังกล่าว
อีกทั้งที่ดินตามที่ศาลมีคำพิพากษาดังกล่าวถึงมีฐานะเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชน โดยทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามที่กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ (คำพิพากษาหน้า 27-28)
จากคำพิพากษาของศาลปกครองกลางข้างต้นเห็นได้ว่า ได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสถานะของที่ดินบริเวณแยกเขากระโดง ที่สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลฎีกา และคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า ที่ดินบริเวณแยกเขากระโดง เป็นที่ดินกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน ไม่มีอำนาจหรือดุลพินิจไปวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นซึ่งต่างไปจากคำพิพากษาของศาลได้อีก คงมีเพียงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่กำหนดให้อธิบดีกรมที่ดินดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเท่านั้น
แต่เมื่อกรมที่ดินโดยอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน จึงถือเป็นการละเลยต่อหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ
เมื่อกรมที่ดินเป็นผู้ออกเอกสารแสดงในที่ดินทับช้อนกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งถือเป็นความบกพร่องของกรมที่ดินที่ไม่ตรวจสอบระมัดระวังในการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นและคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจนศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด รวมถึงศาลปกครองกลางก็ได้มีคำพิพากษายืนยันสิทธิในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยแล้ว
กรมที่ดินโดยอธิบดีกรมที่ดินยังละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่เพื่อคุ้มครองรักษาที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของรัฐ
และเมื่อศาลปกครองกลางได้กำหนดแนวทางและวิธีดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา คณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้นโดยอธิบดีกรมที่ดินกลับมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการที่กำหนดไว้ กลับเสนอความเห็นให้อธิบดีกรมที่ดินไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน อีกทั้งยังสั่งให้ยติเรื่องดังกล่าว
การกระทำและพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจดังกล่าวของคณะกรรมการสอบสวนและอธิบดีกรมที่ดิน จึงเห็นได้โดยชัดเจนว่า เป็นการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และอาจเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิที่มุ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย
คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท 0516.2 (2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 และมติของคณะกรรมการสอบสวบสวน จึงเป็นคำสั่งและการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาของศาลแล้วว่า ที่ดินบริเวณเขากระโดงที่มีการออกเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินเป็นกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่กรมที่ดินกลับ เห็นว่า การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในท้องที่ตำบลเสม็ด และตำบลอิสาน อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนดนั้น
เมื่อที่ดินบริเวณดังกล่าว การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้มาตามพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้าง ฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 ซึ่งหวงห้ามที่ดินไว้ใช้ประโยชน์แห่งการรถไฟ และมีอยู่ก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน
การที่กรมที่ดินออกเอกสารสิทธิในที่ดินบริเวณดังกล่าว จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497
@การแต่งตั้ง‘คกก.สอบสวนฯ’ไม่ชอบ เหตุ‘องค์ประกอบ’ไม่ครบ
ข้อ 3. ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายของการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และการแจ้งคำสั่งทางปกครอง
เมื่อพิจารณาตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวนฯ พ.ศ.2553 ข้อ 2 (1) (ข) กำหนดองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับจังหวัดอื่น ต้องประกอบด้วย
เจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสาขา หรือข้าราชการสังกัดกรมที่ดินที่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดินเห็นสมควร เป็นประธานกรรมการ นายอำเภอหรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่
ตัวแทนคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งที่ดินนั้นตั้งอยู่ และผู้แทนส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควร เป็นกรรมการและให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดี ผู้ตรวจราชการกรมที่ดินแต่งตั้งข้าราชการ ซึ่งดำรงตำแหน่งประเภททั่วไป ตั้งแต่ระดับชำนาญงานขึ้นขึ้นไป หรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ตั้งแต่ระดับชำนาญการขึ้นไปในสำนักงานที่ดินจังหวัดหรือสำนักงานที่ดินจังหวัดสาขาเป็นกรรมการและเลขานุการ
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ 2 (1) (ข) ของกฎกระทรวงข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการสอบสวนอย่างน้อยต้องประกอบด้วยประธานกรรมการ และกรรมการรวม 5 คน แต่ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1195-1196 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ได้แต่งตั้งกรรมการเพียง 4 คนเท่านั้น โดยขาดกรรมการซึ่งเป็นผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้
เมื่อการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่เป็นไปตามที่กฎกระทรวงกำหนดไว้ ย่อมทำให้คณะกรรมการสอบสวนไม่อาจพิจารณาและมีมติใดๆ ได้ มติคณะกรรมการสอบสวนที่เห็นควรไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินและสั่งให้ยุติเรื่อง จึงไม่มีผลผูกพันและไม่อาจใช้บังคับได้ อธิบดีกรมที่ดิน จึงต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวมขึ้นมาดำเนินการใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางต่อไป
นอกจากนี้ คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท 0516.2 (2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เป็นคำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้ แต่ในคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งได้ กลับระบุเพียง
“หากการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นว่ามีสิทธิในที่ดินดีกว่า ก็เป็นเรื่องที่ผู้มีสิทธิในที่ดินจะต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป”
ซึ่งเป็นเพียงการแจ้งสิทธิให้ไปฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ถือเอกสารแสดงสิทธิ์ในที่ดินที่ออกทับช้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยเท่านั้น ไม่ใช่การแจ้งสิทธิเพื่ออุทธรณ์หรือโต้แย้งคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ตามความในมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
ดังนั้น คำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน และวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้
@‘รฟท.’จี้เพิกถอนคำสั่ง‘คกก.สอบสวนฯ’-ปฏิบัติตามคำสั่งศาลฯ
การรถไฟแห่งประเทศไทยขอเรียนสรุปว่า การเวนคืนที่ดินตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยกรมรถไฟหลวงเริ่มลงมือตรวจแนวทางรถไฟ เป็นไปตามพระราชโองการตั้งแต่ปี พ.ศ.2462 เพื่อเชื่อมต่อกับทางรถไฟที่มีอยู่แล้วที่ จังหวัดนครราชสีมา
ต่อมาในปี พ.ศ.2463 กรมรถไฟหลวงได้ทำการสำรวจเส้นทางรถไฟแน่นอนแล้วตั้งแต่สถานีรถไฟนครราชสีมาถึงตำบลท่าช้างจังหวัดนครราชสีมาเป็นช่วงแรก จึงได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ฉบับลงวันที่ 20 สิงหาคม 2463
โดยได้กำหนดให้กรมรถไฟหลวงทำแผนที่แสดงเขตร์ที่ดิน และคัดสำเนาเนาบัญชีรายชื่อท้ายพระราชกฤษฎีกาพร้อมด้วยแผนที่มอบไว้ ณ ที่ทำการกรมรถไฟหลวงในพระนคร ที่กระทรวงเกษตราธิการที่หอทะเบียนที่ดินทุกๆ จังหวัด และที่ว่าการอำเภอ ซึ่งที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่
และต่อมาในปี พ.ศ.2464 กรมรถไฟหลวงได้ทำการสำรวจเส้นทางรถไฟแน่นอนแล้วตั้งแต่ตำบลท่าช้าง จังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดสุรินทร์อีกตอนหนึ่ง และได้มีการทำแผนที่แสดงแนวแขตที่ดินของกรมรถไฟไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จึงได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟแผ่นดินจัดสร้าง ฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464
กรมรถไฟหลวง จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินในทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี รวมทั้งที่ดินสองข้างทางรถไฟในท้องที่จังหวัดบุรีรัมย์มาโดยพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟหลวง ต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2466
พระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้าง ฉบับลงวันที่ 20 สิงหาคม 2464
พระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินแลอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวงจัดการสร้างฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 พร้อมแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา ซึ่งได้บัญญัติให้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟหลวง
ดังนั้น เมื่อการถไฟแห่งประเทศไทยรับโอนทรัพย์สินทั้งหลายจากกรมรถไฟหลวง การถไฟแห่งประเทศไทยจึงได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินในทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนทางรถไฟสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี รวมทั้งที่ดินสองข้างทางรถไฟในท้องที่จังหวัดบุรีรัมย์มาตามกฎหมาย ทั้งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
ย่อมมีผลผูกพันพลเมืองในราชอาณาจักรไทยเป็นการทั่วไป และกฎหมายดังกล่าว ยังเป็นพยานหลักฐานยืนยันการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินการถไฟแห่งประเทศไทย ตลอดจนตำแหน่งที่ตั้งซึ่งมีความชัดเจนเป็นที่ยุติแล้ว และมีความแน่นอนในนิติฐานะยิ่งกว่าเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ประเภทใดๆ ตามประมวลกฎหมายที่ดินซึ่งบัญญัติขึ้นภายหลังการรถไฟแห่งประเทศไทย
จึงขอให้อธิบดีกรมที่ดินและผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ ได้โปรดมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินตามหนังสือกรมที่ดินที่ มท 0516.2 (2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือการแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และเพิกถอนมติของคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1195-1196/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ที่ได้มีความเห็นและมติไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
และมีคำสั่งให้กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 หมายเลขแดงที่ 1112/2563 และคำพิพากษาศาลปกครองกลางคดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566
โดยการมีคำสั่งเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินทุกแปลงที่ออกทับซ้อนที่ดินกรรมสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทยโดยให้ปฏิบัติตามข้อสังเกตของศาลปกครองกลางในคดีดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย
ทั้งนี้ หากท่านพิจารณาแล้วไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิต่างๆ ในที่ดินที่ออกทับช้อนกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่าที่ดินในบริเวณแยกเขากระโดงเป็นที่ดินรถไฟ ขอให้แจ้งยืนยันผลการพิจารณาโดยชัดแจ้งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยทราบด้วย
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญทั้งหมดของหนังสืออุทธรณ์ของ รฟท. คัดค้านกรณี ‘กรมที่ดิน’ มีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกทับที่ดินรถไฟฯบริเวณแยกเขากระโดง และจากนี้คงไปต้องติดตามว่า ‘กรมที่ดิน’ จะมีคำสั่งออกมาอย่างไร?
อ่านประกอบ :
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(2) ‘อธิบดีกรมที่ดิน’ใช้ดุลพินิจมิชอบ ไม่ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
ฉบับเต็ม! หนังสืออุทธรณ์‘รฟท’(1) ที่ดิน‘เขากระโดง’เป็นของ‘รถไฟฯ’-ไม่ต้องพิสูจน์สิทธิ์อีก
'วีริศ' ส่งหนังสือถึง 'อธิบดีกรมที่ดิน' เพิกถอนมติคกก.สอบสวน 'เขากระโดง'
สอบเขากระโดงล่ม! กมธ.ที่ดินเผย องค์ประชุมไม่ครบก่อนขอมติ
‘เลขาฯกฤษฎีกา’ ชี้ต้องยึดคำพิพากษาเป็นหลัก ‘เขากระโดง’ ‘รฟท.-กรมที่ดิน’ แค่สื่อสารไม่ตรงกัน
‘กรมที่ดิน’ แจง ‘ที่ดินเขากระโดง’ ‘รถไฟ’ไร้เอกสารหลักฐานยืนยัน
‘รถไฟ’ ยื่นศาลปค.อธิบดีทำไม่ครบที่ดิน‘เขากระโดง’-‘อนุทิน’ยันไม่มีช่วยใคร
ย้อนคำวินิจฉัย'ศาลปค.' คดีถอนโฉนด'เขากระโดง'-ก่อน‘กรมที่ดิน’โยน‘รฟท.’ฟ้องขับไล่'รายแปลง'
ไม่ขัดแย้งคำพิพากษา!‘กรมที่ดิน’แจงไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’-แนะ‘รฟท.’ฟ้องขับไล่‘รายแปลง’
สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจฯ จี้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดง มาเป็นของ รฟท.
‘รฟท.’เร่งสรุปท่าทีทวงคืน‘เขากระโดง’-ข้องใจ‘คกก.สอบสวน’ไม่รับ‘แผนที่’ยกสู้คดีในศาลจนชนะ
ไม่เชื่อ'แผนที่'ตามคำพิพากษา! ฉบับเต็ม‘คกก.สอบสวน’ยก 4 เหตุผล ไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
โยน‘รฟท.’พิสูจน์สิทธิ์ในศาล! ‘คณะกรรมการสอบสวนฯ’มีมติไม่เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 5 พันไร่
‘สนง.ที่ดินบุรีรัมย์’ส่งหนังสือแจ้ง‘รฟท.’รังวัด‘เขากระโดง’เสร็จแล้ว-พร้อมแนบระวางแผนที่
รังวัดฯเสร็จแล้ว! ‘กรมที่ดิน’จ่อชงข้อมูล‘คณะกรรมการสอบสวน’ชี้ขาดเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
รฟท.ลงพื้นที่นำชี้แนวเขต'เขากระโดง'-'กรมที่ดิน'แจงกม.ขีดเส้นรังวัดฯให้เสร็จภายใน 50 วัน
ย้อนไทม์ไลน์ 1 ปี เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ไม่คืบหน้า-‘กรมที่ดิน’นัด'รฟท.'ชี้เขตรังวัดที่ดิน
8 เดือนไม่เพิกถอน! ‘กรมที่ดิน’รังวัดเขตที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ใหม่-รฟท.ติดเรื่องค่าใช้จ่าย
เปิดหนังสือทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ อ้าง 9 ข้อเท็จจริง ค้าน‘คกก.สอบสวน’เพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’
แผนที่เขตรถไฟฯมีพิรุธ! ทนายตระกูล‘ชิดชอบ’ยกต่อสู้ ปมถอนโฉนดเขากระโดง-ชี้ศก.บุรีรัมย์ชะงัก
ไม่เกี่ยวถอนโฉนดเขากระโดง!‘ชยาวุธ’เปิดใจลาออกอธิบดีที่ดินดูแลภรรยาป่วย
เปิดตำแหน่งโฉนด’ตระกูล‘ชิดชอบ’ทับที่รถไฟฯ‘เขากระโดง’-‘ฝ่าย กม.’แจงซื้อโดยสุจริต
จ่อโดนเพิกถอน! ชัดๆเปิด‘โฉนด-น.ส.3’ตระกูล’ชิดชอบ’ 20 แปลง 288 ไร่ ทับที่ดิน‘เขากระโดง’
ก่อน‘ชยาวุธ’ทิ้งเก้าอี้อธิบดี! พบ‘คกก.สอบสวน’แจ้งเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’รุกที่หลวง 2 แปลง
'อนุทิน'ปัดการเมืองกดดัน 'อธิบดีกรมที่ดิน'ยื่นลาออก อย่าโยงปมพิพาท‘เขากระโดง’
การบ้าน‘อนุทิน’นั่ง‘มท.1’! แก้โจทย์สายสีเขียว-เพิกถอนโฉนดเขากระโดง-ต่อสัญญาซื้อน้ำ‘กปภ.’
ลุยเพิกถอนโฉนด 5 พันไร่!‘กรมที่ดิน’ไม่อุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’-แจ้งศาลฯตั้ง‘คกก.สอบสวน’แล้ว
‘รฟท.’ยื่นอุทธรณ์คดี‘เขากระโดง’ปมเรียกค่าเสียหาย 707 ล้าน-รอ‘ศาลปค.’แจ้งท่าที‘กรมที่ดิน’
เส้นตาย 30 เม.ย.! ‘รฟท.’จับตา‘กรมที่ดิน’ยื่นอุทธรณ์คดีเพิกถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ฉบับเต็ม! พลิกคำพิพากษา‘ศาล ปค.’สั่ง‘กรมที่ดิน ‘ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ถอนโฉนด‘เขากระโดง’
‘ศาลปค.กลาง’สั่ง‘อธิบดีกรมที่ดิน’ตั้ง‘คกก.สอบสวน’ เพิกถอนโฉนดที่ดิน‘เขากระโดง’ 772 แปลง
ยันไม่ละเลยเพิกเฉย! ‘กรมที่ดิน’ลุ้น‘ศาลปค.กลาง’ตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้
‘ศาลปค.’นัดตัดสินคดีถอนโฉนด‘เขากระโดง’ 30 มี.ค.นี้-‘ตุลาการฯ’ชี้‘กรมที่ดิน’ละเลยหน้าที่
'ศาลปค.'นั่งพิจารณานัดแรก คดี'รฟท.'ฟ้อง'กรมที่ดิน'ขอสั่งเพิกถอนโฉนด'เขากระโดง' 5 พันไร่
เปิด 2 คำร้อง! ยื่น ป.ป.ช. เอาผิด-สอบจริยธรรม‘ศักดิ์สยาม’ เอื้อเครือญาติยึด‘เขากระโดง’
ยื่น ป.ป.ช.ฟัน'ศักดิ์สยาม' 3 เรื่อง! 'ทวี'แนะปมเขากระโดง ส่งศาลฎีกาสอบจริยธรรมทันที
ข้อมูลใหม่! โฉนด 12 แปลง 179 ไร่ ออกทับที่ดินรถไฟ‘เขากระโดง’ โยงเครือญาติตระกูล‘ชิดชอบ’