สศช.เผย‘จ้างงาน’ไตรมาส 1/68 หด 0.5%-โชว์ข้อมูล‘เครดิตบูโร’ NPLs แตะ 1.22 ล้านล.โต 16.4%

nesdc 09 06 25 pic

‘สภาพัฒน์’ เผยตัวเลข ‘จ้างงาน’ ไตรมาส 1/68 หด 0.5% ขณะที่ 'อัตราว่างงาน' ลดเหลือ 0.88% โชว์ข้อมูล ‘บ.ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ’ พบครัวเรือนมี ‘หนี้เสีย’ แตะ 1.22 ล้านล้าน โต 16.4% ห่วงคนไทย 1 ใน 3 มีพฤติกรรมนิยมใช้ 'สินค้าหรู'

.....................................

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/2568 ว่า ในช่วงไตรมาส 1/2568 มีจำนวนผู้มีงานทำ 39.4 ล้านคน ลดลง -0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวต่อเนื่อง โดยการจ้างงานในภาคเกษตรกรรม มีจำนวน 10.6 ล้านคน ลดลง -3.1% และการจ้างงานในสาขานอกภาคเกษตรกรรม มีจำนวน 28.8 ล้านคน ขยายตัว 0.5%

ทั้งนี้ การจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จะอยู่ในส่วนภาคโรงแรม/ภัตตาคาร ซึ่งมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 3.5% และภาคขนส่ง/เก็บสินค้า ซึ่งมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 4.5% ขณะที่การจ้างงงานในภาคการผลิต ลดลง -0.4% การจ้างงานในภาคก่อสร้าง ลดลง -5.1% และการจ้างงานภาคค้าส่ง/ค้าปลีก ลดลง -3.1% ส่วนการจ้างงานในภาคเกษตรที่ปรับตัว ลดลง -3.1% เป็นปัจจัยเรื่องฤดูกาล

สำหรับชั่วโมงการทำงานของแรงงานในช่วงไตรมาส 1/2568 ลดลง โดยชั่วโมงการทำงานในภาพรวมอยู่ที่ 40.8 ชั่วโมง/สัปดาห์ ลดลง -0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนชั่วโมงการทำงานในภาคเอกชนอยู่ที่ 44 ชั่วโมง/สัปดาห์ ลดลง 0.1% ขณะที่ผู้ทำงานล่วงเวลามีจำนวน 5.9 ล้านคน ลดลง -5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และผู้ทำงานต่ำระดับ (ผู้ที่ทำงานต่ำกว่า 35 ชั่วโมง/สัปดาห์และต้องการทำงานเพิ่ม) มีจำนวน 1.2 แสนคน ลดลง -7.9%

ด้านค่าจ้างแรงงานนั้น ในช่วงไตรมาส 1/2568 ค่าจ้างแรงงานในภาคเอกชนเฉลี่ยอยู่ที่ 14,273 บาท/คน/เดือน เพิ่มขึ้น 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ค่าจ้างแรงงานในระบบ (ค่าจ้างของลูกจ้างรัฐบาล ลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ และลูกจ้างเอกชน) เฉลี่ยอยู่ที่ 15,565 บาท/คน/เดือน เพิ่มขึ้น 3.4% ขณะที่ค่าจ้างแรงงานในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 16,246 บาท/คน/เดือน ลดลง -0.8%

นายดนุชา กล่าวว่า ในส่วนอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 0.88% โดยมีจำนวนผู้ว่างงาน 3.8 แสนคน ลดลง 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (1/2567) ที่มีจำนวนผู้ว่างงาน 4.1 แสนคน คิดเป็นอัตราว่างงาน 1.01% ขณะที่อัตราการว่างงานในระบบฯ อยู่ที่ 1.88% สำหรับผู้เสมือนว่างงาน มีจำนวน 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายดนุชา ระบุว่า ประเด็นด้านแรงงานที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อความอยู่รอดและรักษาขีดความสามารถการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ซึ่งปัจจุบัน SMEs มีการจ้างงาน 12.9 ล้านคน โดยในปี 2567 มีธุรกิจ SMEs เลิกกิจการเกือบ 2.4 หมื่นแห่ง 2.การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน และ 3.เด็กจบใหม่เสี่ยงต่อการตกงาน เพราะจากการสำรวจฯพบว่าผู้บริหาร 89% มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่

nesdc 09 06 25 1

nesdc 09 06 25 2

@‘หนี้ครัวเรือน’ 4/67 โต 0.2%-‘เครดิตบูโร’โชว์ NPLs 1.22 ล้านล.

นายดนุชา กล่าวว่า ในส่วนสถานการณ์หนี้สินครัวเรือนนั้น จากข้อมูลล่าสุดในช่วงไตรมาส 4/2567 พบว่า หนี้สินครัวเรือน มีจำนวน 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัว 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส โดยสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 88.4% ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน (3/2567) ที่สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 88.9%

ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน จากข้อมูล NPLs ของธนาคารพาณิชย์ ในช่วงไตรมาส 4/2567 พบว่า NPLs มีมูลค่า 1.74 แสนล้านบาท ขยายตัว 10.5% คิดเป็นสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.26% จากไตรมาสก่อน (3/2567) ที่สัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.28%

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ในช่วงไตรมาส 4/2567 พบว่า มูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีมูลค่า 1.22 ล้านล้านบาท ขยายตัว 16.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็นสัดส่วน 8.94% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน โดยสัดส่วน NPLs สินเชื่อส่วนบุคคลต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 24.79% สัดส่วน NPLs สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 22.02% และสัดส่วน NPLs สินเชื่อที่อยู่อาศัยต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 17.23% เป็นต้น

สำหรับด้านสินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30-90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลง 6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน โดยสัดส่วน SMLs ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 4.17% จากไตรมาสก่อน (3/2567) ที่สัดส่วน SMLs ต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.52% ซึ่งจะต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติม และแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีโครงการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ ออกมาแล้ว แต่อาจต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้ SMLs กลายเป็น NPLs

ส่วนประเด็นหนี้สินครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้ โดยผลสำรวจฯมหาวิทยาลัยมหิดลเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ทำให้ปัญหาการเป็นหนี้เพิ่มขึ้น พบว่า คนไทย 1 ใน 3 มีพฤติกรรมนิยมใช้สินค้าหรู โดยเฉพาะผู้ชายติดหรูมากกว่าผู้หญิง และ 50% ของผู้มีรสนิยมติดหรู มีเงินเก็บน้อยกว่า 6 เดือน และมีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น จึงต้องมีการสร้างความเข้าใจในเรื่องการวางแผนทางการเงินที่เหมาะสม

2.การผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร โดยปัจจุบันสหกรณ์ทุกประเภทมีการปล่อยกู้ให้สมาชิกมูลค่า 1.3 ล้านล้านบาท แต่มีสหกรณ์ที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรมีน้อย ส่งผลให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนทำได้ยาก ในขณะที่ ณ ไตรมาส 3/2567 หนี้เสียของสหกรณ์ขยายตัวสูงสุดเมื่อเทียบกับลูกหนี้ประเภทอื่นๆ ดังนั้น ภาครัฐควรส่งเสริมให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างมีประสิทธิ

nesdc 09 06 25 3