‘สภาพัฒน์’ เผยจีดีพีไตรมาส 3/66 ขยายตัว 1.5% แม้ส่งออกติดลบ 3.1% เหตุได้รับแรงส่งจาก 'เศรษฐกิจในประเทศ' คาดทั้งปี 2566 เติบโต 2.5% มองปี 67 เศรษฐกิจขยายตัวได้ 2.7-3.7% แต่ยังไม่รวมการแจก ‘เงินหมื่นดิจิทัล’
...........................................
เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ของปี 2566 และแนวโน้มปี 2566-2567 ว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/2566 ขยายตัว 1.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว โดยแรงส่งสำคัญยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนภาคเอกชน ส่วนการส่งออกยังหดตัวต่อเนื่อง
“แรงส่งสำคัญยังคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ 8.1% การลงทุนรวมที่ขยายตัว 1.5% โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว 3.1% ส่วนการลงทุนภาครัฐหดตัว 2.6% ซึ่งเป็นผลจากการเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังมีปัญหาในแง่การเบิกจ่าย ขณะที่การส่งออกบริการยังขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งทำให้สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสนี้ขยายตัวได้เพียง 1.5% นั้น มาจากเรื่องการส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 และถ้านับรวมไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วด้วย จะเท่ากับว่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่อง 4 ไตรมาส และแม้ว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 3 จะมีสัญญาณของการฟื้นตัวในด้านการส่งออก แต่ยังต้องดูเรื่องการเร่งการส่งออก
ขณะเดียวกัน การส่งออกในไตรมาส 3 ที่หดตัว 3.1% ดังกล่าว ยังทำให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมหดตัว 4% ส่วนการบริโภคภาครัฐบาลหดตัว 4.9% นั้น เป็นผลจากเงินโอนสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลโควิด-19 ที่ไม่มีแล้ว และสถานการณ์การบริโภคภาครัฐบาลจะเป็นอย่างนี้ไปถึงสิ้นปี เพราะปีที่แล้ว เรามีเงินโอนพวกนี้ทั้งปี” นายดนุชา กล่าว
นายดนุชา ระบุว่า สำหรับในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.2566) เศรษฐกิจไทยขยายตัว 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ หากดูตัวเลขเป็นรายไตรมาสจะพบว่า เศรษฐกิจไตรมาสที่ 3/2566 ยังคงขยายตัวได้ 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว (ไตรมาส 2/2566) ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2566 โดยไตรมาสที่ 1/2566 การบริโภคเอกชนขยายตัว 5.8% ไตรมาส 2/2566 ขยายตัว 7.8% และไตรมาส 3/2566 ขยายตัว 8.1%
นายดนุชา กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และปี 2567 ว่า เศรษฐกิจในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว 2.5% โดยมาจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 7% และการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2% เป็นต้น ในขณะที่การส่งออกในรูปเงิน USD หดตัว 2% ส่วนปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 2.7-3.7% (ค่ากลาง 3.2%) โดยมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว 3.2% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2.8% และการส่งออกในรูปเงิน USD ขยายตัว 3.8% เป็นต้น
ทั้งนี้ สมมติฐานในการประเมินการเศรษฐกิจไทยปี 2566 และปี 2567 นั้น สศช.ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวที่ 2.8% ในปี 2566 และขยายตัว 2.7% ในปี 2567 ส่วนปริมาณการค้าโลกคาดว่าจะขยายตัว 2.1% ในปี 2566 และขยายตัวที่ 3.2% ในปี 2567 และมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 1.1% ในปี 2566 และขยายตัว 0-1% ในปี 2567 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะอยู่ที่ 28 ล้านคนในปี 2566 และ 35 ล้านคน ในปี 2567 เป็นต้น
นายดนุชา กล่าวด้วยว่า ในการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2567 ที่คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.7-3.7% นั้น สศช.ยังไม่ได้รวมโครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลต เข้าไว้ในประมาณการครั้งนี้ และต้องรอดูว่าโครงการดิจิทัลวอลเลตจะใช้เงินเท่าไหร่ รวมทั้งต้องรอคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาด้วย อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องได้รับการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เพียง 3% กว่าๆ เท่านั้น
“ถามว่า 3.2% (ค่ากลาง) ปีหน้า และ 2.5% ปีนี้ เป็นอย่างไร ก็ต้องเรียนว่าเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้” นายดนุชา กล่าวและว่า “ที่รัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะโต 5% เป็นการตั้งเป้าหมายในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่การทำให้ไปถึงเป้าหมาย 5% จะต้องทำหลายส่วน โดยส่วนสำคัญ คือ การส่งออกและการลงทุนที่ต้องเร่ง โดยเฉพาะการเร่งการลงทุนภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว”
นายดนุชา ยังระบุว่า ปัจจัยที่สนับสนุนเศรษฐกิจปี 2567 ได้แก่ 1.การกลับมาขยายตัวได้ของส่งออก เพราะถ้าดูโมเมนตัมการส่งออกไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แม้ว่าจะยังอ่อนตัวอยู่ก็ตาม 2.การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการลงทุนภาคเอกชน ตามยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น 3.การขยายตัวต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ จากเงินเฟ้อปรับตัวลดลง และตลาดแรงงานดีขึ้น และ 4.การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญในปี 2567 ได้แก่ 1.การลดลงของแรงขับเคลื่อนทางการคลัง เนื่องจากความล่าช้าของงบปี 2567 ดังนั้น หน่วยงานต่างๆต้องเตรียมการจัดซื้อจัดจ้าง และเมื่องบปี 2567 ออกมาแล้วจะได้เบิกจ่ายได้ทันที รวมทั้งต้องปรับการหารายได้สุทธิของรัฐบาล เนื่องจากที่ผ่านมาการหารายได้สุทธิของรัฐบาลลดลงเหลือ 14-15% ต่อจีดีพี และมีแนวโน้มลดลง จึงต้องปรับโครงสร้างภาษี พิจารณาค่าลดหย่อนต่างๆอย่างจริงจัง เพื่อทำให้ภาครัฐมีฐานะการคลังดีขึ้น
2.ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ภาระดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง 3.ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งต่อผลผลิตภาคเกษตร และ 4.ความเสี่ยงจากการชะลอตัวมากว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัด รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามอิสราเอล-ฮามาส และรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจยกระดับความรุนแรงขึ้น
นายดนุชา กล่าวว่า การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566 และในปี 2567 ที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ 1.การดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูง และแรงกดดันทางด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นมาก
2.การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบและใช้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นเกิดจากการขยายตัวของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การชะลอตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก และความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนโลก 3.การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้าให้กลับมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง 4.การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน
5.การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง 6.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร และ7.การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
อ่านประกอบ :
‘สศช.’เผยคนอายุน้อยกว่า 30 ปี‘หนี้เสีย’พุ่ง-ไตรมาส 2/66 ‘จ้างงานโต-ค่าจ้างแท้จริงเพิ่ม’
เศรษฐกิจไทยโตต่ำคาด! สศช.เผยจีดีพีไตรมาส 2/66 ขยายตัวแค่ 1.8%-หั่นเป้าทั้งปีเหลือ 2.5-3%
จ้างงานโต-ว่างงานลด! ‘เลขาฯสศช.’ห่วงขึ้น‘ค่าจ้าง’เท่ากันทั้งปท.-ระเบิดเวลาหนี้ครัวเรือน
สศช.เผยจีดีพีไตรมาส 1/66 โต 2.7% คาดทั้งปี 2.7-3.7%-แนะ‘รบ.ใหม่’รักษาวินัยการเงินการคลัง
'สศช.'ห่วงคนอายุ 60 ปีขึ้นไป มี'หนี้เสีย'บัญชีละ 7.7 หมื่น-ไตรมาส 4/65 ว่างงาน 4.6 แสนคน
เศรษฐกิจโตต่ำคาด! ‘สศช.’เผยจีดีพีไตรมาส 4/65 ขยายตัว 1.4%-หั่นจีดีพีปี 66 เหลือ 2.7-3.7%
‘สศช.’หวั่นขึ้นค่าจ้าง 600 บ. กดดันอุตฯปลดคนงาน-รัฐปรับฐานเงินเดือน‘ขรก.’ทำภาระงบเพิ่ม
เงินเฟ้อฉุด‘ค่าจ้างที่แท้จริง’ไตรมาส 3 หด 3.1%-สศช.ห่วงกลุ่มอายุ 41 ปีขึ้นไปหนี้เสียพุ่ง
‘สภาพัฒน์’ เผยจีดีพีไตรมาส 3/65 ขยายตัว 4.5% คาดทั้งปี 3.2%-มองปี 66 เศรษฐกิจโต 3-4%
‘สศช.’เผย ‘ผู้ว่างงาน’ ไตรมาส 2/65 ลดเหลือ 5.5 แสนคน-หนี้ครัวเรือน 89.2% ต่อจีดีพี
บริโภคเอกชน-ท่องเที่ยวเร่งตัว! ‘สศช.’เผยจีดีพีไตรมาส 2/65 โต 2.5% มองทั้งปี 2.7-3.2%
‘สศช.’ เผยจีดีพีไตรมาส 1/65 ขยายตัว 2.2%-หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีเหลือโต 2.5-3.5%
‘สศช.’เผยจีดีพีปี 64 ขยายตัว 1.6% มองปีนี้โต 3.5-4.5%-นักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 ล้านคน