
‘กนง.’ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% หลัง ‘เศรษฐกิจไทย’ มีความเสี่ยง ‘ด้านต่ำ’ เพิ่มขึ้น ประเมิน 'ฉากทัศน์' ผลกระทบ ‘สงครามการค้า’ ส่อฉุดจีดีพีปี 68 โตแค่ 1.3-2%
..........................................
เมื่อวันที่ 30 เม.ย. นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 จากร้อยละ 2.00 เป็นร้อยละ 1.75 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ทั้งนี้ 2 เสียง เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
สถานการณ์นโยบายการค้าสหรัฐฯ และการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลักจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัย โดยในปัจจุบันยังอยู่ในระยะเริ่มต้นที่ความไม่แน่นอนสูงมาก เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลง สถานการณ์มีแนวโน้มยืดเยื้อและผลกระทบจะทอดยาวไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าการผลิตโลกที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลงในระยะยาว ทั้งนี้ นโยบายการค้าโลกของประเทศเศรษฐกิจหลักในอนาคตยังคาดเดาได้ยาก ส่งผลต่อการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะต่อไป
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มปรับลดลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ ด้านภาวะการเงินโดยรวมยังตึงตัว กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งดูแลภาวะการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไป
ขณะที่กรรมการ 2 ท่านเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อใช้ในจังหวะที่เกิดประสิทธิผลสูงสุดภายใต้ขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีจำกัด
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวลดลงและมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลก และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ มองไปข้างหน้า นโยบายการค้าจะเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนยังสูงมาก คณะกรรมการฯ จึงประเมินภาพเศรษฐกิจภายใต้หลายฉากทัศน์ ตัวอย่าง เช่น ฉากทัศน์ที่การเจรจาทางการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับอัตราปัจจุบัน (reference scenario) อาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.0 และฉากทัศน์ที่สงครามการค้ารุนแรงมากและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ในอัตราที่สูง (alternative scenario) อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวประมาณร้อยละ 1.3
ทั้งนี้ สิ่งที่เกิดจริงจะขึ้นอยู่กับนโยบายและการปรับตัวของประเทศต่างๆ จึงต้องติดตามพัฒนาการการค้าโลกและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด การแก้ปัญหาและลดผลกระทบจากนโยบายการค้าข้างต้นจำเป็นต้องผสมผสานนโยบายหลายด้านเสริมกัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมายจากราคาน้ำมันดิบโลกและมาตรการภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มทรงตัวและเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ นโยบายกีดกันทางการค้าและการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตโลกอาจส่งผลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
ภาวะการเงินยังตึงตัว สินเชื่อรวมหดตัวเล็กน้อย และคุณภาพสินเชื่อยังปรับด้อยลงโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจในกลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง นอกจากนี้ นโยบายการค้าโลกอาจสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน จึงต้องติดตามนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและภาคการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน
ความผันผวนในตลาดการเงินโลกปรับสูงขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าประเทศเศรษฐกิจหลัก และส่งผลให้ความผันผวนของตลาดการเงินไทยสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ดี การทำงานของกลไกตลาดการเงินไทยโดยรวมยังคงเป็นปกติ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงจะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า
@ศก.ไตรมาส 1 ชะลอตัวกว่าคาด-ผลกระทบ‘สงครามการค้า’ยืดเยื้อ
นายสักกะภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/2568 ชะลอตัวกว่าที่คาด จากการลดลงของนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ เนื่องจากความกังวลในเรื่องความปลอดภัย และรัฐบาลจีนมีนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ทำให้ ธปท. ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวในปี 2568 ลงจากเดิม 2 ล้านคน ในขณะที่การบริโภคภาคเอกชน และการส่งออกยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกที่เร่งตัวในไตรมาสที่ 1 และมีแนวโน้มเร่งตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ด้วย

ส่วนภาพรวมของสถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามทางการค้าและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นั้น ขณะนี้พัฒนาการของสถานการณ์ฯ ยังอยู่ในช่วงที่ 1 หรือในช่วงไตรมาสที่ 1-2 (Storm is Coming) คือ ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจน แต่มีความไม่แน่นอนสูง โดยหากเปรียบเทียบสงครามการค้าในรอบนี้กับพายุ ตอนนี้พายุยังไม่มา แต่เห็นเค้าโครงแล้ว และเมื่อเข้าสู่ช่วงที่ 2 หรือในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 (In the Storm) เป็นต้นไป ผลกระทบจะชัดเจนมากขึ้น
“ในครึ่งหลังของปีนี้ เมื่อเราเห็นความชัดเจนในแง่ของตัวภาษีว่า ไทยจะโดนภาษีในอัตราเท่าไหร่ เราจะเริ่มเห็นผลกระทบ โดยเฉพาะผลกระทบต่อการส่งออกที่จะเริ่มชัดขึ้น และคิดว่าตรงนี้จะทอดยาวไปพอสมควร ขณะเดียวกัน อาจมีความเสี่ยงด้านต่ำหรือมีเหตุการณ์ที่จะกระแทกเข้ามาได้ ดังนั้น ในช่วงที่อยู่ในพายุ หรือ In the Storm จะมีความผันผวน ดังนั้น น้ำหนักในการดูแลเศรษฐกิจในช่วงนี้ จะให้น้ำหนักในเรื่องเสถียรภาพในแง่ตัวเศรษฐกิจ” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ กล่าวต่อว่า เมื่อผ่านพ้นช่วง In the Storm หรือช่วงที่พายุผ่านไปแล้ว จะเข้าสู่ช่วงที่ 3 หรือ End Game หรือช่วงปลายทาง (After the Storm) ซึ่งสถานการณ์ต่างๆคงไม่กลับไปเหมือนเดิม และมาตรการด้านภาษีศุลกากร (tariff) จะยังอยู่กับเรา โดยสิ่งที่จะเห็นต่อไป คือ ประสิทธิภาพของโลกจะลดลง เพราะสหรัฐฯไม่ได้ค้าขายกับประเทศอื่นๆเหมือนเดิม เศรษฐกิจของสหรัฐจะขยายตัวลดลง และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
“ในแง่ของโลก จะถูกช็อกในแง่อุปสงค์ที่ลดลง ส่วนเงินเฟ้อโลกอาจลดลงก็ได้ เพราะอุปสงค์โลกลดลง แต่สิ่งที่จะเห็นแน่นอน คือ โลกจะลดการพึ่งพิงการค้ากับสหรัฐ แล้วปรับตัวมาค้าขายกันในภูมิภาค หรือกระจายความเสี่ยงในแง่ตลาดส่งออกมากขึ้น ในขณะที่การไปสู่จุดใหม่นั้น จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการปรับตัว และนโยบายต่างๆที่จะช่วยการปรับตัวเข้าสู่โลกใหม่ ซึ่งต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับโครงสร้างที่ช่วยในเรื่องประสิทธิภาพ” นายสักกะภพ กล่าว
นายสักกะภพ ระบุด้วยว่า แม้ว่าขณะนี้มาตรการ tariff ของสหรัฐฯ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงมาก และสหรัฐฯสามารถปรับเปลี่ยนอัตราภาษี tariff ที่จะเรียกเก็บจากประเทศต่างๆได้อีก แต่ผลจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ยกเว้นจีน แคนาดา และเม็กซิโก ในอัตรา 10% (Universal baseline tariff) รวมถึงการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอื่นๆ ทำให้ขณะนี้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 18.5% เทียบกับทรัมป์ 1 ที่อัตราภาษีอยู่ที่ 3.24%
“ในรอบนี้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของสหรัฐ จะมีมากกว่าในช่วงที่เกิดสงครามการค้าโลกครั้งแรกในช่วงทรัมป์ 1” นายสักกะภพ ย้ำ


@หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 68 เหลือ 2% กรณี‘แย่สุด’โต 1.3%
นายสักกะภพ กล่าวต่อว่า เนื่องจากการคาดการณ์นโยบายการค้าของเศรษฐกิจหลัก ทำได้ยาก ดังนั้น ในการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจไทยในรอบนี้ ธปท. จึงจัดทำประมาณการเศรษฐกิจภายใต้ 2 ฉากทัศน์สำคัญ ได้แก่ 1.ฉากทัศน์อ้างอิง (Reference Scenario) หรือฉากทัศน์ Lower tariff คือ อัตราภาษี tariff อยู่ในระดับปัจจุบัน และ 2.ฉากทัศน์ทางเลือก (Alternative Scenario) หรือ Higher tariff คือ ทุกประเทศเจรจาลดภาษี reciprocal tariff ได้ครึ่งหนึ่ง
โดยกรณี Reference Scenario (Lower tariff) นั้น จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกไทย -4.1% (ผลกระทบรวมในระยะเวลา 1 ปี) และส่งผลกระทบต่อจีดีพี -0.4% (ผลกระทบรวมในระยะเวลา 1 ปี) ส่วนกรณี Alternative Scenario ( Higher tariff) จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกไทย -8.3% (ผลกระทบรวมในระยะเวลา 1 ปี) และส่งผลกระทบต่อจีดีพี -1.0% (ผลกระทบรวมในระยะเวลา 1 ปี)
ด้านเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายฯ เนื่องจากการลดลงในหมวดพลังงาน และมาตรการของภาครัฐ ซึ่งตรงนี้มีส่วนช่วยในแง่ค่าครองชีพของประชาชน และต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ปีนี้ จะเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำกว่ากรอบฯ 1% โดยมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะยังทรงตัวอยู่
ส่วนภาวะการเงิน ภาพไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากการประชุมในเดือน ก.พ.2568 มากนัก โดยภาวะเงินยังคงตึงตัว สินเชื่อรวมหดตัวต่อเนื่อง คุณภาพสินเชื่อทรงตัว แต่สิ่งที่ต้องติดตาม คือ ผลกระทบจากสงครามการค้าโลก ซึ่งผลจะมาในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจทำให้ความเสี่ยงในแง่ credit risk ของทั้งประชาชนและธุรกิจสูงขึ้น ส่งผลให้ภาวะการเงินตึงตัวมากขึ้น และกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ซึ่งคณะกรรมการฯได้ติดตามในส่วนนี้
สำหรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในฉากทัศน์ต่างๆ นั้น กรณี Reference Scenario (Lower tariff) คาดว่าเศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัว 2.0% การส่งออกขยายตัว 0.8% การลงทุนเอกชนหดตัว -1% นักท่องเที่ยวต่างชาติ 37.5 ล้านคน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.5% เป็นต้น ส่วนปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.8% การส่งออกหดตัว -2.8% การลงทุนเอกชนขยายตัว 0.6% นักท่องเที่ยวต่างชาติ 40.5 ล้านคน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.8% เป็นต้น
ขณะที่กรณี Alternative Scenario (Higher tariff) คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 1.3% การส่งออกหดตัว -1.3% การลงทุนเอกชนหดตัว -4.1% นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 37 ล้านคน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.2% เป็นต้น ส่วนปี 2569 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 1% การส่งออกหดตัว -7.0% การลงทุนเอกชนหดตัว 0.7% นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 39 ล้านคน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.4%
“คณะกรรมการฯมองว่าแนวโน้มยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงอาจจะพิจารณาปรับนโยบายให้เหมาะสมกับแนวโน้มและความเสี่ยงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในข้างหน้าต่อไป” นายสักกะภพ กล่าว




@ชี้ปรับ‘ดอกเบี้ย’ต้องเหมาะสถานการณ์-รอดูภาษี tariff สุดท้าย
เมื่อถามว่า หลังจาก กนง.ลดดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว ยังมีช่องว่างในการลดดอกเบี้ย เพื่อดูแลผลกระทบได้อีกมากน้อยแค่ไหน เพราะดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงมาอยู่ที่ 1.75% คงไม่ใช่ดอกเบี้ยสูงสุดในปีนี้ นายสักกะภพ กล่าวว่า “ถามว่า ตอนนี้ในแง่ของขีดความสามารถของนโยบาย หรือ policy space เรามีเท่าไหร่ ถ้าเทียบเคียงกับในช่วงโควิด เราเคยลดดอกเบี้ยลงไปต่ำสุดที่ 0.5% แต่ถ้ามองในแง่ policy space ของตัวเราเองแล้ว เรามีไม่เยอะ
ฉะนั้น ในแง่การพิจารณาใช้ policy space นั้น ควรพิจารณาใช้ควบคู่กับประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วย ซึ่งการปรับลดลงมาครั้งหนึ่ง ก็จะช่วยในภาพของแนวโน้มที่เราคิดว่า น่าจะสอดรับกับตัวแนวโน้มและภาวะไปข้างหน้าในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงมาก เราต้องมีการติดตาม โดยเฉพาะ 2 ฉากทัศน์ที่ประเมินไว้ว่า สุดท้ายแล้ว เราจะเจอ tariff เท่าไหร่ ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อ 90 วันผ่านไป”
นายสักกะภพ ย้ำว่า “เราจะดูแลภาวะการเงินให้เอื้อในแง่การปรับตัวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ” พร้อมระบุว่า “ขนาดของช็อกในรอบนี้ ไม่ได้เหมือนกับช่วงโควิด เศรษฐกิจโลกเองไม่ได้กระทบเท่ากับในช่วงโควิด และไม่ได้เกิดในวงกว้างเหมือนช่วงโควิด ฉะนั้น มาตรการที่เหมาะสม คือ มาตรการเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพ และมาตรการที่เป็น targeted เฉพาะกลุ่ม จะมีความเหมาะสมมากกว่า”
เมื่อถามว่า กนง.สามารถลดดอกเบี้ยนโยบาย ลงไปเต็มที่เหลือ 0.5% ใช่หรือไม่ นายสักกะภพ กล่าวว่า “คงบอกไม่ได้ว่าจะลดลงไป ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนนั้นด้วย แต่ที่เราเคยลดลงไปต่ำสุด คือ 0.5% และมุมมองของนโยบายการเงินตอนนี้ ‘เปลี่ยนไป’ คือ อยู่ในช่วงที่เราเรียกว่า ‘ปรับให้มีภาวะผ่อนคลาย’”
ส่วนกรณีที่ มูดี้ส์ ปรับ Outlook แนวโน้มความน่าเชื่อถือของประเทศไทย จาก Stable เป็น Negative กนง.มีการหารือในเรื่องนี้หรือไม่ นั้น นายสักกะภพ กล่าวว่า กรณีมูดี้ส์ปรับ Outlook ดังกล่าว มาจากเหตุผลในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่อาจจะช้า และภาระหนี้ของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องให้น้ำหนักว่า การทำนโยบายที่มองไปข้างหน้านั้น จะให้น้ำหนักในเรื่องเหล่านี้อย่างไร
“ผลกระทบปกติ จากการปรับตรงนี้ แน่นอนว่าจะเพิ่มต้นทุนของของภาคธุรกิจในแง่ของการระดมทุน แต่ว่า ณ ปัจจุบัน เรายังไม่เห็นตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Fx (อัตราแลกเปลี่ยน) ก็ไม่ได้อ่อนลงไปเท่าไหร่นัก และในแง่ตลาดพันธบัตรรัฐบาล อัตราผลตอบแทนก็ยังไม่ได้เห็นการปรับเพิ่มขึ้นขนาดนั้น
แต่ในส่วนตรงนี้ เราต้องมองระยะยาว ต้องกลับไปดูนโยบายที่เราต้องเร่งทำ เช่น การสร้างรายได้ การสร้างประสิทธิภาพ และคำนึงถึงประสิทธิผลการทำนโยบาย เพราะขีดความสามารถของนโยบายทุกอย่าง มีข้อจำกัด ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง” นายสักกะภพ กล่าว
เมื่อถามว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องทบทวนโครงดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ นายสักกะภพ กล่าวว่า “ต่อให้มูดี้ส์ไม่เตือน ผมว่าเราก็ต้องระมัดระวังในการใช้พื้นที่ทางการคลังและพื้นที่ทางการเงินอยู่แล้ว เพราะภายใต้ภาวะปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอน ในหลักการเราพูดกันหลายครั้งแล้วว่า ถ้าดูตัวเลขการบริโภคเอกชน แม้ว่าจะปรับลดลง แต่ยังพอไปได้
ฉะนั้น เมื่อรู้ว่าการลงทุนเอกชนจะลดลงไป สิ่งที่ภาครัฐสามารถทดแทนได้ คือ การลงทุนของภาครัฐ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น นโยบายที่เหมาะสม จึงเป็นการสร้างรายได้ระยะยาว ไม่ใช่การกระตุ้น ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากความเห็นที่มูดี้ส์ให้ไว้”
เมื่อถามว่า เมื่อ กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยโดยให้มีผลทันทีแล้ว ธนาคารพาณิชย์จะดำเนินการทันทีหรือไม่ และลดในอัตรา 0.25% ตาม กนง. หรือไม่ นายสักกะภพ กล่าวว่า ปกติแล้ว การส่งผ่านนโยบายจะไม่ใช่ 100% อยู่แล้ว หาก กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% โดยปกติแล้ว การส่งผ่านในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ครึ่งหนึ่ง แต่บางช่วงอาจมากน้อยแตกต่างกัน รวมทั้งส่งผ่านทั้งในแง่ดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ซึ่งก็คาดหวังว่าการส่งผ่านฯครั้งนี้จะไปช่วยลดภาระของประชาชนผู้กู้
อ่านประกอบ :
เศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่ประเมิน! กนง.มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2%
มติเอกฉันท์! 'กนง.'คงดอกเบี้ย 2.25% มอง GDP ปีหน้า 2.9%-จับตาเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง
บรรเทาภาระหนี้! กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 ลดดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 2.25%-คาด GDP ปี 67 โต 2.7%
‘ผู้ว่าฯธปท.’เผย‘กนง.’กังวลสภาวะการเงิน‘ตึงตัว’ ย้ำ 3 เงื่อนไขปรับดบ.-ปัดตอบลดค่าฟี FIDF
มติ 6 ต่อ 1! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% ชี้สอดคล้องการขยายตัวศก.-กังวล‘หนี้ครัวเรือน’สูง
มติ 5 ต่อ 2 เสียง! 'บอร์ด กนง.' เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5%-มอง GDP ปี 67 โต 2.6%
'นายกฯ'เรียกร้อง'ธปท.'นัดประชุม'กนง.'ก่อนกำหนด ถกลด'ดอกเบี้ย'หลังมีข้อมูลใหม่'สภาพัฒน์'
มติ 5 ต่อ 2! 'กนง.'เสียงแตก คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 67 โตไม่เกิน 3%
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 2.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 2.4%
3 กรรมการ'กนง.'ฝั่ง'แบงก์ชาติ' มองทิศทาง'ดอกเบี้ยนโยบาย' ท่ามกลาง'ปัจจัยเสี่ยง-แรงกดดัน'
เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น! กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ2.5%-มองGDPปีนี้โต 2.8%
สู่ระดับ 2.25%! 'กนง.'มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%-มอง'เงินเฟ้อ'มีความเสี่ยงด้านสูง
มติเอกฉันท์! ‘กนง.’เคาะขึ้นดบ. 0.25% สู่ระดับ 2% มองเศรษฐกิจอาจโตเกินคาด-จับตาเงินเฟ้อ
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%สู่ระดับ 1.75% สกัดเงินเฟ้อ-จับตาตลาดการเงินโลกผันผวน
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สกัดเงินเฟ้อ-มองศก.ไทยฟื้นต่อเนื่อง แม้ส่งออกแผ่ว
กนง.มีมติเอกฉันท์ขึ้นดบ.นโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.25%-จับตาเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอกว่าคาด
มติเอกฉันท์! กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จับตา‘เงินบาท’ใกล้ชิด-มองจีดีพีปีนี้โต 3.3%

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา