
คำพิพากษาศาลฎีกาฯฉบับเต็ม คดี ‘คฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล’ สส.พรรคพลังไทยรักไทย ยื่นบัญชีฯเท็จ ป.ป.ช. ไม่แจ้งหนี้เงินกู้ยืม 8.6 แสน พร้อมทรัพย์สินเมีย หลังหย่าปี 57 แต่อยู่บ้านเดียวกัน โชว์เฟซบุ๊กออกงานสังคม/ควงทำกิจกรรมการเมืองร่วมกัน สั่งจําคุก 2 เดือน ให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี รอลงโทษ 1 ปี
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่านายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล (อดีต) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคพลังไทยรักไทย (ปัจจุบันเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อชาติไทย) ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ โดยไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืม จำนวน 865,000 บาท และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสร เตชะเดชเรืองกุล อดีตภรรยาที่เคยจดทะเบียนหย่าแต่ยังอยู่กินกันฉันสามีภรรยาอย่างเปิดเผย ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป ลงโทษจําคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท ศาลฯเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่เคยต้องโทษจําคุกมาก่อนหรือมีความประพฤติที่มีข้อเสื่อมเสีย อีกทั้งโทษทางการเมืองที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับโดยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปถือว่าได้รับโทษตามสมควรกับพฤติการณ์การกระทำความผิดเชื่อว่าเพียงพอให้หลาบจำแล้ว และเพื่อให้โอกาสได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้งกรณีมีเหตุอันควรปรานีที่จะรอการลงโทษจําคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามที่สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง: ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีสักครั้ง! คุก 2 เดือน -รอลงโทษ ‘คฑาเทพ’อดีต สส.ยื่นบัญชีฯเท็จ )
@เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม –คำร้อง ป.ป.ช.ยื่นบัญชีฯเท็จตอนรับตำแหน่ง
คำพิพากษา คดีหมายเลขคำที่ อม. 29/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อม.36/2568 วันที่ 28 สิงหาคม 2568 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ผู้ถูกกล่าวหา เรื่องการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน
ผู้ร้องยื่นคําร้องและแก้ไขคําร้องขอให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น กรณีเข้ารับตำแหน่ง โดยไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสา เรียนสตรา ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสร เตชะเดชเรืองกุล ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหา กับลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81, 114 วรรคสอง (1), 167
ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ
@ไม่แจ้งรายการหนี้กู้ยืม-ทรัพย์สินภรรยา
พิเคราะห์คําร้อง คำให้การ พยานหลักฐานตามทางไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบสํานวนการไต่สวน คําแถลงปิดคดีของคู่ความ และที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 และได้ปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อนเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ตามรายงานประชุมสภาผู้แทนราษฎร เอกสารหมาย ร.5 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 ตามสำเนาพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 เอกสารหมาย ร.6 ผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะตามที่มีอยู่จริงกรณีเข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 102 (1) และมาตรา 105 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่ง โดยไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสา เรียนสตรา ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสร ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหา ตาม เอกสารหมาย ร.13 และผู้รับมอบอำนาจของผู้ถูกกล่าวหาได้มารับทราบบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ในวันที่ 26 เมษายน 2566 ตามเอกสารหมาย ร.14 และผู้ถูกกล่าวหามีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ตามหนังสือลงวันที่ 23 มิถุนายน 2566 เอกสารหมาย ร.15
@ ผู้ร้องนําคดีมายื่นต่อศาลโดยไม่ได้นําตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาล ชอบด้วย กม. คดีไม่ขาดอายุความ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่า การที่ผู้ร้องนําคดีมายื่นต่อศาลโดยไม่ได้นําตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาลเป็นการยื่นคําร้องโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการไม่ได้ตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาลภายในกำหนดอายุความ 5 ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีส่วนอาญาจึงขาดอายุความหรือไม่
ผู้ถูกกล่าวหาให้การว่า ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ผู้ร้องนําคดีมายื่นต่อศาลเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 โดยไม่ได้นําตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาล จึงถือว่าเป็นการยื่นคําร้องโดยไม่ชอบและเป็นการไม่ได้ตัวผู้ถูกกล่าวหามาศาลภายในกำหนดอายุความ 5 ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีส่วนอาญาจึงขาดอายุความ สิทธินําคดีอาญามาฟ้อง เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) และมาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 8 วรรคสาม และมาตรการบังคับทางการเมืองไม่อาจแยกจากโทษทางอาญาจึงไม่อาจนํามาบังคับได้
เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 25 วรรคหนึ่งและ วรรคสองบัญญัติว่า ในการดำเนินคดีอาญาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เมื่อได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วให้อายุความสะดุดหยุดลง ในกรณีผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลยหลบหนีไปในระหว่างถูกดำเนินคดีหรือระหว่างการพิจารณาคดีของศาล มิให้นับระยะเวลาที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือจําเลย หลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ และมาตรา 27 บัญญัติว่า ในกรณียื่นฟ้องคดีต่อศาล ให้อัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหามาศาลในวันฟ้องคดี ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลและอัยการสูงสุดหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหลักฐานแสดงต่อศาลว่าได้เคยมีการออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหาแล้วแต่ยังไม่ได้ตัวมา หรือเหตุที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่มาศาลเกิดจากการประวิงคดี หรือไม่มาศาลตามนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ให้ศาลประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล ดังนั้น การที่ผู้ร้องนําคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 จึงทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ประกอบกับผู้ร้องมีหลักฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาได้รับ หนังสือฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2567 เรื่อง ขอให้ไปรายงานตัวต่อผู้ว่าคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในวันที่ 19 สิงหาคม 2567 แล้วแต่ไม่มาตามกำหนดนัดโดยไม่มีเหตุแก้ตัวอันควร ดังนี้ ศาลย่อมประทับรับฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้จะไม่ปรากฏผู้ถูกกล่าวหาต่อหน้าศาล การยื่นคําร้องจึงชอบด้วยกฎหมายและคดีส่วนอาญาไม่ขาดอายุความ
@เจ้าหนี้มีหลักฐานให้กู้ 865,000 บาทโอนเข้าบัญชี 2 ครั้ง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน โดยไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสา ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ นางธนสร ตามคําร้องหรือไม่
ทางไต่สวนผู้ร้องมี นางสาวยมนา ฐินะกุล เจ้าพนักงานตรวจสอบ ทรัพย์สินชํานาญการพิเศษของสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้ร้องเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยัน ข้อเท็จจริงว่า เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบกรณีไม่แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำนวน 865,000 บาท พยานมีหน้าที่รับและตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้ร้องมีนางมาลิสา เรียนสตราหรือทองดี เป็นพยานเบิกความ ตามบันทึกถ้อยคํา ยืนยันข้อเท็จจริงว่า รายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำนวน 865,000 บาท นั้นมีการมอบเงินให้ผู้ถูกกล่าวหา แบ่งเป็นครั้งที่ 1 เป็นเงินจำนวน 150,000 บาท จากการตรวจสอบสำเนา ใบรับรองรายการฝาก จำนวน 3 ฉบับ ปรากฏรายละเอียดว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 พยานได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) เลขที่บัญชี 825-203545-1 ชื่อบัญชี นายชรัสส์ธิ ณ นคร จำนวนเงิน 110,000 บาท และ 50,000 บาท ต่อมา ในวันเดียวกัน นายชรัสส์ธิได้ฝากเงินสด จำนวน 150,000 บาท เข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขาอำนาจเจริญ เลขที่บัญชี 408-768083-3 ชื่อบัญชี นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ตามเอกสารหมาย ร.32 ส่วนครั้งที่ 2 เป็นเงินจำนวน 315,000 บาท ตามสัญญากู้ยืม ตรวจสอบรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีของบัญชีเงินฝาก ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขาอำนาจเจริญ เลขที่บัญชี 520-261853-6 ชื่อบัญชี นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล และ/หรือ นางชลธิกาญจน์ ไชยบุตร ปรากฏรายการฝากเงิน (CD) จำนวน 538,000 บาท ตาม เอกสารหมาย ร.18 รวมจำนวนเงินที่ผู้ถูกกล่าวหากู้ยืมจากพยาน จำนวน 865,000 บาท ตามเอกสารหมาย ร.19 และ ร.32 มีการทำสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 715,000 บาท ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยมีพยานเป็นผู้ให้กู้ และผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้กู้ ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ติดต่อเพื่อจะชําระหนี้คืนให้กับพยานแต่อย่างใด และได้ให้ทนายความติดต่อนัดให้พยานเดินทางไปที่จังหวัดอำนาจเจริญ เพื่อไปรับเงินกู้ยืมคืนที่ทำการพรรคพลังไทยรักไทย โดยผู้ถูกกล่าวหาได้ชําระหนี้เงินกู้ยืมคืนให้กับ พยานเพียงจำนวน 859,000 บาท โดยชําระเป็นเงินสด และพยานได้มอบต้นฉบับสัญญากู้ยืมเงิน ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาไป และในวันเดียวกันพยานได้เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซี อุบลราชธานี เลขที่บัญชี 938-246406-3 ตามเอกสารหมาย ร.20 และ นําเงินดังกล่าวทั้งหมดฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองทันที
@หย่าเมียปี 57 แต่ยังออกงานสังคม/ควงทำกิจกรรมพรรคการเมืองร่วมกัน
และกรณีไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ของนางธนสร นั้น ผู้ร้องมี นางสาวยมนา ฐินะกุล เจ้าพนักงานตรวจสอบทรัพย์สินชํานาญการพิเศษของสำนักงาน ป.ป.ช. ผู้ร้องเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกกล่าวหาจดทะเบียนสมรสกับนางธนสร เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2539 จดทะเบียนหย่า เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2557 เอกสารหมาย ร.7 และร.21 ต่อมาผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ได้แสดงในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินว่ามีสถานภาพ หย่า มีบุตร จำนวน 2 คน คือ นายพงษ์ฐวัฒน์ เตชะเดชเรืองกุล อายุ 22 ปี และนายพัฒฐนพงศ์ เตชะเดชเรืองกุล อายุ 18 ปี นางธนสรใช้นามสกุล “เตชะเดชเรืองกุล” ตามหนังสืออนุญาตให้ร่วมใช้ชื่อสกุล เอกสารหมาย ร.7 พยานได้ตรวจสอบภาพที่ปรากฏในเฟซบุ๊กของนางธนสรมีภาพของผู้ถูกกล่าวหา นางธนสร และบุตรชาย มาตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งจนกระทั่งปัจจุบันยังมีสถานะความเป็น สามีภริยากัน ไม่ว่าจะเป็นการออกงานสังคมร่วมกัน งานประเพณีต่าง ๆ หรือว่างานของทางพรรคการเมือง ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้จากการตรวจสอบการใช้เฟซบุ๊กของนางธนสร โดยใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊กว่า “ธนสร เตชะเดชเรืองกุล” มีการนําเข้าข้อมูลในปี 2559 จนถึงปี 2566 ตามเอกสารหมาย ร.24 เป็นภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรร่วมกัน เช่น ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นางธนสรโพสต์ภาพถ่ายทางเฟซบุ๊ก วันที่ 17 เมษายน 2559 ปรากฏภาพถ่ายผู้ถูกกล่าวหา นางธนสร และบุตรชายทั้ง 2 คน ร่วมกันเนื่องในวันสงกรานต์ วันที่ 12 พฤษภาคม 2562 โพสต์ภาพถ่ายตนเอง ผู้ถูกกล่าวหาและบุตรชายคนโต พร้อมเอกสารสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และภายหลังจากที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ยังคงปรากฏภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหา และนางธนสรร่วมกันมาตลอด มีการออกงานสังคมร่วมกันในหลายโอกาส ในลักษณะเป็นที่รับรู้ของสังคมว่าเป็นสามีภริยากันและยังคงอยู่กินกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ก่อนวันที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนกระทั่งปัจจุบัน และมีภาพถ่ายที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้จากการตรวจสอบการใช้เฟซบุ๊กของนางธนสรเป็นภาพที่ผู้ถูกกล่าวหา และนางธนสรช่วยกันดูแลเอาใจใส่บุตรอันเป็นการแสดงความสัมพันธ์กันในครอบครัวในการทำหน้าที่ของบิดามารดาที่พึงกระทำต่อบุตร และยังมีภาพถ่ายที่ผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรแสดงออกที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ของคู่สมรสในลักษณะที่สามีพึงกระทำต่อภริยาในที่สาธารณะ รวมทั้งภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรที่ออกงานร่วมกันในงานประเพณี เทศกาลต่าง ๆ การออกงานสังคม รวมทั้งงานที่เกี่ยวข้อง กับพรรคพลังไทยรักไทย
@อยู่บ้านดียวกันพร้อมลูกหลังที่แจ้งในบัญชีฯ ป.ป.ช.
พยานตรวจสอบพบชื่อ นางธนสร นายพงษ์ฐวัฒน์ และนายพัฒฐนพงศ์ มีที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร เป็นบ้านเลขที่ 220/2 หมู่ที่ 9 ตำบลน้ำปลีก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ ทั้งนี้ บ้านเลขที่ 220/2 ผู้ถูกกล่าวหาได้แสดงไว้ในรายการโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างในการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และมีผลการตรวจสอบในทางลับของสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2563 ว่า จากการสอบถามเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง ทราบว่านางธนสรและบุตร 2 คน เคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าวกับสามี คือ ผู้ถูกกล่าวหาและบิดามารดาของผู้ถูกกล่าวหา ปัจจุบันผู้ถูกกล่าวหาและครอบครัวไม่ได้พักอาศัยอยู่บ้านหลังดังกล่าวแล้ว โดยครอบครัวได้ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 209 หมู่ที่ 2 ตำบลโนนโพธิ์ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จากการตรวจสอบรายการบุคคลในบ้านเลขที่ 220/2 ปรากฏรายชื่อบุคคลในบ้านจำนวน 7 คน พบว่ามีชื่อของนางธนสร นายพงษ์ฐวัฒน์ นายพัฒนพงศ์ เป็นบุคคลในบ้านหลังดังกล่าว
@อดีตเลขาฯมอบภาพถ่ายควงกันเอารถยี่ห้อฮุนไดไปให้เจ้าอาวาสเจิมด้วยกันหลังรับตำแหน่ง ส.ส.
และพยานปากนายวินัย ไชยบุตร อดีตเลขาธิการพรรคพลังไทยรักไทยเบิกความ และได้ให้ถ้อยคํากับพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 ว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยสมรสและได้หย่าแล้ว แต่ยังใช้ชีวิตและพักอาศัยอยู่ร่วมกันตามปกติ และมีภาพถ่ายที่นายวินัยได้มอบให้กับพนักงานเจ้าหน้าที่ประกอบการให้ถ้อยคําเมื่อครั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาได้นํารถยนต์ยี่ห้อฮุนได รุ่น H1 สีดำ ไปให้เจ้าอาวาสวัดนายมทำพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีนางธนสรุปรากฏในภาพถ่ายยืนข้างผู้ถูกกล่าวหาด้วย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาได้รถยนต์คันดังกล่าวมาหลังจากเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562
@ชี้แจงอ้างสัญญาเงินกู้ปลอม-ถูกแกล้ง นิติกรรมอำพรางใช้ไม่ได้
ส่วนผู้ถูกกล่าวหาเบิกความต่อสู้กรณีไม่แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำนวน 865,000 บาท ว่า สัญญากู้เป็นสัญญาปลอมที่นายชรัสส์ธิ ณ นคร กับนางมาลิสา ร่วมกันกับนายวินัย ไชยบุตร และนางชลธิกาญจน์กลั่นแกล้งผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งบุคคลทั้ง 4 คนนี้สังกัดพรรคเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา และมีหนังสือชี้แจงตามที่กล่าวอ้างกรณีไม่แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำนวน 865,000 บาท ว่านางมาลิสา ผู้ให้กู้ยืมเงินดังกล่าวมีความกังวลใจว่าจะไม่ได้รับคืนจากกรรมการพรรคการเมืองที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหัวหน้าพรรค ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะหัวหน้าพรรคจึงทำหนังสือ สัญญากู้ยืมเงิน จำนวน 865,000 บาท เพื่อความสบายใจ และให้ถือว่าหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน ดังกล่าวนั้นเป็นการตกลงทำสัญญาเป็นพิธีเท่านั้น และมิอาจนํามาเรียกร้องสิทธิใด ๆ เงินจำนวน ดังกล่าว ต่อมาทางพรรคได้ส่งมอบเงินคืนให้แก่นางมาลิสาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจึงมิได้ติดใจอะไร อีกทั้งหนังสือสัญญากู้เงินจำนวน 865,000 บาท เป็นนิติกรรมอำพรางตามมาตรา 155 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหามิได้แสดงรายการหนี้กู้ยืมนางมาลิสา จำนวน 865,000 บาท ในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาและมูลหนี้ดังกล่าวเป็นมูลหนี้ที่ไม่จริง
@ยอมให้เมียใช้นามสกุลเพื่อแก้ปัญหาความอบอุ่นในครอบครัว
ส่วนกรณีไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสร เตชะเดชเรืองกุล ผู้ถูกกล่าวหาเบิกความต่อสู้ว่า หลังจดทะเบียนหย่ากับนางธนสรแล้วเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2557 ตามเอกสารหมาย ร.21 ได้ย้ายออกมาอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 209 หมู่ที่ 2 ตำบลโนนโพธิ์ อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จนถึงปัจจุบัน ส่วนนางธนสรยังคงพักอาศัยอยู่บ้านหลังเดิม คือ บ้านเลขที่ 220/2 โดยต่างฝ่ายต่างอยู่มิได้มีความสัมพันธ์ต่อกันแต่อย่างใด แต่ตกลงกันว่าจะมีการดูแลบุตรร่วมกัน ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ดูแลส่งเสียนางธนสรนับตั้งแต่จดทะเบียนหย่า จนกระทั่งปี 2559 บุตรทั้งสองคน เข้าสู่วัยรุ่น ทราบปัญหาในการหย่า ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป อารมณ์รุนแรง มั่วสุม และก่อปัญหาให้แก่สังคมสืบเนื่องมาจากขาดความอบอุ่นในครอบครัว ผู้ถูกกล่าวหาแก้ไขโดยให้ใช้นามสกุลใหม่ของผู้ถูกกล่าวหาและยินยอมให้นางธนสร ใช้นามสกุล “เตชะเดชเรืองกุล” ตามหนังสืออนุญาตให้ร่วมใช้ ชื่อสกุล เอกสารหมาย ร.7
@เชื่อพยาน เบิกความตามจริง-ผู้ถูกร้องไม่มีพยานหลักฐานหักล้าง
เห็นว่า ในกรณีไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสาในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จำนวน 865,000 บาทนั้น นางสาวยมนาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติงานไปตามหน้าที่ ตรวจสอบพยานเอกสารและพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่าวหามาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความผิดไปจากความจริง เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง และผู้ร้องมีนางมาลิสาเป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันการทำสัญญากู้ยืมเงิน รวมถึงมีการส่งมอบเงินโดยการโอนเงินเข้าบัญชีที่มีชื่อผู้ถูกกล่าวหาร่วมอยู่ด้วย สอดคล้องกับสำเนาแบบคําขอเปิดบัญชีเงิน ฝากธนาคารไทยพาณิชย์ (จํากัด) มหาชน สาขาอำนาจเจริญ เลขที่บัญชี 520-261853-6 ชื่อบัญชี ผู้ถูกกล่าวหา และ/หรือ นางชลธิกาญจน์ ไชยบุตร ที่เป็นการเปิดบัญชีร่วม 2 คน ระบุถึงแหล่งที่มาของเงินว่ามาจากเงินสมทบของสมาชิกพรรคการเมือง ตามเอกสารหมาย ร.18 และการที่มีชื่อ นางชลธิกาญจน์ ไชยบุตร เป็นเหรัญญิกพรรค แสดงให้เห็นว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคาร ดังกล่าวเป็นบัญชีเงินฝากที่เปิดสำหรับแสดงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกรณีที่จะจัดตั้งการเมือง นางมาลิสาก็เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงตรงกับที่เคยให้ถ้อยคํา ประกอบกับมีพยานเอกสาร เกี่ยวข้องที่มาของเงินและการส่งมอบเงินให้กู้ยืมแสดงไว้อย่างครบถ้วน ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานผู้ร้องปากนี้เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ถูกกล่าวหามาก่อน จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าเบิกความและให้ถ้อยคําปรักปรำผู้ถูกกล่าวหา เชื่อว่าพยานเบิกความและให้ถ้อยคําตามความเป็นจริง คําเบิกความของนางมาลิสาจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง
ส่วนคํากล่าวอ้างดังกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาที่ต่อสู้มานั้นก็ขัดแย้งกับคําเบิกความในชั้นไต่สวนของผู้ถูกกล่าวหาเองและขัดแย้งกับถ้อยคําของพยานปากนางมาลิสาที่ว่า ได้มีการทำสัญญากู้ยืมเงิน ในวันที่ 5 กันยายน 2561 ซึ่งเป็นวันที่ส่งมอบเงินกู้ อีกทั้งจำนวนเงินกู้ยืมที่ผู้ถูกกล่าวหากล่าวอ้างว่าได้มีการทำสัญญากันภายหลัง เป็นเงินจำนวน 865,000 บาท นั้น ไม่ตรงกับสัญญากู้ยืมเงิน ฉบับลงวันที่ 6 กันยายน 2561 ซึ่งระบุจำนวนเงินกู้ 715,000 บาท คําเบิกความของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจึงเป็นพิรุธไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐาน ผู้ร้องได้ ประกอบกับได้ความจากนางมาลิสาว่าเมื่อได้รับชําระหนี้เป็นเงินสดจากผู้ถูกกล่าวหาก็นําเข้า บัญชีเงินฝากธนาคารของตนในวันเดียวกันคือวันที่ 7 มิถุนายน 2562 จึงเป็นการชําระหนี้ภายหลัง เข้ารับตำแหน่ง ผู้ถูกกล่าวหาย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าก่อนเข้ารับตำแหน่งตนเองมีหนี้สินตามสัญญากู้ดังกล่าว แต่กลับไม่แสดงรายการในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้อง ที่ผู้ถูกกล่าวหา กล่าวอ้างจึงเป็นข้อต่อสู้ที่ขัดต่อเหตุผลปราศจากพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุน ทั้งเป็นข้อเท็จจริงที่ง่ายต่อการกล่าวอ้างขึ้นภายหลัง จึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานผู้ร้องได้ ดังนี้ พยานหลักฐานของผู้ร้องที่นําสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินกรณีไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสาในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จำนวน 865,000 บาทตามคําร้องแล้ว
@อยู่บ้านเดียวกัน ใช้ทรัพย์สินร่วมกัน-ลูกชาย 2 คนไม่รู้ พ่อแม่เคยจดฯหย่า
ส่วนกรณีไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสร นั้น เห็นว่า การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรว่าภายหลังจดทะเบียนหย่าขาดจากกันตามกฎหมายแล้ว ผู้ถูกกล่าวหายังแสดงให้ปรากฏ หรือมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่าผู้ถูกกล่าวหามีสถานะเป็นสามีของนางธนสร ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 102 วรรคสอง และประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่า เป็นคู่สมรส พ.ศ. 2561 ข้อ 3 หรือไม่ นั้น ต้องพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้ถูกกล่าวหาที่แสดงออกให้ปรากฏต่อบุคคลทั่วไปดังเช่นที่เคยประพฤติปฏิบัติต่อนางธนสรก่อนจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน เสมือนหนึ่งว่านางธนสรยังคงเป็นภริยาของผู้ถูกกล่าวหาอยู่ต่อเนื่องกันจนถึงวันที่ผู้ถูกกล่าวหามีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง คือ วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ของผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรจากการใช้ทรัพย์สินของบุคคลทั้งสอง การพักอาศัยภายในบ้านพักที่มีลักษณะเป็นครอบครัวเดียวกัน รู้กันเป็นการโดยทั่วไป ซึ่งประกอบด้วยบุคคลมีสถานะเป็นสามี คือ ผู้ถูกกล่าวหา บุคคลมีสถานะเป็นภริยาและ มารดาของบุตร คือ นางธนสรและบุคคลมีสถานะเป็นบุตร คือ นายพงษ์ฐวัฒน์และนายพัฒฐนพงศ์ อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังเดียวกัน ประกอบกับคําเบิกความนายพงษ์ฐวัฒน์และนายพัฒนพงศ์ บุตรผู้ถูกกล่าวหากับนางธนสร เบิกความในทํานองเดียวกันรับว่า ไม่ทราบว่าในปี 2557 บิดามารดา ของพยานหย่าขาดจากกัน พยานทราบว่าหย่าขาดจากกันเมื่อผู้ถูกกล่าวหาจดทะเบียนสมรสใหม่ กับมารดาพยานในปัจจุบัน
@ภาพจากเฟซบุ๊กมัดสัมพันธ์ครอบครัวควงรับหนังสือรับรองเป็น สส.จาก กกต.
และตามเอกสารหมาย ร.24 ตั้งแต่หน้า 322 ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กของมารดาพยานทั้งสองที่มีภาพถ่าย บุคคลทั่วไปเห็นภาพถ่ายแล้วก็จะคิดว่ายังเป็นสามีภริยากันเจือสมกับพยานหลักฐานผู้ร้องที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้จากการตรวจสอบการใช้เฟซบุ๊กของนางธนสรโดยใช้ชื่อบัญชีเฟซบุ๊กว่า ธนสร เตชะเดชเรืองกุล มีการนําเข้าข้อมูลในปี 2559 จนถึงปี 2566 ตามเอกสารหมาย ร.24 เป็นภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรร่วมกัน เช่น ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นางธนสรโพสต์ภาพถ่ายทางเฟซบุ๊กวันที่ 17 เมษายน 2559 ปรากฏภาพถ่ายผู้ถูกกล่าวหา นางธนสรและบุตรชายทั้ง 2 คน ร่วมกันเนื่องในวันสงกรานต์ วันที่ 12 พฤษภาคม 2562 โพสต์ภาพถ่ายตนเอง ผู้ถูกกล่าวหาและบุตรชายคนโต พร้อมเอกสารสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และภายหลังจากที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ยังคงปรากฏภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหาและ นางธนสรร่วมกันมาตลอด มีการออกงานสังคมร่วมกันในหลายโอกาส ในลักษณะเป็นที่รับรู้ของสังคมว่าเป็นสามีภริยากันและยังคงอยู่กินกันฉันสามีภริยาตั้งแต่ก่อนวันที่ผู้ถูกกล่าวหาจะเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนกระทั่งปัจจุบัน ภาพถ่ายที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้จากการตรวจสอบการใช้เฟซบุ๊กของนางธนสรดังกล่าวเป็นภาพที่ผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรช่วยกันดูแล เอาใจใส่บุตรอันเป็นการแสดงความสัมพันธ์กันในครอบครัวในการทำหน้าที่ของบิดามารดาที่พึงกระทำต่อบุตร ภาพถ่ายที่ผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสรแสดงออกที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ของคู่สมรส ในลักษณะที่สามีพึงกระทำต่อภริยาในที่สาธารณะรวมทั้งภาพถ่ายของผู้ถูกกล่าวหาและนางธนสร ที่ออกงานร่วมกันในงานประเพณี เทศกาลต่าง ๆ การออกงานสังคม รวมทั้งงานที่เกี่ยวข้องกับ พรรคพลังไทยรักไทย พฤติการณ์ดังกล่าวของผู้ถูกกล่าวหาจึงเป็นการแสดงให้ปรากฏว่ามีสถานะเป็น สามีภริยากัน หรือมีพฤติการณ์เป็นที่รับรู้ของสังคมทั่วไปว่ามีสถานะดังกล่าว ตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์ของผู้ซึ่งอยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสอันถือว่าเป็นคู่สมรส พ.ศ. 2561 ข้อ 3 พยานหลักฐานของผู้ร้องที่นําสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินกรณีไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสรที่ยังคงอยู่กินกันฉันสามีภริยากับผู้ถูกกล่าวหาตามคําร้อง
@พฤติการณ์มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน
เมื่อผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (3) และ มาตรา 102 (1) มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่มีอยู่จริงต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง ต่อมาผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องกรณีเข้ารับตำแหน่ง โดยไม่แสดงรายการหนี้กู้ยืมจากนางมาลิสาในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนางธนสรตามคําร้อง คดีจึงฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน หรือหนี้สิน มีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป และยังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ประกอบมาตรา 114 วรรคสาม และมาตรา 167
@! เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง จําคุก 2 เดือน ปรับ 10,000 บาท โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี รอลงโทษ 1 ปี
พิพากษาว่า นายคฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน หรือหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1) ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตลอดไป ตามมาตรา 81 ประกอบ มาตรา 114 วรรคสาม กับมีความผิดตามมาตรา 167 ให้ลงโทษจําคุก 2 เดือน และปรับ 10,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยต้องโทษจําคุกมาก่อนหรือมีความประพฤติที่มีข้อเสื่อมเสีย อีกทั้งโทษทางการเมืองที่ผู้ถูกกล่าวหาได้รับโดยถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปถือว่าผู้ถูกกล่าวหาได้รับโทษตามสมควรกับพฤติการณ์การกระทำความผิดเชื่อว่าเพียงพอให้ผู้ถูกกล่าวหาหลาบจำแล้ว และเพื่อให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้กลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้ง กรณีมีเหตุอันควรปรานีที่จะรอการลงโทษจําคุกให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 56 ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30.


ข่าวคดีบัญชีทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเผยแพร่ ปี 2568
- จำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ! รองนายก อบต.ดอนนางหงส์ นครพนม จงใจยื่นทรัพย์สินเท็จ (36)
- ศาลฎีกาฯสั่งกักขัง 4 เดือนแทนจำคุก นายกเทศฯ ต.วังบงค์ จ.พิจิตร ซุกหจก.รับเหมา, คำพิพากษาฉบับเต็ม! นายก ทต.วังบงค์ จ.พิจิตร โอนหุ้นรับเหมาให้นอมินี-กักขัง 4 เดือน (35)
- จำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ ‘เกรียงไกร’ เลขานายกอบจ.นครนายก จงใจยื่นบัญชีฯเท็จ (34)
- ให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีสักครั้ง! คุก 2 เดือน -รอลงโทษ ‘คฑาเทพ’อดีต สส.ยื่นบัญชีฯเท็จ (33)
- ศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ! รองนายก อบต.พรมสวรรค์ ร้อยเอ็ด จงใจไม่ยื่นบัญชี (32)
- พิพากษาฉบับเต็ม ‘พุทธชาติ’ สจ.บุรีรัมย์ ใช้นอมินีถือครองเงินลงทุน 7 แห่งใน 4 จว. ,คุก 2 ด.! รอลงอาญา อดีต ส.อบจ.บุรีรัมย์ ปกปิดทรัพย์สิน-เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งตลอดไป (31)
- ศาลฎีกาจำคุก 1 เดือน-ให้รอลงโทษ!‘ศรีชาติ’รองนายก อบจ.นนทบุรี จงใจปกปิดทรัพย์สิน(30)
- ศาลฎีกาฯจำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ! รองนายก อบต.หนองหัวโพ จ.สระบุรี จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ (29)
- คุก 1 เดือน-รอลงโทษ! รองนายก ทต.ดงมอน มุกดาหาร ไม่แจ้งทรัพย์สิน/หนี้เมีย 2 คน (28)
- ‘อุดมชัย’รองนายก อบต.หนองอ้ม จ.อุบลฯ จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ (27)
- จำคุก 1 เดือน ‘วิลัยวัลย์’ รองนายก อบต.ด่านใน จ.นครราชสีมา ไม่ยื่นบัญชีฯ-ให้รอลงโทษ (26)
- ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 1 เดือน ‘สมชาติ’ส.อบจ.เพชรบุรี จงใจยื่นบัญชีฯเท็จ ให้รอลงโทษ (25)
- รองนายก อบต.โสกปลาดุก จ.ชัยภูมิ จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ (24)
- ศาลจำคุก 1 เดือน-รอลงโทษ พ.ต.อ.ปราชญ์ นายก ทต.แหลมงอบ จ.ตราด ยื่นบัญชีฯเท็จ (23)
- คดีที่ 2! จำคุก 2 เดือน ‘สมเกียรติ’ ส.ส.กาญจนบุรี ยื่นบัญชีฯเท็จกรณีเข้ารับตน.-ให้รอลงโทษ (22)
- ศาลสั่งคุกจริง 1 เดือน ‘นพดล’ ส.อบจ.นครนายก ยื่นไม่ครบ/ยื่นบัญชีฯเท็จ-เคยต้องคดีเก่า (21)
- ศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 เดือน ‘อภิชัย’ นายกทต.ขุนกระทิง จ.ชุมพร ไม่ยื่นบัญชีฯ-ให้รอลงโทษ (20)
- จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ! ศาลสั่งจำคุก 1 เดือน รองนายก อบต.ขามเปี้ย จ.ร้อยเอ็ด – ให้รอลงโทษ (19)
- ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 4 เดือน ‘สมเกียรติ’อดีต สส.กาญจนบุรี ยื่นบัญชีฯเท็จ-ให้รอลงโทษ (18)
- ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 1 เดือน รองนายก อบต.วัด จ.ปัตตานี ไม่ยื่นบัญชีฯ-ให้รอลงโทษ (17)
- ศาลฎีกา จำคุก 1 เดือน ‘ตรีวิเศษ’รองนายก อบจ.มหาสารคาม ไม่ยื่นบัญชีฯ-ให้รอลงโทษ (16)
- คุก 2 เดือน-รอลงโทษ! นายก อบต.เขากอบ จ.ตรัง ยื่นบัญชีฯเท็จ-ไม่แจ้งเงินให้กู้ยืม 58 ล.(15)
- จำคุก 2 เดือน-ให้รอลงโทษ! ส.อบจ.พิจิตร ยื่นบัญชีฯเท็จ-ใช้ลูกชาย‘นอมินี’ถือหุ้นรับเหมา (14)
- ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 2 เดือน ‘นาวิน’ ส.อบจ.อุบลฯ จงใจยื่นบัญชีฯเท็จ – ให้รอลงโทษ (13)
- ศาลฎีกาฯจำคุก 2 เดือน ‘พรชัย’ นายก อบจ.อุบลฯ ยื่นบัญชีฯเท็จ นับโทษต่อ 2 คดีทุจริต (12)
- ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 1 เดือน นายก อบต.ดงรัก จ.ศรีสะเกษ ไม่ยื่นบัญชีฯ-ให้รอลงโทษ (11)
- องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ฯแก้โทษให้รอลงอาญา 2 ปี รองนายก อบจ.สกลฯ ยื่นบัญชีฯเท็จ (10
- ศาลฎีกาฯพิพากษานายก อบต.สมสะอาด จ.อุบลฯ ไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน –รอลงโทษ (9)
- ศาลฎีกาฯพิพากษารองนายก อบต.นาคำใหญ่ จ.อุบลฯ ไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน-รอลงโทษ (8)
- ศาลฎีกาฯจำคุก 2 เดือน-รอลงโทษ รองนายก อบต.บางกุ้ง จ.ตรัง ไม่ยื่นบัญชีฯ 2 ครั้ง (7)
- ศาลฎีกาฯพิพากษา ‘อาแซ มาหะมะ’ นายกเทศฯ ต.ตอหลัง ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 2 เดือน-รอลงโทษ (6)
- ศาลฎีกาพิพากษา ‘อนุชิต’ สท.เมืองบึงยี่โถ จ.ปทุมฯ ยื่นบัญชีฯเท็จ จําคุก 2 เดือน รอลงโทษ (5)
- ศาลฎีกาฯพิพากษาคุก 1 เดือน นายก อบต.หนองแสงใหญ่ จ.อุบลฯ จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ-รอลงโทษ(4)
- ศาลฎีกาฯพิพากษาคุก 1 เดือน ‘ขนบ’ นายกอบต.โนนทัน จ.หนองบัวฯ ไม่ยื่นบัญชีฯ-รอลงโทษ(3)
- ศาลฎีกาฯจำคุก 1 เดือน ‘สมพงษ์’รองนายก อบต.ดอนกลาง มหาสารคาม ไม่ยื่นบัญชีฯ-รอลงโทษ(2)
- ศาลฎีกาฯจำคุก 2 เดือน ‘ชัชวาลย์ ’รองนายก อบจ.ตาก ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ-รอลงโทษ(1)
ข่าวคดีบัญชีทรัพย์สินผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรอบปี 2567 (เผยแพร่ 28 ม.ค.2567-12 ม.ค.2568)
- สรุปยอดคดีบัญชีทรัพย์สิน 35 นักการเมืองท้องถิ่นปี 2567
- สรุปยอดคดีบัญชีทรัพย์สินนักการเมืองท้องถิ่นปี 2567 มีความผิด 35 ราย คุกจริง 2 คน
- ศาลฎีกาฯจําคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ รองนายก อบต.หนองฉาง จ.อุทัยฯ จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ
- ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ รองนายกทต.ธาตุพนม ยื่นบัญชีฯเท็จ
- จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ อ้างป่วย! ศาลฎีกาฯจำคุก 1 เดือน เลขาฯนายก อบจ.สมุทรสาคร-รอลงโทษ
- จำคุก 2 เดือน ให้รอลงโทษ ‘นันทนิตร’ สท.เมืองศิลา ขอนแก่น จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
- ศาลฎีกาฯพิพากษา รองนายก อบต.ถ้ำ จ.พังงา ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน จำคุก 1 เดือน รอลงโทษ
- ‘มะหมัดนีซัม บิลังโหลด’นายกเทศฯ ต.เจ๊ะบิลัง สตูล ยื่นบัญชีเท็จ จำคุก 1 ด.-รอลงโทษ
- ศาลพิพากษา ‘ทรงยศ’ รองนายกเทศฯ ต.นาชะอัง ไม่ยื่นบัญชีฯ 2 ครั้ง จำคุก 2 เดือน-รอลงโทษ
- ‘บุญชัย สีนานันท์’รองนายก อบต.ดอนจิก จ.อุบลฯ ไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน รอลงโทษ
- เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม ‘ไพร พัฒโน’ นายกฯนครหาดใหญ่ ยื่นบัญชีฯเท็จจำคุก 1 เดือน
- ศาลฎีกาพิพากษา ‘ศิริชัย กุลาศรี’ ส.อบจ.มหาสารคาม ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 1 เดือน รอลงโทษ
- ให้พ้นตำแหน่ง ศาลฎีกาฯ จำคุก 2 เดือน! รองนายก อบต.คลองโคน ยื่นบัญชีเท็จ-รอลงโทษ
- ให้พ้นตำแหน่ง! รองนายก อบต.น้ำผุด จ.สตูล จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ คุก 2 เดือน รอลงโทษ
- ศาลฎีกาให้รองนายกเทศฯ ต.แพรกษา พ้นตำแหน่ง ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 2 เดือน-รอลงโทษ
- คดีที่สอง!ศาลฎีกาฯจำคุก 2 เดือน นายก ทต.สระโบสถ์ จ.ลพบุรี จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ-รอลงโทษ
- ฉบับเต็ม!องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ยืนยกคำร้อง รองนายก อบต.กันจุ ไม่ยื่นบัญชีฯอดีตเมีย
- รองนายก อบต.หนองบัวใต้ หนองบัวลำภู ไม่ยื่นบัญชีฯ 2 ครั้ง จําคุก 2 เดือน ให้รอลงโทษ
- รองนายก อบต.เฉลียง จ.นครราชสีมา จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน จำคุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษา‘พนมศิลป์’รองนายก ทต.ท่าอุเทน ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 1 เดือน-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษา‘สุรางค์ทิพย์’ส.อบจ.ลพบุรี จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 2 เดือน-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯ พิพากษา ส.อบจ.เพชรบูรณ์ ซุกเงินฝาก ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 1 เดือน-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษารองนายกเทศฯต.โคกล่าม จ.ร้อยเอ็ด ไม่ยื่นบัญชีฯ คุก 1 เดือน-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษา รองนายก อบต.วัด จ.ปัตตานี ไม่ยื่นบัญชีฯ จำคุก 1 เดือน รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 1 เดือน -รอลงโทษ รองนายกเทศฯ ต.โพธิ์ชัย ร้อยเอ็ด ยื่นบัญชีฯเท็จ
- พลิกคดีเก่า รองนายก อบจ.สกลฯ ยื่นบัญชีเท็จ 5 ครั้ง ก่อนทำผิดซ้ำ คราวนี้คุกจริง 6 เดือน
- ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกจริง 6 เดือน รองนายก อบจ.สกลนคร จงใจยื่นบัญชีฯเท็จ-ทำผิดซ้ำ
- ศาลฎีกาฯ สั่งจำคุก 1 เดือน‘เจริญพงษ์’ส.อบจ.พังงา ปกปิดทรัพย์สินฯ 11 รายการ-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯจําคุก 2 เดือน ที่ปรึกษานายก อบจ.ร้อยเอ็ด จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุก 1 เดือน เลขาฯนายกท.นครสุราษฎร์ฯ ยื่นบัญชีฯเท็จ-รอลงโทษ
- ศาลฎีกาฯพิพากษารองนายก ทต.บ้านกล้วย ชัยนาท ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 1 เดือน ให้รอลงโทษ
- จำคุก 1 เดือน รอลงโทษ รองนายก อบต.หนองแรต จ.ปัตตานี ไม่ยื่นบัญชีฯ ป.ป.ช.
- ศาลฎีกาฯจำคุก 1 เดือน รอลงโทษ สท.เมืองเขาสามยอด จ.ลพบุรี จงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
- ศาลฎีกาฯพิพากษา สท.เมืองท่าใหม่ จันทบุรี ปกปิดทรัพย์สิน 12 ล. คุก 1 ด. รอลงโทษ
- ศาลฎีกาพิพากษารองนายก อบต.ชิงโค สงขลา ยื่นบัญชีฯเท็จ ปมเงินกู้ 2 ล. รอลงโทษจำคุก
- คุก 1 ด. รอลงโทษ! ศาลฎีกาฯพิพากษา นายก อบต.โคกกรวด นครนายก ยื่นบัญชีฯเท็จ
- ศาลฎีกาฯให้พ้นตำแหน่ง-ถอนสิทธิ์สมัครเลือกตั้ง! รองนายก อบต.ดูกอึ่ง ไม่ยื่นบัญชีฯป.ป.ช.
- ศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 เดือน -รอลงโทษ รองนายก อบต.สักหลง จ.เพชรบูรณ์ ไม่ยื่นบัญชี
- ศาลฎีกาจำคุก 2 เดือน-รอลงโทษ นายก อบต.ด่านช้าง หนองบัวลำภู ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
