ศาลฎีกาให้รองนายกเทศฯ ต.แพรกษา พ้นตำแหน่ง ยื่นบัญชีฯเท็จ คุก 2 เดือน-รอลงโทษ

03102024 addd00

ศาลฎีกาฯพิพากษา ‘อดีต สุกดิษฐ์’ รองนายกเทศฯต.แพรกษา สมุทรปราการ จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จป.ป.ช. ไม่แสดงเงินให้กู้ยืม 2 รายการ 3 ล้าน 2 ครั้ง ทั้งรับดอกเบี้ยทุกเดือน ให้พ้นตำแหน่ง เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีพ จำคุก 2 เดือน ปรับ 8,000 บาท รอลงโทษ 1 ปี

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ว่า นายอดีต สุกดิษฐ์ รองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นปัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ผู้ร้อง ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1) ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2567 อันเป็นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตลอดไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 และผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวมเป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี

นายอดีตไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) ได้แก่ รายการเงินให้กู้ยืมแก่นางสาวโสภา แซ่เจียม 2,000,000 บาท และเงินให้กู้ยืมแก่นางสาวดวงใจ สุกดิษฐ์ 1,000,000 บาทซึ่งปรากฏว่าได้รับดอกเบี้ยจากนางสาวโสภา เดือนละ 20,000 บาท และได้รับดอกเบี้ยจากนางสาวดวงใจเดือนละ 10,000 บาท

คำพิพากษามีรายละเอียดมีดังนี้

@ เปิดรายละเอียด

คดีหมายเลขดำที่ อม. 11/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 27/2567

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันที่ 14 เดือน สิงหาคม พุทธศักราช 2567

ระหว่าง

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ร้อง

นายอดีต สุกดิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา

เรื่อง การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้คำร้องขอให้ให้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ดำรงตำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบและมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 81, 114 วรรคสอง (1) และ มาตรา 167 ประมวลกฎหมายอาญาญา มาตรา 91

ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ

@ ไม่แสดงเงินให้กู้ยืม 2 รายการ 3 ล้าน อ้างไม่ได้ทำสัญญา-หลงลืม

พิเคราะห์คำร้อง เอกสารประกอบคำร้อง และคำให้การของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 3) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2557 พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 และเข้ารับตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 4) เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 โดยปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่งดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาจึงมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินในกรณีพ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) โดยผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) และกรณีเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) แต่ไม่แสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ถูกกล่าวหา กรณีพ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) ได้แก่ รายการเงินให้กู้ยืมแก่นางสาวโสภา แซ่เจียม 2,000,000 บาท และเงินให้กู้ยืมแก่นางสาวดวงใจ สุกดิษฐ์ 1,000,000 บาท ซึ่งปรากฏว่าได้รับดอกเบี้ยจากนางสาวโสภา เดือนละ 20,000 บาท และได้รับดอกเบี้ยจากนางสาวดวงใจเดือนละ 10,000 บาท

ต่อมาเมื่อเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) ผู้ถูกกล่าวหาแสดงรายการว่า มีเงินให้นางอรัญญา สุวรรรณบุตร กู้ยืม โดยถอนเงินจากบัญชีผู้ถูกกล่าวหา บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนเทพารักษ์ สมุทรปราการ เลขที่ 199-521122-2 เพื่อซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายเงินแก่นางอรัญญา 2 ฉบับ 2,000,000 บาท และ 3,000,000 บาท โดยไม่ได้แสดงรายการเงินให้กู้ยืมรายนางสาวโสภา และนางสาวดวงใจ กรณีพ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) และกรณีเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) ผู้ร้องจึงมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหาได้ลงนามรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงข้อกล่าวหาต่อผู้ร้องว่า การให้กู้ยืมเงินไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมิได้ทำสัญญากู้ยืมกันไว้ ผู้ถูกกล่าวหาจึงหลงลืมในการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ไม่มีเจตนาไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าว ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2567

ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) หรือไม่

@ พบหลักฐาน รับดอกเบี้ยทุกเดือน

เห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นรองผู้บริหารท้องถิ่นตามประกาศของผู้ร้อง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้อง เมื่อเข้ารับตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 102 (9) และมาตรา 105 แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่แสดงรายการเงินให้กู้ยืมรายนางสาวโสภา แซ่เจียม 2,000,000 บาท และเงินให้กู้ยืมรายนางสาวดวงใจ สุกดิษฐ์ 1,000,000 บาท ซึ่งในการให้กู้ยืมทั้งสองรายการนี้ผู้ร้องตรวจพบรายการชำระค่าดอกเบี้ย 20,000 บาท ต่อเดือน และ 10,000 บาท ต่อเดือนตามลำดับ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาต้องทราบดีถึงการให้กู้ยืมเงินทั้งสองรายการ เพราะมีลักษณะเป็นการปล่อยเงินกู้โดยคิดค่าดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนรายเดือนทุกเดือน ผิดวิสัยที่จะหลงลืมเงินค่าดอกเบี้ยที่เป็นรายได้อีกทางหนึ่ง การไม่แสดงรายการทรัพย์สินดังกล่าวในขณะที่พ้นจากตำแหน่ง (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) นั้น ย่อมมีผลกระทบต่อการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดปกติ ประกอบกับผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ

@ ชัดเจตนาปกปิด

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบต่อผู้ร้อง และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สินมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ทั้งยังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ด้วย

พิพากษาว่า นายอดีต สุกดิษฐ์ ผู้ถูกกล่าวหา จงใจยื่นปัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินพร้อมเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ (วาระที่ 3) และเข้ารับตำแหน่ง (วาระที่ 4) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 114 วรรคสอง (1) ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2567 อันเป็นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกกล่าวหาตลอดไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 และผู้ถูกกล่าวหามีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 167 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวมเป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 16,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 8,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

03102024 ad002