พลิกคดีเก่า ‘สาธินี ดาวศิริโรจน์’ รองนายก อบจ.สกลนคร ยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ป.ป.ช. 5 ครั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีตอนเป็นที่ปรึกษา จำคุก 5 เดือน ปรับ 20,000 บาท รอการลงโทษ 1 ปี ก่อนล่าสุดกระทำผิดซ้ำ โดนคุกอีก 1 เดือน รวมของเก่าเป็น 6 เดือน คราวนี้ไม่รอลงโทษ
สืบเนื่องกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา เมื่อวันที่ 10 เดือน กรกฎาคม 2567 ว่า นางสาวสาธินี ดาวศิริโรจน์ รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร (อบจ.สกลนคร) จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน กรณีพ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.สกลนคร ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป จำคุก 2 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดซ้ำในลักษณะเดียวกันหลายครั้ง และผู้ถูกกล่าวหาเคยต้องคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อม.103/2561 ของศาลนี้ ซึ่งพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและรอการลงโทษ 1 ปี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2561 มาแล้ว อันเป็นการให้โอกาสแก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่ผู้ถูกกล่าวหายังกระทำความผิดในคดีนี้อีก ส่อแสดงว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่หลาบจำ และไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษจำคุกให้ผู้ถูกกล่าวหาอีก และให้บวกโทษจำคุก 5 เดือน ของผู้ถูกกล่าวหาที่รอการลงโทษไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.103/2561 ของศาลนี้ เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 วรรคหนึ่ง เป็นจำคุกผู้ถูกกล่าวหามีกำหนด 6 เดือน. (คดีหมายเลขแดงที่ อม. 21/2567 วันที่ 10 เดือน กรกฎาคม 2567 ) ตามสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้ว (ข่าวเกี่ยวข้อง: ศาลฎีกาฯพิพากษาจำคุกจริง 6 เดือน รองนายก อบจ.สกลนคร จงใจยื่นบัญชีฯเท็จ-ทำผิดซ้ำ)
มาย้อนดูพฤติกรรมกระทำผิดซ้ำของน.ส.สาธินีเป็นอย่างไร ?
คำพิพากษาศาลฎีกาฯคดีหมายเลขแดงที่ อม.103/2561 วันที่ 21 มิถุนายน 2561 มีดังนี้
ศาลฎีกาฯพิพากษว่า น.ส.สาธินี ดาวศิริโรจน์ ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)สกลนคร (ตำแหน่งขณะนั้น) จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ. สกลนคร ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2551 และพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2555 ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนคร ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2555 และพ้นจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2557 ในวันเดียวกันได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนคร และดำรงตำแหน่งอยู่จนถึงปัจจุบัน ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 ลงวันที่ 25 ธ.ค.2557 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ 16 พ.ค.2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่ง ให้รับคำร้องไว้พิจารณา ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้อง ดังนี้
(1) กรณีพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร ครั้งที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีฯต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2556 พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร จำนวน 8 รายการ รวมเป็นเงินจำนวน 6,833,476.64 บาท
(2) กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนคร ครั้งที่ 1 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2558 พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่แสดง รายการเงินฝากธนาคาร เงินลงทุน และเงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 10 รายการ เป็นทรัพย์สินรวม 1,545,981.05 บาท และหนี้สินจำนวน 5,000,000 บาท
(3) กรณีพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนคร ครั้งที่ 2 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีฯ ต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2557 พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร เงินลงทุน และเงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 9 รายการ เป็นทรัพย์สินรวม 1,110,368.63 บาท และหนี้สิน จำนวน 1,255,348,17 บาท
(4) กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ. กลนคร ครั้งที่ 2 ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีฯ ต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2558 พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยไม่แสดงรายการ เงินฝากธนาคาร และเงินลงทุน จำนวน 8 รายการ เป็นทรัพย์สินรวม 1,119,992.46 บาท
(5) กรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนคร ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชี ฯ ต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2557 พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร เงินลงทุน และเงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 9 รายการ เป็นทรัพย์สินรวม 1,110,368.63 บาท และหนี้สินจำนวน 1,255,348.17 บาท
ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงและผู้ถูกกล่าวหามีหนังสือชี้แจงต่อผู้ร้องว่า ไม่แสดงรายการเงินฝากเนื่องจากธนาคารปิดทำการ บางบัญชีไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเงินได้ปิดบัญชีไปแล้ว เข้าใจผิดหลงว่าเป็นบัญชีที่จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารเท่านั้น ไม่แสดงเงินลงทุนเนื่องจากเข้าใจผิดว่า เป็นเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดที่บริหารงานโดยเครือญาติ และไม่แสดงเงินเบิกเกินบัญชีเนื่องจากเข้าใจผิด ว่าเป็นบัญชีสินเชื่อเพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจ
ศาลฎีกาฯวินิจฉัยว่า ผู้ถูกกล่าวหายื่นบัญชีฯ ต่อผู้ร้อง กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจาก ตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนคร ครั้งที่ 1 กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนคร ครั้งที่ 2 และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนคร พ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดโดยไม่แสดงรายการเงินฝากธนาคาร เงินลงทุน และเงินเบิกเกินบัญชี หลายรายการ เมื่อผู้ร้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริงและเหตุผล ของการไมยื่นบัญชีฯต่อผู้ร้องให้ถูกต้องครบถ้วนแล้ว ผู้ถูกกล่าวหามีหนังสือชี้แจงต่อผู้ร้องว่า ไม่แสดงรายการเงินฝากเนื่องจากธนาคารปิดทำการ บางบัญชี ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเงินได้ปิดบัญชีไปแล้ว เข้าใจผิดหลงว่าเป็นบัญชีที่จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารเท่านั้น ไม่แสดงเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดไอริสคลีนิคเวชกรรม เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นเงินลงทุนที่บริหารงานโดยเครือญาติ และไม่แสดงเงินเบิกเกินบัญชีเนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นบัญชีสินเชื่อเพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจ แต่ได้ความจากการตรวจสอบของผู้ร้องว่า มีการปิดบัญชีเงินฝากบางบัญชีภายหลังวันที่ผู้ถูกกล่าวหา มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน สำหรับเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัดไอริสคลีนิคเวชกรรมก็ปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการและเป็นผู้รับรองงบการเงินของห้างฯ ในปีที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สิน ส่วนเงินเบิกเกินบัญชีก็มีการทำธุรกรรมการเงินเป็นประจำทุกเดือน
คำชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหา จึงไม่น่าเชื่อถือและง่ายแก่การกล่าวอ้าง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินนั้น ซึ่งการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องปฏิบัติ อันเป็นมาตรการในการตรวจสอบ ทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อให้เกิดการตรวจสอบผู้ใช้อำนาจรัฐ
จึงฟังได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีฯ ต่อผู้ร้องด้วยข้อความ อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนครครั้งที่ 1 กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา นายก อบจ. สกลนครครั้งที่ 2 และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนคร มีผลห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง เมื่อผู้ถูกกล่าวหายังคงดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนครซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ ผู้ถูกกล่าวหาหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้แล้ว ผู้ถูกกล่าวหาจึงต้องพ้นจากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสอง นอกจากนี้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
พิพากษาว่า น.ส.สาธินี ดาวศิริโรจน์ ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีฯ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา นายก อบจ. สกลนครครั้งที่ 1 กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว เป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายก อบจ.สกลนครครั้งที่ 2 และกรณีเข้ารับตำแหน่งรองนายก อบจ. สกลนคร ห้ามมิให้ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาฯ วินิจฉัย และ ให้ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งรองนายก อบจ.สกลนครที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันนับแต่วันที่ 16 พ.ค.2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาฯ มีคำสั่ง ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 การกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 8,000 บาท รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 10 เดือน และปรับ 40,000 บาท ผู้ถูกกล่าวหาให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 5 เดือน และปรับ 20,000 บาท ไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอ การลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี
รวมการยื่นบัญชีฯครั้งล่าสุด เท่ากับเป็นครั้งที่ 6
สำหรับ หจก. ไอริสคลีนิคเวชกรรม จากการตรวจสอบพบว่า เป็นสถานพยาบาลอยู่ใน จ.นครราชสีมา ส่วน น.ส.สาธินีปัจจุบันมีชื่อเป็นกรรมการธุรกิจ 4 บริษัท ในกรุงเทพฯ 2 แห่ง เป็น เจ้าของร้านเสริม และธุรกิจโรงแรม และ ใน จ.สกลนคร 2 แห่ง รับเหมาก่อสร้าง และ ขายอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน