‘ศาลปกครองสูงสุด’ กลับคำสั่ง ‘ศาลปกครองชั้นต้น’ สั่งรับคำฟ้องคดีที่ลูกค้า ‘AIS-TRUE’ ฟ้องขอให้เพิกถอนมติ กสทช. ที่รับทราบการรวมธุรกิจ TRUE-DTAC ไว้พิจารณา ชี้ ‘เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม’ ศาลฯมีอำนาจรับคำฟ้องได้
.....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งในคดีที่ผู้บริโภค 5 ราย ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง (ศาลชั้นต้น) ในคดีหมายเลขแดงที่ 301/2566 หมายเลขแดงที่ 1194/2566 ซึ่งศาลฯมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในคดีขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) กรณีรับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และขอให้เพิกถอน ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560 ไว้พิจารณา
โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งกลับคำสั่งศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคำฟ้องของผู้บริโภคทั้ง 5 ราย ไว้พิจารณา เนื่องจากเห็นว่า แม้ว่าการยื่นฟ้องคดีจะพ้นกำหนดระยะเวลาฟ้องคดีแล้ว แต่การฟ้องคดีนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องของผู้บริโภคทั้ง 5 ราย ไว้พิจารณาพิพากษาได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ
“คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฎว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (กสทช.) อาศัยอำนาจตามมาตรา 27(11) (24) และมาตรา 81 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ประกอบมาตรา 21 และมาตรา 22 (3) (4) (5) แห่ง พ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ออกประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560
และมีมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AIS) ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลุ่มบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (TRUE MOVE) โดยผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าเป็นผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม
ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของปวงชนชาวไทยซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และเป็นเจ้าของในคลื่นความถี่ที่ใช้ในกิจการโทรคมนาคมอันเป็นสมบัติของชาติ ตามมาตรา 3 และมาตรา 60 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และในฐานะเป็นผู้บริโภคอีกฐานะหนึ่ง ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ถูกฟ้องคดี
จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนประกาศและมติของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 กรณีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าก่อนว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้ อันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดี (กสทช.) ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีนี้หรือไม่
เห็นว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 ถึงผู้ฟ้องคดีที่ 4 เป็นผู้ใช้บริการเครีอข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 5 เป็นผู้ใช้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด อันอยู่ในการกำกับดูแลของผู้ถูกฟ้องคดี
การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอ้างว่า ประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560 และมีมติในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 รับทราบการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันส่งผลให้บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด
กลายเป็นผู้ดำเนินกิจการที่อยู่เหนือตลาด หรือเป็นผู้ดำเนินกิจการโทรคมนาคมเพียงรายเดียว ย่อมจะส่งผลให้อัตราค่าบริการที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคมทุกประเภทเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และย่อมส่งผลให้ประชาชน รวมถึงผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไม่สามารถเลือกรับ หรือตัดสินใจในการรับบริการโทรคมนาคมได้ กรณีจึงถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าอาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเสี่ยงได้จากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า จึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า นำคดีมาฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หรือไม่
เห็นว่า เมื่อประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560ได้มีการลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135 ตอนพิเศษ 14 ง วันที่ 19 ม.ค.2561 โดยข้อ 1 ของประกาศดังกล่าว กำหนดว่า ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ดังนั้น วันที่ 20 ม.ค.2561 อันเป็นวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงเป็นวันที่ประกาศฉบับพิพาทมีผลใช้บังคับ และถือว่าเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้ารู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนประกาศฉบับพิพาทภายในเก้าสิบ (90) วันนับแต่วันดังกล่าว
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
ส่วนกรณีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ขอให้ศาลเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดี (กสทช.) ในการประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฎตามคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีได้เปิดเผยผลการลงมติพิพาทแก่สื่อมวลชนแขนงต่างๆ เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 และเผยแพร่ผ่านทางเว็บไชต์ของสำนักงาน กสทช. เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2565 สำหรับรายงานการประชุมได้เผยแพร่ทางเว็บไซต์ของสำนักงาน กสทช. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2565
อันถือเป็นการเปิดเผยรายงานการประชุม พร้อมทั้งผลการลงมติของผู้ถูกฟ้องคดีต่อสาธารณชนแล้ว ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553
กรณีจึงต้องถือว่า ผู้ฟ้องคดีได้รู้หรือควรรู้ถึงความมีอยู่ของมติพิพาทที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีตามความเป็นจริงอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 31 ต.ค.2565 ผู้ฟ้องคดีทั้งห้าจึงชอบที่จะต้องนำคดีมาฟ้องต่อศาลภายในเก้าสิบ (90) วันนับแต่วันดังกล่าว เพื่อขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดี
ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีทั้งห้านำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นทางระบบงานคดีปกครองอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.2566 จึงเป็นการยื่นฟ้องคดีเมื่อพันกำหนดระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า ที่ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ลงวันที่ 4 ธ.ค.2560 และเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดี (กสทช.) ในการประชุมนัดพิเศษครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2565 แล้ว จะเห็นได้ว่า ทั้งสองกรณีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาว่า การฟ้องคดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมที่ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 หรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า บริการโทรคมนาคมเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของประชาชน และด้วยข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณคลื่นความถี่ที่มีจำนวนจำกัด อีกทั้งการลงทุนในการประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ตลาดหรืออุตสาหกรรมโทรคมนาคม จึงมีผู้ประกอบการจำนวนน้อยราย ทำให้มีลักษณะเป็นการกึ่งผูกขาดโดยธรรมชาติ
การที่ผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมจะควบรวมธุรกิจหรือไม่ จึงกระทบต่อการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม และมีผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้บริการในวงกว้างด้วย ข้อพิพาทในคดีนี้จึงต้องถือว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ศาลปกครองจึงมีอำนาจรับคำฟ้องนี้ของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณาพิพากษาได้ ทั้งนี้ ตามมาตรา 52 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณา และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และเมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณาแล้ว จึงไม่จำต้องพิจารณาคำขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีของผู้ฟ้องคดีทั้งห้า แต่อย่างใด นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย
จึงมีคำสั่งกลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าไว้พิจารณา และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี รวมทั้งพิจารณาคำขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีของผู้ฟ้องคดีทั้งห้าต่อไป”คำสั่งศาลปกครองสูงสุด คำร้องที่ 1344/2566 คำสั่งที่ 69/2567 ลงวันที่ 19 ม.ค.2567 อ่านคำสั่งเมื่อวันที่ 7 ก.พ.2567 ระบุ
สำนักข่าวอิศรารายงานว่า ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองกลางได้รับคำฟ้องในคดีขอให้เพิกถอน มติ กสทช. ที่มีมติรับทราบการรวมธุรกิจระหว่าง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และเพิกถอน ประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้อง ไว้พิจารณารวมแล้ว 2 คดี โดยคดีแรก เป็นคดีที่ฟ้องโดยสภาองค์กรของผู้บริโภค (สอบ.) และคดีที่ 2 เป็นคดีที่ฟ้องโดยมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) ส่วนที่คดีศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้รับฟ้องในครั้งนี้ ถือเป็นคดีที่ 3
อ่านประกอบ :
‘สภาผู้บริโภค’ยื่นรายงานฯถึง 3 กมธ. ตรวจสอบ‘กสทช.’ปมควบ TRUE-DTAC ทวงลดค่าบริการ 12%
‘สภาผู้บริโภค’ยื่นรายงานฯถึง‘กตป.’ตรวจสอบ‘กสทช.’ละเลยหน้าที่ฯปมควบรวม TRUE-DTAC
เปิดรายงานฯชำแหละ‘กสทช.’ละเลยหน้าที่ปมควบTRUE-DTAC ทำผู้บริโภคจ่ายแพงขึ้น-บั่นทอนแข่งขัน
‘สภาผู้บริโภค’แพร่รายงานฯ ชี้‘กสทช.’ละเลยหน้าที่กำกับ‘ค่าบริการ-คุณภาพ’หลังควบ TRUE-DTAC
เช็คลิสต์! ความคืบหน้า'มาตรการเฉพาะ' 6 เดือน หลังควบ TRUE-DTAC ค่าบริการเฉลี่ยลด 12%?
‘มูลนิธิผู้บริโภคฯ’ยื่นหนังสือ‘กสทช.’จี้แก้ปม‘เน็ตช้า-ต่อโปรฯแพงขึ้น’ หลังควบTRUE-DTAC
ได้ข้อมูล‘ทรู’ฝ่ายเดียว! ‘บอร์ด กสทช.’ยังไม่สรุปค่าบริการมือถือลด 12% หลังควบ TRUE-DTAC
แจงปม‘เน็ตช้า-โปรฯถูกหาย’! ‘กสทช.’การันตีค่าบริการมือถือ‘เฉลี่ย’ลด 12% หลังควบTRUE-DTAC
‘กสทช.’นัดแถลงปม'ค่าบริการมือถือ'หลังควบTRUE-DTAC-'ทรู'ย้ำคุณภาพสัญญาณดีขึ้น-ลูกค้าเพิ่ม
4 กสทช. จี้ ประธาน นัดถกบอร์ด ติดตามค่ามือถือแพง หลังควบ ‘ทรู-ดีแทค’
เน็ตช้า-โปรฯใหม่แพงกว่าเดิม! ผลสำรวจฯผู้บริโภค 81% เจอ 5 ปัญหาหลังควบTRUE-DTAC-ทรูแจง6ปม
‘ทรู’ ชี้แจง ‘ศาล ปค.สูงสุด’ สั่งรับคำฟ้องคดีควบรวม ‘TRUE-DTAC’ ไม่กระทบธุรกิจบริษัทฯ
เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม! ‘ศาล ปค.สูงสุด’สั่งรับคำฟ้อง คดีเพิกถอนมติ‘กสทช.’ควบ TRUE-DTAC
'ศาล ปค.สูงสุด'นัดชี้ขาดคำร้อง'อุทธรณ์คำสั่ง'ไม่รับพิจารณาคดีควบรวมธุรกิจ'TRUE-DTAC'
'มูลนิธิผู้บริโภคฯ'จี้'กสทช.'สอบ'TRUE-DTAC- AIS' หลังพบขึ้นค่าบริการมือถือ'ใกล้เคียงกัน'
สส.อภิปรายถล่ม กสทช. หลากประเด็น ‘ปธ.บินนอกถี่-แก๊งคอลเซ็นเตอร์-ควบ TRUE-DTAC’
‘สภาผู้บริโภค’ทวง‘กสทช.’ เปิดข้อมูล‘TRUE-DTAC’ลดค่าบริการ 12% หลังรวมธุรกิจพ้น 90 วัน
'สอบ.'ยื่น'เพิกถอน'คำสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฯ'ศาลปค.ชั้นต้น' คดีควบ TRUE-DTAC
ยังฟังไม่ได้มีเหตุไม่ชอบด้วยกม.! ‘ศาลปค.’ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวฯคดีควบรวม TRUE-DTAC
‘สอบ.-ผู้บริโภค’ยื่นฟ้อง‘ศาลปกครอง’ เพิกถอน‘มติ กสทช.’ไฟเขียวควบ TRUE-DTAC แล้ว