
“…ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา อันอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หรือ ครม. ทราบด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561…”
..................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบ ‘ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)’ ตามที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เสนอ
ทั้งนี้ ครม. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา ผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป นั้น (อ่านประกอบ : บอร์ดทอท.เคาะแก้สัญญาดิวตี้ฟรีสนามบิน 5 แห่ง - ครม.รับทราบ ป.ป.ช.ส่งข้อเสนอแนะ)

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอสรุปรายละเอียด ‘ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับคู่สัญญาของ ทอท.’ ที่ ป.ป.ช. ได้เสนอ ครม. ดังนี้
@มีผู้ร้องแก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี’ปี 63 เสี่ยงเอื้อประโยชน์‘คู่สัญญา’
เหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี
ในช่วงปี พ.ศ.2563 ได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ คมนาคม ตลอดจนอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้มีการห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
จึงเป็นที่มาของการกำหนดมาตรการต่างๆ ในการช่วยเหลือคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งรวมถึงการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาด้วย
ภายหลังจากที่ ทอท. ออกมาตรการเยียวยาคู่สัญญา สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวถึงผลกระทบอันเนื่องมาจากมาตรการเยียวยาดังกล่าว เนื่องจากมีหลายฝ่ายออกมาให้ความเห็นถึงขอบเขตหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ทอท. ในการแก้ไขสัญญาอันมีผลกระทบต่อรัฐ รวมถึงความเสี่ยงในการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนคู่สัญญา ตลอดจนผลกระทบต่อรายได้ของรัฐที่ลดลง
โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานให้กับคู่สัญญาโดยมิชอบ จนทำให้รัฐเสียประโยชน์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ต่อมา คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้ง ‘คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาและเฝ้าระวังการทุจริต กรณี โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)’ เพื่อดำเนินการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริต
รวมทั้งจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตลอดจนการดำเนินงานหรือกิจการอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการดังกล่าว ซึ่งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อศึกษาและเฝ้าระวังการทุจริต กรณีโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของ ทอท. ได้หยิบยกประเด็นการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร มาเป็นกรณีศึกษา
เพื่อวิเคราะห์ถึงความเสี่ยงต่อการทุจริต ตลอดจนแนวทางการป้องกันและแก้ไข และจัดทำข้อเสนอแนะต่อ ครม. เพื่อพิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณี ตามนัย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 32 อันจะส่งผลให้การป้องกันการทุจริตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสามารถรักษาผลประโยชน์ที่รัฐพึงได้รับจากการจัดทำและบริหารสัญญาโครงการต่าง ๆ ในอนาคต
สาระสำคัญและข้อเท็จจริง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นสมควรมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา การแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทยจำกัด (มหาชน) (ทอท.) ตามนัยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561
เพื่อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรการใด ที่เป็นช่องทางให้มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลดีต่อราชการได้
ประโยชน์และผลกระทบ
จากการพิจารณา พบว่า การดำเนินโครงการ ตลอดจนการแก้ไขสัญญาต่างๆ ที่ไม่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 อาจมีช่องว่างหรือความเสี่ยงต่อการทุจริต จนทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์ เนื่องจากไม่มีการกำกับดูแล และตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอก
รวมทั้งยังมีกรณีการแก้ไขสัญญาที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
ดังนั้น เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์ในอนาคต หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการศึกษาข้อดี ข้อเสีย ผลกระทบ และออกแบบกลไกหรือเครื่องมือต่างๆ เพื่อกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินงาน โดยเฉพาะกิจการเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ และต้องไม่กระทบต่อการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
@แก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี’ต้องเป็นไปตาม ‘พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง’
ความเห็นหรือความเห็นชอบ/อนุมัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการประชุมครั้งที่ 94/2568 เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบ (ร่าง) ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษา การแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.)
ทั้งนี้ ให้ปรับแก้ไขถ้อยคำตามมติที่ประชุมก่อน แล้วจึงดำเนินการนำเสนอข้อเสนอแนะดังกล่าวต่อ ครม. เพื่อปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 32 ต่อไป
ข้อกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 32 บัญญัติว่า “คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหน้าที่และอำนาจเสนอมาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ ในเรื่องดังต่อไปนี้
(1) ปรับปรุงการปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจหรือ หน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริต การกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม
(2) จัดให้มีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเข้มงวด
(3) เสนอแนะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือมาตรการใดที่เป็นช่องทาง ให้มีการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ หรือเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดผลดีต่อราชการได้
ข้อเสนอของหน่วยงานของรัฐ/คณะกรรมการเจ้าของเรื่อง
เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตจากการดำเนินกิจการ โครงการ หรือกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะกรณีการแก้ไขสัญญาต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์ จนส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง และผลประโยชน์ของรัฐ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นควรมีข้อเสนอแนะต่อ ครม. ตามนัยมาตรา 32 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ดังนี้
1.ข้อเสนอด้านนโยบาย
รัฐบาลควรมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาศึกษา วิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสีย ของการกำกับดูแลกิจการ โครงการ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 เพื่อนำมาออกแบบกลไก/เครื่องมือต่างๆ เพื่อกำกับ ดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยเฉพาะกิจการเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูง
โดยมุ่งเน้นผลประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ และต้องไม่กระทบต่อการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินการต่างๆ อยู่ภายใต้กระบวนการหรือขั้นตอนที่โปร่งใส และตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตหรือการเอื้อประโยชน์จากการดำเนินโครงการต่างๆ ระหว่างรัฐและเอกชนในอนาคต
รวมทั้งพิจารณากำหนดหน่วยงานหรือคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการที่ไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562
อาทิ คณะกรรมการกำกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โดยมีผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจสอบการดำเนินงานต่างๆ ให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับการดำเนินโครงการภายใต้ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และทำให้การบริหารสัญญาเป็นไปอย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้
2.ข้อเสนอด้านการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ควรมีการกำกับติดตาม และเร่งรัดให้ ทอท. ดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประมูลงานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (Duty Free) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่
และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของ ทอท. ที่ ครม. ได้มีมติรับทราบเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2563 โดยเฉพาะในประเด็นที่ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ อาทิ ระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) และการจัดตั้งจุดส่งมอบสินค้า หรือ Pick up counter
โดยในส่วนของกระบวนการซื้อขาย และตรวจสอบยอดรายได้จากการทำสัญญาต่างๆ ในอนาคต ทอท. ต้องให้ความสำคัญและกำหนดเงื่อนไขในการติดตั้ง และเชื่อมต่อระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) ที่สมบูรณ์และถูกต้องตามมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด โดยหากผู้ประกอบการไม่ดำเนินการติดตั้งและเชื่อมต่อระบบรับรู้รายได้ (Point of sale : POS) ตามที่กำหนดในข้างต้น ทอท. ต้องไม่อนุญาตให้ประกอบกิจการในพื้นที่ของ ทอท.ได้ เพื่อให้รัฐได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่ถูกต้อง เป็นไปตามสัญญา และสามารถตรวจสอบได้
รวมทั้งควรจะต้องมีการรวบรวมและวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคต่างๆ ตลอดจนแนวทางการแก้ไข เพื่อให้การบริหารสัญญาต่างๆ ของ ทอท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเป็นการปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของ ทอท. ให้สามารถบรรลุเป้าหมายในการป้องกันและลดความเสี่ยงการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการต่างๆ ของ ทอท. ในอนาคต
3.ข้อเสนอด้านการบริหารจัดการโครงการและการบริหารสัญญาของหน่วยงานของรัฐ
(1) กรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการ มีการพิจารณากำหนดนโยบาย มาตรการ หรือแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เป็นคู่สัญญา จะต้องพิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมายและความเหมาะสมของสถานการณ์ โดยต้องพิจารณาให้รอบด้านก่อนการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคม และจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐเป็นสำคัญ รวมทั้งต้องไม่ดำเนินการที่มีลักษณะเข้าข่ายในการเอื้อประโยชน์ให้แก่คู่สัญญารายใดรายหนึ่ง
ทั้งนี้ ในกรณีที่เป็นเรื่องที่กระทบกับผลประโยชน์ของรัฐหรือส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง เห็นควรให้หน่วยงานเจ้าของโครงการ นำเสนอแนวทางการให้ความช่วยเหลือต่อหน่วยงานที่กำกับดูแล อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ/หรือ ครม. พิจารณาก่อนที่จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญา อันอาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐควรได้รับ หรือก่อให้เกิดผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเสนอผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) หรือ ครม. ทราบด้วย ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
โดยรายงานผลการศึกษา วิเคราะห์ในข้างต้น ควรจะต้องประกอบไปด้วย ข้อดี ข้อเสีย มูลค่าความเสียหาย ตลอดจนผลกระทบในด้านต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความคุ้มค่า ต้นทุน ผลประโยชน์ เสถียรภาพ ความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคม และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขสัญญา ให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันต่อไป
(3) ในกรณีที่คู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์หรือเหตุสุดวิสัยต่างๆ หน่วยงานเจ้าของโครงการ และคู่สัญญาหรือผู้รับสัมปทานต้องพิจารณาถึงเหตุผล ความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะอย่างเคร่งครัด ก่อนที่จะมีการแก้ไขสัญญาหรือดำเนินการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการทุจริต หรือการเอื้อประโยชน์ต่อเอกชนคู่สัญญาจนส่งผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลัง เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของรัฐ
@ครม.รับทราบข้อเสนอแนะ‘ป.ป.ช.’มอบ‘คลัง’เป็นเจ้าภาพพิจารณา
มติ ครม.
ด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ได้เสนอเรื่องข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร และงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญา ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ไปเพื่อดำเนินการ
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 ว่า
1.รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิ ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ภายในอาคารผู้โดยสาร ให้กับคู่สัญญาของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ตามที่ ป.ป.ช. เสนอ
2.มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม สำนักงานอัยการสูงสุด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ โดยให้กระทรวงการคลังสรุปผลการพิจารณา ผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับแจ้ง จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เหล่านี้เป็นสรุปรายละเอียด ‘ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต กรณีศึกษาการแก้ไขสัญญางานให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรและงานให้สิทธิประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสารให้กับคู่สัญญาของ ทอท.’ ที่ ป.ป.ช. ได้เสนอ ครม.
และต้องติดตามกันต่อไปว่า กรณีที่ ‘บอร์ด ทอท.’ มีมติเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2568 เห็นชอบผลการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. 5 แห่ง ของคณะทำงานเจรจาเพื่อหาข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.
พร้อมทั้งอนุมัติให้ ทอท. แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.ทั้ง 5 แห่ง กับเอกชนคู่สัญญา นั้น ทอท. จะมีการรายงานให้ผลการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงเจ้าสังกัด สคร. หรือ ครม. ทราบ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เมื่อใด?
อ่านประกอบ :
บอร์ดทอท.เคาะแก้สัญญาดิวตี้ฟรีสนามบิน 5 แห่ง - ครม.รับทราบ ป.ป.ช.ส่งข้อเสนอแนะ
จ่อสรุปผลการศึกษา ‘ปัญหาดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์’ ก.ย.นี้ ยันถ้าประมูลใหม่ยึดประโยชน์ ทอท. สูงสุด
เสียปย. 1.8 หมื่นล./ปี! ทอท.โชว์ผลกระทบแก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี’ปี 63 ก่อนอุ้ม‘คิงเพาเวอร์’รอบ2
ทอท.แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ‘คิงเพาเวอร์’ขอเลิกดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน รวม‘สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง’
คิงเพาเวอร์ขอเลิกสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สนามบินทอท. ‘ภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่’
‘ป.ป.ช.’ตั้ง‘คกก.ไต่สวน’ ปม‘ทอท.’แก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี-พื้นที่พาณิชย์’ส่อเอื้อ‘คิงเพาเวอร์’
ครม.รับทราบแนวทางยกเลิก‘ดิวตี้ฟรี’ขาเข้า กระตุ้น'นักท่องเที่ยว'จับจ่ายใช้สอยในประเทศ
'ชาญชัย'อุทธรณ์คดีฟ้อง'ทอท.'ปมแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี หลัง'ศาลคดีทุจริตฯ'ชี้ไม่ใช่ผู้เสียหาย
ไม่ใช่ผู้เสียหาย! 'ศาลอาญาคดีทุจริตฯ'ยกฟ้องคดี'ทอท.'แก้สัญญาดิวตี้ฟรี-'ชาญชัย'จ่ออุทธรณ์
พลิกคำแถลงฯ‘อัยการ’แก้ต่าง คดีฟ้อง‘ทอท.’แก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี’มิชอบ ก่อนศาลฯนัดชี้มูล ก.พ.66
‘ศาลคดีทุจริตฯ’นัดชี้มูล คดี‘ทอท.’แก้สัญญา‘ดิวตี้ฟรี-พื้นที่เชิงพาณิชย์’ 28 ก.พ.ปีหน้า
ศาลคดีทุจริตฯ นัดสืบพยานปาก 'ผู้แทน สศค.' คดี 'ทอท.' แก้สัญญา' ดิวตี้ฟรี 7 ธ.ค.นี้
'ศาลคดีทุจริตฯ'นัด'พยานปากสุดท้าย'ไต่สวนมูลฟ้อง คดี'ทอท.'แก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี' ต.ค.นี้
ย้อนบันทึก'บอร์ด ทอท.' ต่อเวลาอุ้ม'สายการบิน-ดิวตี้ฟรี' พยุงรายได้ปี 65 แตะ 2 หมื่นล.
'ศาลคดีทุจริตฯ'แจ้ง'ผู้ตรวจการแผ่นดิน'ส่งผู้แทนเบิกความเป็นพยาน คดีแก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี'
ศาลคดีทุจริตฯ เรียก 5 หน่วยงาน ให้ข้อเท็จจริง คดีฟ้อง'ทอท.'แก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี'มิชอบ
เป็นอำนาจบอร์ด! 'ทอท.' ย้ำแก้สัญญา ‘ดิวตี้ฟรี’ ไม่เข้าข่ายพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
‘สคร.กลับลำ! ร่อนหนังสือแจ้ง‘ทอท.’แก้สัญญาดิวตี้ฟรี ไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.วินัยการเงินฯ
'ศาลอุทธรณ์' พิพากษากลับ ยกฟ้อง ‘ชาญชัย’ คดีหมิ่นประมาท ‘คิงเพาเวอร์’
‘สคร.’ร่อน‘หนังสือลับ’สั่ง‘ทอท.’แจงปมแก้ไขสัญญา‘ดิวตี้ฟรี-บริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์’
เลื่อนนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์! คดี‘ชาญชัย’ฟ้อง‘ทอท.’แก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี'เสียหาย 4.2 หมื่นล.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา