ศาลคดีทุจริตฯ เรียก 5 หน่วยงาน ให้ข้อเท็จจริง คดีฟ้อง'ทอท.'แก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี'มิชอบ

aot 26 03 22 PIC new

ศาลอาญาคดีทุจริตฯ มีหนังสือเรียก 5 หน่วยงานรัฐ ให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม คดี ‘ชาญชัย’ ฟ้อง ‘ทอท.’ แก้สัญญาสัมปทาน ‘ดิวตี้ฟรี-พื้นที่เชิงพาณิชย์’ ทำรัฐเสียหาย 4.2 หมื่นล้าน

..................................

สืบเนื่องจากกรณีที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายประสงค์ พูนธเนศ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะอดีตประธานกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กับพวก รวม 14 ราย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง

ฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต รวมทั้งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) และสัมปทานการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบิน ทอท. จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท

ต่อมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ปากแรก ในวันที่ 14 ม.ค.2565 และต่อมาศาลฯมีคำสั่งเลื่อนนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ ไปเป็นวันที่ 21 มี.ค.2565 นั้น (อ่านประกอบ : เลื่อนนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์! คดี‘ชาญชัย’ฟ้อง‘ทอท.’แก้สัญญา'ดิวตี้ฟรี'เสียหาย 4.2 หมื่นล.)

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา นายชาญชัย ผู้ฟ้องคดี ในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ปากแรก ได้เข้าให้การต่อศาลฯ โดยมีอัยการ ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์ ซักค้านนายชาญชัยเป็นเวลานาน 6 ชั่วโมง เช่น กรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี และสัมปทานการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบิน ทอท. จะต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาก่อนหรือไม่ ซึ่งนายชาญชัย ยืนยันว่า จะต้องเสนอเข้า ครม. ก่อน

โดยนายชาญชัย ได้แสดงเอกสารหลักฐานว่า ในอดีตเคยมีการแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี ระหว่าง ทอท. และเอกชนคู่สัญญา เพื่อเยียวยาเอกชนในกรณีต่างๆ เช่น กรณีการปิดสนามบิน ซึ่งครั้งนั้นมีการเสนอเรื่องให้ ครม.พิจารณาอนุมัติ ก่อนที่จะมีการแก้ไขสัญญา เป็นต้น

รายงานข่าวแจ้งว่า ต่อมาในวันที่ 23 มี.ค. ศาลฯ มีกำหนดนัดสืบพยานฝ่ายหน่วยงานรัฐ 2 แห่ง ได้แก่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และสำนักงบประมาณ แต่ปรากฏว่าผู้แทนจากทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่ได้มาศาล เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของศาลฯไม่ได้ส่งหมายไปให้กับทั้ง 2 หน่วยงาน ดังนั้น ศาลจึงมีคำสั่งให้มีหนังสือไปยังทั้ง 2 หน่วยงาน เพื่อมาเป็นพยานเบิกความต่อศาลฯ และมีคำสั่งให้เพิ่มเติมหน่วยงานรัฐที่จะเข้ามาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล รวมแล้วเป็น 5 หน่วยงาน ได้แก่

1.กรมบัญชีกลาง 2.สำนักงบประมาณ 3.สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี 4.สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ 5.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) หรือคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ โดยให้ทั้ง 5 หน่วยงาน ส่งผู้แผนมาเบิกความต่อศาลฯ พร้อมกันนั้น ศาลฯมีคำสั่งให้เลื่อนการสืบพยานโจทก์ตามที่นัดไว้เดิม 2 นัด ออกไปเป็นวันที่ 4 ก.ค.2565 และ 11 ก.ค.2565

“ศาลตรวจสำนวนแล้ว ไม่ปรากฎหนังสือแจ้งให้หน่วยงานส่งผู้แทนมาเป็นพยานเบิกความต่อศาล จึงให้มีหนังสือและเพิ่มเติมหน่วยงานที่จะให้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาล โดยให้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลตามประเด็นที่ศาลแจ้ง และส่งผู้แทนมาเบิกความต่อศาลประกอบคำชี้แจงภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด” รายงานกระบวนพิจารณา ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ อท 46/2564 เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2565 ระบุ

นายชาญชัย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลฯนัดสืบพยานหน่วยงานรัฐ 2 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เพื่อให้ชี้แจงหรือให้ข้อเท็จจริงว่า กรณีที่บอร์ด ทอท. แก้ไขสัญญาเพื่อลดหรือเลื่อนการจ่ายค่าตอบแทนสัมปทานดิวตี้ฟรี และสัมปทานการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ จะต้องเสนอให้ ครม. พิจารณาก่อน หรือไม่ หรือจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เช่น พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 แต่ปรากฏว่าผู้แทนจากทั้ง 2 หน่วยงาน ไม่ได้เข้ามาให้ปากคำ เพราะเจ้าหน้าที่ศาลไม่ได้ส่งหมายไป

อย่างไรก็ตาม ศาลฯได้มีคำสั่งว่า ให้มีหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานรัฐทั้ง 2 หน่วยงาน ให้ส่งตัวแทนมาให้ข้อเท็จจริงต่อศาลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ศาลฯได้เรียกหน่วยงานที่จะให้มีชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มรวมเป็น 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมบัญชีกลาง สำนักงบประมาณ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในเดือน มิ.ย.นี้

aot 26 03 22 1