"...ตอนนี้มันพิสูจน์แล้ว เขา (นายศุภวัฒน์) มีความรู้ความสามารถ สอง เขามีเงินจริง โดยตัวเลขล่าสุดที่ส่ง (ให้ศาลฯ) ไปก่อนหน้านี้ เขามี 600 ล้านบาท นี่เป็นทรัพย์สินที่ยังมีอยู่ เป็นทรัพย์สินของครอบครัว เพราะเขาอยู่กับครอบครัว เป็นกงสี แล้วที่เป็นเงินของเขา (นายศุภวัฒน์) เอง ก็มีเป็น 100 ล้าน เขามีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินสดเป็น 100 ล้าน..."
.....................................
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2566 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ประชุมปรึกษาในเรื่องพิจารณาที่ 8/2566 ซึ่งเป็นคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่
ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา จึงขอให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำชี้แจง และจัดส่งพยานหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม นั้น (อ่านประกอบ : 'ศาล รธน.'สั่ง‘บุคคล-หน่วยงาน’ส่ง‘คำชี้แจง-พยานหลักฐาน’เพิ่ม คดีซุกหุ้น‘หจก.บุรีเจริญฯ' ,พุ่งเป้าพิสูจน์ฐานะการเงิน'ศักดิ์สยาม-ศุภวัฒน์'! เปิดลิสต์31พยานคดีนอมินี'หจก.บุรีเจริญฯ')
ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) มีโอกาสสนทนากับ นายชนินทร์ แก่นหิรัญ หนึ่งในทีมทนายความที่ดูแลคดีนี้ให้กับนายศักดิ์สยาม เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายศักดิ์สยาม และนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ผู้จัดการ หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘นอมินี’ ในการเข้าไปถือหุ้น หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น 119,499,000 หุ้น แทนนายศักดิ์สยาม เมื่อปี 2561 โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@แจงครอบครัว‘ศุภวัฒน์’มีฐานะจากการค้าที่ดิน
นายชนินทร์ ระบุว่า มีประเด็นที่องค์คณะฯ (ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) สงสัยเกี่ยวกับตัวนายศุภวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘นอมินี’ ของนายศักดิ์สยาม จึงเป็นเรื่องที่นายศุภวัฒน์ต้องตอบให้ได้ว่า เอาเงินจากไหนมาซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น จากนายศักดิ์สยาม อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาตนได้ทำหนังสือไปสอบถามนายศุภวัฒน์ว่า ที่มาของเงินที่นายศุภวัฒน์นำไปซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น นั้น มาจากไหน และก็ได้หนังสือตอบมาแล้ว
“ผมบอกเขาไปว่า ถ้าศาลฯตัดสินว่าคุณ (นายศุภวัฒน์) เป็นนอมินี ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ต้องตกเป็นของนายศักดิ์สยาม แล้วเขาก็ตอบมา ซึ่งอาจมีกั๊กๆอยู่แล้ว แต่โดยสรุปแล้ว เขาตอบมาว่า พ่อแม่ของเขา ทำธุรกิจค้าที่ดินอยู่แถวปากเกร็ด (จ.นนทบุรี) และค้าที่ดินแถบ จ.อ่างทอง จ.อยุธยา และ จ.สุพรรณบุรี มาตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็กๆ แล้วยังเป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ในการทำกระยาสารท และทำโรงสีด้วย นี่คือครอบครัวเขาเป็นมาอย่างนี้
ส่วนตัวนายศุภวัฒน์นั้น เขาบอกว่าจบปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์เครื่องกล จบปริญญาโทนิด้า (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) ซึ่งตอนที่เรียนจบแล้ว เขาเดินทางไปรอบโลกไปกับเรือใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลเครื่องกลในเรือฯ จนกระทั่งเมื่อปี 2538 น้องชายของเขาประสบอุบัติเหตุ นายศุภวัฒน์จึงต้องเดินทางกลับเพื่อมาดูแลครอบครัว ซึ่งครอบครัวเขา ก็มีตัวเขา พี่สาว น้องชาย และพ่อแม่ นี่เขาเล่าภูมิหลังของเขาว่าเป็นแบบนี้
แล้วเขาก็มาทำธุรกิจต่อจากแม่ แต่แม่ยังเป็นตัวหลักและถือครองโฉนดทุกแปลง โดยเขา (นายศุภวัฒน์) มีหน้าที่ต้องไปขาย แต่มันมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง ซึ่งแม่เขาซื้อมาเมื่อปี 2526 ตอนนั้นราคา 5.8 แสนบาท แต่พอปี 2557 ขายได้ถึง 129 ล้านบาท และที่ขายได้ราคาแพง ก็เพราะที่แปลงนี้อยู่แถวท่าน้ำปากเกร็ดหลังห้างใหญ่ เขายังบอกด้วยว่านี่แค่ตัวอย่าง ก่อนหน้านั้นเขาบอกว่าขายที่ดินได้ 10 เท่าจากราคาที่ซื้อ เขาทำอาชีพนี้มาตลอด
@เข้ามาช่วยงาน‘โรงโม่หิน’ทำให้รู้จัก‘ศักดิ์สยาม’
แล้วถามว่าแล้วเขา (นายศุภวัฒน์) มาเกี่ยวข้องกับนายศักดิ์สยาม ได้อย่างไร เขาบอกว่า เมื่อปี 2538 เพื่อนของเขาคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนนายศักดิ์สยามมาบอกว่า ต้องการคนมาช่วยดูเครื่องโรงโม่หิน โรงโม่หินกำลังผลิตไม่ดี เสียบ่อย เพราะรู้ว่าเขา (นายศุภวัฒน์) เก่งเรื่องเครื่องกล แล้วเขาก็ไปดูให้ นายศุภวัฒน์จึงเริ่มรู้จักกับนายศักดิ์สยามมาตั้งแต่นั้น และในขณะนั้น นายศุภวัฒน์ยังมีรายได้จากค่านายหน้าขายเครื่องจักรกลด้วย
พอนายศุภวัฒน์ไปทำตรงนั้น ก็ทำให้โรงโม่หิน มีกำลังผลิตดีขึ้น พ่อชัย (ชิดชอบ) จึงเอ่ยปากกับนายศุภวัฒน์ ว่า มารับจ้างตักหินไหม เพราะจะไม่ทำแล้ว โดยให้ค่าจ้างเป็นคิว (ลูกบาศก์เมตร) แต่มีเงื่อนไขว่านายศุภวัฒน์ ต้องมีรถตักเป็นของตัวเอง รถสิบล้อต้องมี เพื่อขนหินไปส่ง ถ้าเอา จะให้ค่าจ้างเป็นลูกบาศก์เมตรละเท่านั้นๆเท่านี้ แล้วให้รับผิดชอบในการตักและขนหิน นายศุภวัฒน์ จึงไปเอาเงินที่บ้านมา 20 ล้านบาท เพื่อมาลงทุนเครื่องกลและจ้างคนงาน
ต่อมาตอนหลังเขา (นายศุภวัฒน์) ยุว่า ให้สร้างโรงโม่หินแห่งที่สอง แล้วเขาก็เหมาเอง แล้วค่าขนหินก็เป็นเงินสดทั้งนั้น เพราะสมัยก่อนทางศิลาชัย (บริษัท ศิลาชัยบุรีรัมย์ (1991) จำกัด) ให้ซื้อขายเป็นเงินสดได้ แล้วลงบัญชีไว้ ทำให้เขา (นายศุภวัฒน์) มีเงินเยอะมาก และเมื่อนายศักดิ์สยาม เข้ามาเป็นผู้จัดการบริษัท ศิลาชัยฯ ก็ได้คุยพูดกัน ทำให้เขา (นายศุภวัฒน์) กลายมาเป็นเหมือนเพื่อนของนายศักดิ์สยาม ความใกล้ชิดก็มากขึ้น
@ซื้อหุ้น‘หจก.บุรีเจริญฯ’เพราะ‘ศักดิ์สยาม’ลงการเมือง
ต่อมา นายศักดิ์สยาม ไปจดทะเบียน หจก.บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น เขา (นายศุภวัฒน์) ไปขอหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ ด้วย เพราะเห็นว่านายศักดิ์สยาม มีบริษัทรับเหมาก่อสร้างฯ และเมื่อมองมาไปทางบริษัท ศิลาชัยฯ ก็มีหินเป็นของตัวเองแน่นอน ไม่มีทางขาดตลาดแน่นอน ทำให้ทุกครั้งที่ไปสู้ (ประมูล) ก็ชนะ เพราะมีหินเป็นหลักประกัน แต่นายศุภวัฒน์ก็ไม่ได้หุ้นมา และเมื่อไม่ได้ นายศุภวัฒน์จึงไปขอหุ้นกับ บริษัท ศิลาชัยฯ แต่ก็ไม่ได้มาอีกเช่นกัน
นายศุภวัฒน์ จึงคิดไปอีกชั้นหนึ่ง คือ เขา ไปบอก (ครอบครัวชิดชอบ) ว่า ต้องปรับปรุงเพิ่ม ทำนั่นทำนี่ ทางนี้ก็บอกว่า ไม่ไหว เงินไม่พอ นายศุภวัฒน์จึงบอกว่าจะปล่อยกู้ให้ ไม่คิดดอกเบี้ย เพราะได้เงินจากการตักหินอยู่แล้ว ทางนี้เห็นว่า รู้จักกันมานาน แล้วยังปล่อยกู้ไม่คิดดอกเบี้ยอีก จึงกู้ ซึ่งนายศุภวัฒน์ก็เอาเงินที่รับเป็นเงินสดมาให้กู้ แต่ทยอยให้ ไม่ได้ให้เป็นก้อน แล้วนำเงินไปลงทุนตรงนั้นตรงนี้ ซึ่งนายศุภวัฒน์ก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะมีรายได้ (ค่าตัก-ขนหิน) มากขึ้น
แม้ว่าตรงนี้จะเป็นความใกล้ชิดกัน แต่เขา (นายศุภวัฒน์) ก็ยังคิดอยู่ว่า ทำอย่างไร จึงจะได้บริษัท ศิลาชัยฯ มา แล้วสุดท้ายเขาก็เริ่มปล่อยกู้ให้มากขึ้นๆ ทางนี้ (ตระกูลชิดชอบ) ก็ไม่รู้ว่า ทางนั้นหวังจะได้โรงโม่ศิลาชัยฯ กระทั่งเมื่อท่าน (ศักดิ์สยาม) จะลงเล่นการเมือง ท่านก็บอกขาย (หุ้น หจก.บุรีเจริญฯ) กับท่านเนวิน (ชิดชอบ) บอกว่าธุรกิจนี้ดีมาก แต่ท่านเนวินไม่เอา เพราะกลัวคนมองว่าก็ยังถืออยู่หุ้นอยู่นั่นแหละ จากนั้นจึงไปขาย (หุ้น หจก.บุรีเจริญฯ) ให้กับนายศุภวัฒน์
เพราะเดิมทีนายศุภวัฒน์ ก็เป็นคนขายและจัดซื้อเครื่องกล เช่น รถแบคโฮ รถเกรดเดอร์ และรถบดทั้งหลายที่เกี่ยวกับงานก่อสร้างให้กับ หจก.บุรีเจริญฯ อยู่แล้ว และตรงนี้ก็ทำให้นายศุภวัฒน์ได้เงินมหาศาลเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่ถูกกันแล้ว เพราะเห็นว่าเอาเปรียบกันมหาศาล ยิ่งตอนนี้เริ่มมีปัญหากันอีก เพราะบางเรื่องนายศุภวัฒน์ไม่ยอมพูด ทั้งๆที่นายศุภวัฒน์จะต้องพูดแล้วว่า ได้เงินมาจากไหนบ้าง” นายชนินทร์ กล่าว
(ชนินทร์ แก่นหิรัญ)
@แจงที่มามีชื่อ‘ศุภวัฒน์’เป็นพนักงานรับเงินเดือน 9 พันบาท
เมื่อถามว่า เหตุใดนายศุภวัฒน์ จึงมีฐานะเป็นลูกจ้างของ บริษัท ศิลาชัยฯ และรับเงินเดือนเพียง 9,000 บาท ตามข้อมูลสำนักงานประกันสังคม นายชนินทร์ กล่าวว่า เรื่องเป็นอย่างนี้ ก่อนหน้าที่นายศุภวัฒน์จะมาเจอกับนายศักดิ์สยาม และก่อนจะมาทำงานกับบริษัท ศิลาชัยฯ มีหลักฐานยืนยันว่า นายศุภวัฒน์ เคยมีชื่อเป็นพนักงานกับบริษัทของเพื่อน ซึ่งรับเงินเดือน 9,000 บาท แต่ไม่ได้ทำงาน ทั้งนี้ เพื่อให้นายศุภวัฒน์ใช้สิทธิการรักษาพยาบาลจากประกันสังคมได้
“ความจริงแล้ว เขาเป็นโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องรักษาต่อเนื่อง และตัวเขาเองไปทำประกันชีวิต แต่ปรากฏว่าถูกระงับ เพราะโรคที่ว่านี้ เป็นมาก่อน แล้วไปทำประกัน บริษัทประกันฯจึงสงวนสิทธิ ไม่รับทำประกัน และเดิมตัวเขา (นายศุภวัฒน์) จะไปใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่บังเอิญว่า มีเพื่อนเขาไปแนะนำว่า ให้มาทำสวัสดิการกับบริษัทเพื่อนเขา (และเข้าประกันสังคม) เอาชื่อมา ไม่ต้องมาทำงาน นายศุภวัฒน์จึงอยู่กับเพื่อนคนนั้นมา 10 ปี ซึ่งมีหลักฐานการจ่ายประกันสังคม
แต่เมื่อผ่านไป 10 ปี เมื่อนายศุภวัฒน์มารู้จักกับทางนี้ (คนในครอบครัวชิดชอบ) ก็เลยบอกทางนี้ว่า บริษัทของเพื่อนเริ่มบอกว่า หลังๆมานี้ ไม่เคยมาเจอกันเลย มาฝากชื่อไว้เฉย แล้วก็ไป ทำให้เพื่อนเขามีปัญหากับเจ้าหน้าที่ ทางนี้ จึงบอกว่าให้เอาชื่อมา และ (นายศุภวัฒน์) ไม่เคยได้รับเงินเลย เพราะมาเอาแค่ประกันสังคม และอย่างที่รู้กันว่าโรงพยาบาลบุรีรัมย์ทันสมัยแค่ไหน ถ้าไปเห็นโรงพยาบาลบุรีรัมย์เมื่อไหร่ จะอยากเป็นคนบุรีรัมย์ทันที” นายชนินทร์ ระบุ
@ฐานะ‘ศุภวัฒน์-ครอบครัว’มีทรัพย์สินไม่น้อยกว่า 700 ล้าน
นายชนินทร์ ย้ำว่า ทั้งหมดนี้เป็นข้อเท็จจริง และเป็นหนังสือที่นายศุภวัฒน์เขียนส่งมาให้ แต่เมื่อนำหนังสือที่นายศุภวัฒน์เขียน ส่งให้ศาลฯ ศาลฯสงสัยว่า แน่ใจหรือไม่ว่าเป็นเงินนายศุภวัฒน์จริง ตนจึงไปติดตามดูทรัพย์สินเก่าๆของนายศุภวัฒน์ เพื่อดูว่าได้เงินมาอย่างไร ปรากฏว่านายศุภวัฒน์เล่นกองทุน เล่นหุ้น และซื้อขายทองด้วย จึงได้นำหลักฐานเหล่านี้ไปส่งไปให้ศาลฯ แต่ศาลฯก็ยังสงสัยอีกว่ามี transaction ของเงินที่วนอยู่ตรงนี้หรือไม่
“ตอนนี้มันพิสูจน์แล้ว เขา (นายศุภวัฒน์) มีความรู้ความสามารถ สอง เขามีเงินจริง โดยตัวเลขล่าสุดที่ส่ง (ให้ศาลฯ) ไปก่อนหน้านี้ เขามี 600 ล้านบาท นี่เป็นทรัพย์สินที่ยังมีอยู่ เป็นทรัพย์สินของครอบครัว เพราะเขาอยู่กับครอบครัว เป็นกงสี แล้วที่เป็นเงินของเขา (นายศุภวัฒน์) เอง ก็มีเป็น 100 ล้าน เขามีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินสดเป็น 100 ล้าน แต่ พอเอาตัวนี้ไปโชว์แล้ว ศาลฯจึงได้ออกหมายไปยัง ปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
ให้ ปปง.สอบ ไปดูความเชื่อมโยงของเส้นทางทางเงิน เส้นทางทางบัญชีของนายศุภวัฒน์ว่า เงินมาจากไหน มาจากนายศักดิ์สยามหรือไม่ หรือมาจากคนในครอบครัวชิดชอบหรือไม่ และทราบมาว่าเอกสารชุดนี้มาแล้ว ซึ่งผลที่ออกมา คือ ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเลย ยกเว้นเงินที่โอนซื้อหุ้น (หจก.บุรีเจริญฯ) เท่านั้น แล้วศาลฯก็ถามต่อว่า ที่เอาเงินมาซื้อหุ้น 20 ล้านบาท เอามาจากไหน ทางนี้ (นายศุภวัฒน์) ก็บอกว่า เงิน 20 ล้านเป็นเรื่องปกติของธุรกิจของเขา
เพราะปกติแล้ว เขาจะเก็บเงินสดไว้ส่วนหนึ่ง 30 ล้านบาท จากธุรกิจของเขา ซึ่งที่ผ่านมาครอบครัวเขา ก็เป็นแบบนั้น เป็นคนโบราณ จะเก็บเงินสดไว้ ถ้ามีอะไรขึ้นมา ก็มีเงินของตัวเองอยู่ และในตอนนั้น ที่เขาอยากได้ (หุ้น หจก.บุรีเจริญฯ) เขาก็ไปเอาเงินสดมาจากตรงนี้ คือ บางทีจะมีคนไม่เข้าใจคนมีตังก์ว่า มีตังก์แล้ว ไม่จำเป็นต้องฝากธนาคาร และของเขาทำธุรกิจซื้อขายที่ดิน คนขายที่ดินแถวบ้านนอก ไม่มีใครรับเช็ค เขารับเงินสดทั้งหมด” นายชนินทร์ กล่าว
@‘หจก.บุรีเจริญฯ’ได้เปรียบการประมูลเพราะมีโรงโม่หิน
เมื่อถามว่า ในช่วงที่นายศักดิ์สยาม เป็น รมว.คมนาคม มีข้อสังเกตเหตุใด หจก.บุรีเจริญฯ จึงได้งานก่อสร้างฯเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก นายชนินทร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบข้อมูลว่า เมื่อ หจก.บุรีเจริญฯ เข้าประมูลงานต่างๆ บริษัทต่างๆจะสู้ หจก.บุรีเจริญฯ ไม่ได้ เพราะ หจก.บุรีเจริญฯ มีแหล่งหินที่แน่นอน คือ หินจากโรงโม่ศิลาชัยฯ ที่นายศุภวัฒน์เป็นผู้รับจ้างตักและขนหินนั่นเอง และแม้ว่า หจก.บุรีเจริญฯ จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจริง แต่กำไรน้อยมาก
“พวก สส.ฝ่ายค้านในตอนนั้นบอกว่า ตลอดระยะเวลาถือมา 3-4 ปี (หจก.บุรีเจริญฯ) มีรายได้ปีละ 600 ล้าน แล้วทำไมขายแค่ 100 กว่าล้าน ซึ่งเมื่อผมไปตรวจบัญชีงบดุล พบว่า หจก.บุรีเจริญฯ ได้กำไรสุทธิแค่ 5% จากรายได้เอง เพราะในการก่อสร้างมันมีค่าใช้จ่าย ค่าแรง ค่าเครื่องจักร และอื่นๆ ทำให้มาร์จิ้นมันบางมากๆ แล้วถ้าเป็นก่อสร้างในบุรีรัมย์แล้ว ไม่ต้องไปฮั้วกับใครเลย อย่างไรคุณ (หจก.บุรีเจริญฯ) ก็ได้
เพราะมีโรงหิน แล้วถ้าใครจะลงราคามาเบียด ถามว่าจะสู้ไหวไหม ถ้าทำไปก็เจ๊ง เพราะต้นทุนเขา (หจก.บุรีเจริญฯ) ต่ำมาก และจริงๆแล้ว ทุกคนไม่รู้ว่าเขา (นายศักดิ์สยาม) ขาย (หจก.บุรีเจริญฯ) ไปแล้ว เพราะนายศุภวัฒน์ไม่บอกใครเลย ไม่บอกใครว่าเป็นเจ้าใหม่ แล้วเขา (นายศุภวัฒน์) ยังขอเงื่อนไขด้วยว่า ถ้าขายแล้ว ต้องให้เขามีสำนักงานอยู่ตรงนี้ (ที่ตั้งเดิมของ หจก.บุรีเจริญฯ) ด้วย เพื่อจะได้เอาไปเคลมได้
แล้วผมก็ไปเขา (นายศุภวัฒน์) ว่า ทำไมต้องอยู่ที่เดิมเป็นปี เขาบอกว่า หจก.บุรีเจริญฯ มีการพิมพ์เอกสารต่างๆเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกันระหว่าง หจก.บุรีเจริญฯ กับส่วนราชการ เขาจึงขออยู่ที่เดินก่อน
ส่วนการย้ายที่ตั้ง หจก.บุรีเจริญฯ ออกจากที่ตั้งเดิมก่อนที่นายศักดิ์สยาม จะรับตำแหน่ง รมว.คมนาคม 23 วันนั้น เป็นเงื่อนไขระหว่างคนสองคนที่จะทำอะไรก็ได้ เพราะเมื่ออีกคนจะต้องไปเป็นนักการเมือง จึงต้องเคลียร์ทุกอย่างให้หมด แล้วเงินที่นายศุภวัฒน์จ่ายค่าหุ้น ก็ไม่ได้จ่ายครั้งเดียว เขาทยอยจ่ายเป็น 3 งวด เงินครบเมื่อไหร่ จึงจะไปดำเนินการย้ายให้ ทุกอย่างมีข้อตกลง แล้วจะพบว่านายศุภวัฒน์ขอแหลกเลย” นายชนินทร์ระบุ
เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงจากฝั่งทีมทนายของนายศักดิ์สยาม ได้กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายศักดิ์สยาม และนายศุภวัฒน์ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เงินที่นายศุภวัฒน์นำไปซื้อหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ มาจากไหน? และยังต้องติดตามกันต่อว่า ‘คดีซุกหุ้นหจก.บุรีเจริญฯ’ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร?
อ่านประกอบ
- 'ศาล รธน.'สั่ง‘บุคคล-หน่วยงาน’ส่ง‘คำชี้แจง-พยานหลักฐาน’เพิ่ม คดีซุกหุ้น‘หจก.บุรีเจริญฯ'
- ไร้หุ้น หจก.บุรีเจริญฯ! เปิดทรัพย์สิน'ศักดิ์สยาม'ล่าสุดรับตำแหน่ง สส.ภูมิใจไทย 111 ล.
- 20 ก.ย. 66 ศาลรธน.นัดอภิปรายคำวินิจฉัยความเป็นรมต.'ศักดิ์สยาม' คดีซุกหุ้น 'บุรีเจริญ'
- พุ่งเป้าพิสูจน์ฐานะการเงิน'ศักดิ์สยาม-ศุภวัฒน์'! เปิดลิสต์31พยานคดีนอมินี'หจก.บุรีเจริญฯ'
- 'ก้าวไกล'ร้อง'ป.ป.ช'สอบ‘ศักดิ์สยาม’ซุกหนี้'หจก.บุรีเจริญฯ'38 ล.-พบพิรุธเอกสารยื่นศาล รธน.
- ย้อนไทม์ไลน์ ปมถือหุ้นรับเหมา‘ศักดิ์สยาม’ ก่อนศาล รธน.สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
- เอื้องบบุรีรัมย์-เอี่ยวผู้รับเหมา! พรรคร่วมฝ่ายค้าน ลุยยื่นคำร้องถอดถอน 'ศักดิ์สยาม'
- คลี่12ปมส่อขายหุ้นให้นอมินี! เปิดคำร้องส่ง'ศาล รธน.'วินิจฉัย'ศักดิ์สยาม'พ้น‘รมต.’หรือไม่
- ภูมิใจไทย อัดฝ่ายค้าน ถอดถอน ‘ศักดิ์สยาม’ ใช้สิทธิไม่สุจริต - เป็นเกมการเมือง
- ยื่น ป.ป.ช.ฟัน'ศักดิ์สยาม' 3 เรื่อง! 'ทวี'แนะปมเขากระโดง ส่งศาลฎีกาสอบจริยธรรมทันที
- หจก.บุรีเจริญฯ สินทรัพย์ 205 ล้าน ไฉน!‘ศักดิ์สยาม’ ขายให้เพื่อน 119 ล.
- ย้อนดูข้อมูลอิศรา คุ้ย 'หจก.บุรีเจริญฯ' ก่อน ก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ 'ศักดิ์สยาม'
- คุ้ยทรัพย์สิน ส.ส.‘ศักดิ์สยาม’! ใช้ที่อยู่เดียว หจก.บุรีเจริญฯ 25 วันก่อนเปลี่ยน?
- เจาะ 4 โครงการทำถนน คค.-หจก.รับเหมาฯคดีเขากระโดงคว้างาน 122 ล.คู่เทียบเดิม?
- โชว์สัญญาจัดจ้าง! หจก.รับเหมาฯคดีเขากระโดง ใช้ที่อยู่‘ศักดิ์สยาม’คว้างานรัฐ 1.2 พันล.
- หจก.บุรีเจริญฯใช้บ้าน‘ศักดิ์สยาม’เป็นที่ตั้ง-แจ้งเปลี่ยนก่อนนั่ง รมว.คมนาคม 23 วัน
- โชว์สัญญาโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ‘ศักดิ์สยาม-ศุภวัฒน์’ 119.4 ล.-ไม่ระบุจ่ายเงินหรือไม่?
- ปี 58‘ศักดิ์สยาม’คัมแบ็กหุ้นใหญ่ หจก.บุรีเจริญฯ เพิ่มทุน 119.5 ล.-โอนเกลี้ยงปี 61
- เจาะ หจก.บุรีเจริญฯ‘ศักดิ์สยาม-เพิ่มพูน’ ร่วมก่อตั้ง-ลงหุ้นปี 39 ก่อนไขก๊อกปี 40
- เปิดละเอียด! ข้อกล่าวหา’ศักดิ์สยาม-อนุพงษ์’ เอื้อพวกพ้อง-ไม่ถอนโฉนดรุก ‘เขากระโดง’
- ฝ่ายค้านยื่น ป.ป.ช.สอบอีก 2 รมต. ที่ดินเขากระโดง ‘ศักดิ์สยาม’-‘นิพนธ์’โดนนิคมฯจะนะ
- ออกไปนานแล้ว! 'ศักดิ์สยาม' แจงสัมพันธ์ หจก.บุรีเจริญฯ ปมที่ดิน ‘เขากระโดง’
- ‘ศุภวัฒน์-หจก.บุรีเจริญฯ’ 2 ตัวละครมหากาพย์ ‘เขากระโดง’ บริจาค ภท. ปี 62 รวม 7.5 ล.
- คำพิพากษาศาลฎีกาชี้ชัด! ‘เขากระโดง’ที่ดินรถไฟ สะเทือน‘ช้างอารีน่า-บุรีรัมย์คาสเซิล’
- 23 ปียังไม่เพิกถอนโฉนด! เปิดบันทึกกฤษฎีกาชี้ชัด ‘เขากระโดง’ 5 พันไร่ ที่ดินรถไฟ
- พลิกแฟ้มป.ป.ช.! สั่งถอนโฉนดตระกูล ‘ชิดชอบ’ ทับที่ดินรถไฟ ‘เขากระโดง’
- ได้งาน คค.7 ปีหลังสุด 1.9 พันล.! หจก.บุรีเจริญฯของ‘ตัวละครสำคัญ’มหากาพย์‘เขากระโดง’
- เปิดตัว ‘ศุภวัฒน์’ คู่พิพาทที่รถไฟ ‘เขากระโดง’-บริจาค ภท.-‘ศักดิ์สยาม’ เคยเป็นกุนซือ
- ควันหลงซักฟอก! 'ประเสริฐ'ร้อง ป.ป.ช.10 มี.ค.เอาผิด'บิ๊กตู่-จุรินทร์'คดีถุงมือยาง
- มหากาพย์ที่ดิน ‘เขากระโดง’ โยง ‘ศักดิ์สยาม-ญาติ’ มีบ้านพักบน ‘ที่หลวง’