
"…ยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ในส่วนที่เป็นต้นเงินของโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 806,803 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 71.16 ของภาระทางการคลังฯ ทั้งหมด และคิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของขนาดสินทรัพย์ของ ธ.ก.ส. ….”
.........................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ‘แนวทางในการกำกับการดำเนินการโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561’ ตามที่กระทรวงการคลัง โดย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เสนอ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอข้อเท็จจริง ความเร่งด่วน และรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางในการกำกับการดำเนินการโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 ดังนี้
@‘ภาระทางการคลังฯ’เพิ่มต่อเนื่อง จำเป็นต้องควบคุม
ความเร่งด่วน
สถานการณ์ภาระทางการคลังจากการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในระยะปานกลางอาจเพิ่มสูงขึ้นเกินอัตราที่คณะกรรมการฯ (คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ) ประกาศไว้ไม่เกินร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอาจกระทบต่อความน่าเชื่อถือของการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล และนําไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยได้
ดังนั้น เพื่อควบคุมยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ในระยะปานกลาง ให้อยู่ภายใต้กรอบเพดานที่ร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ เพื่อสั่งการให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต่อไป
ข้อเท็จจริง
-ภาระทางการคลังฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการอนุมัติโครงการใหม่ในระดับสูง เมื่อเทียบกับการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานของรัฐ
โดยในปีงบประมาณ 2567-2568 มีการอนุมัติโครงการใหม่ จำนวน 145,417 และ 160,627 ล้านบาท ตามลำดับ ในขณะที่รัฐบาลมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 79,282 และ 72,917 ล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.20 และ 1.95 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามลำดับ (ในปีงบประมาณ 2569 มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยให้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 58,249 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.54 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี)
ส่งผลให้ยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ เพิ่มขึ้นจาก 1,004,391 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 เป็น 1,133,751 ล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568
-ภาระทางการคลังฯ ส่วนใหญ่มาจากโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่าแก่เกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และไม่ได้ช่วยสนับสนุนการยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร ทั้งนี้ ครม.ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 พ.ย.2566 ได้มีมติกำหนดเป็นหลักการว่า “ให้ทุกหน่วยงานหลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร”
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ รัฐบาลยังมีการอนุมัติโครงการลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ 2567-2568 มีการอนุมัติโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า จำนวน 93,830 และ 89,103 ล้านบาท ตามลำดับ
-ยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ในส่วนที่เป็นต้นเงินของโครงการที่มีลักษณะเป็นการให้เงินอุดหนุนแบบให้เปล่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 806,803 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 71.16 ของภาระทางการคลังฯ ทั้งหมด และคิดเป็นประมาณร้อยละ 30 ของขนาดสินทรัพย์ของ ธ.ก.ส.
ทั้งนี้ ยอดต้นเงินคงค้างของโครงการดังกล่าวที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้รัฐบาลจำเป็นต้องชดเชยต้นทุนเงินเพิ่มเติมอีกประมาณ 17,000-18,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปีงบประมาณ 2567-2568) เพื่อลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องให้กับ ธ.ก.ส.
-หากวิเคราะห์ความเสี่ยงในระยะปานกลาง พบว่า กรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีในระยะปานกลางตามแผนการคลังระยะปานกลางฯ จะขยายตัวในระดับต่ำที่ประมาณร้อยละ 0.8 ต่อปี ส่งผลให้กรอบเพดานภาระทางการคลังฯ ขยายตัวในระดับต่ำด้วย นอกจากนี้ ยังส่งผลให้รัฐบาลมีพื้นที่ทางการคลังในการจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนภาระทางการคลังฯ อย่างจำกัด
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดแนวทางในการกำกับการดำเนินโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ เพิ่มเติม เพื่อควบคุมยอดคงค้างของภาระทางการคลังฯ ให้อยู่ภายใต้กรอบเพดานที่ร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีในระยะปานกลาง ซึ่งจะเอื้อต่อการพิจารณาปรับลดกรอบเพดานให้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ร้อยละ 30 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ในระยะยาวต่อไป
@ห้าม‘อุดหนุน-ประกันราคา’สินค้าเกษตร โดยตรงแก่เกษตรกร
หลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
เพื่อให้การมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ความคุ้มค่า ภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ดังนี้
1.หลักเกณฑ์ของการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ให้กระทำได้เฉพาะกรณีที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายนั้น และ
2) เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพ หรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม และ
3) เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติ รวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ และ
4) เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐ ให้เงินอดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรตามนัยมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2566 หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสินค้าหรือกิจกรรมใดๆให้กับผู้ประกอบการหรือประชาชนโดยตรง
@การอนุมัติโครงการ‘ม.28’ ต้องเสนอ‘คลัง-นายกฯ-ครม.’เห็นชอบ
2.ข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำเพื่อขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
การขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1) เหตุผลความจำเป็นในการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
2) วัตถุประสงค์ของการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ และความสอดคล้องของยุทธศาสตร์ชาติ นโยบายรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนความมั่นคงแห่งขาติ รวมทั้งมติ ครม. ที่เกี่ยวข้อง
3) คำชี้แจงถึงความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 ที่สามารถกระทำได้ตามข้อ 1 ได้แก่
(1) เป็นการดำเนินการที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย และอยู่ภายในขอบแห่งวัตถุประสงค์ของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมายนั้น
(2) เป็นการดำเนินการที่เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบอาชีพหรือยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน หรือเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัยหรือการก่อวินาศกรรม
(3) เป็นการดำเนินการที่ไม่สามารถขอรับจัดสรรงบประมาณตามปกติ รวมถึงไม่สามารถขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้
(4) เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้มีลักษณะเป็นการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกรตามนัยมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 พ.ย.2566 หรือเป็นการดำเนินการในลักษณะเดียวกันสำหรับสิบสินค้าหรือกิจกรรมใดๆ ให้กับผู้ประกอบการ หรือประชาชนโดยตรง
4) แผนบริหารจัดการกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
5) หน่วยงานที่ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย หรือการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้น
6) ภาระทางการคลังของรัฐที่อาจเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จากการดำเนินโครงการ รวมถึงผลการวิเคราะห์ประโยชน์และความคุ้มค่าจากการดำเนินโครงการ
7) ผลกระทบต่อการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับมอบหมาย
8) แนวทางการบริหารจัดการภาระทางการคลังของรัฐและผลกระทบจากการดำเนินโครงการ
9) อื่น ๆ (ถ้ามี)
3.ขั้นตอนการเสนอขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
ในการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ หน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการตามขันตอน ดังต่อไปนี้
1) หน่วยงานเจ้าของโครงการเสนอเรื่องให้รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี พิจารณาให้ความเห็นชอบ และจัดทำหนังสือนำส่งข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำ เพื่อขออนมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ มายังกระทรวงการคลัง
2) กระทรวงการคลังจะพิจารณาให้ความเห็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ และเสนอเรื่องต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ
3) เมื่อนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กระทรวงการคลังจะมีหนังสือแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการนำเรื่องเสนอขออนุมัติต่อ ครม. โดยเสนอผ่านรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี
ประโยชน์และผลกระทบ
หลักเกณฑ์และแนวทางการขออนุมัติดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ จะมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมให้การดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้
โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ความคุ้มค่า ภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยง และความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
@เปิด‘แผนการคลังฯ’ล่าสุด ซุก‘หนี้ ม.28’ 1.13 ล้านล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายใต้ ‘แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573)’ ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 นั้น แผนฯดังกล่าว ได้ระบุเกี่ยวกับรายละเอียด ‘ภาระผูกพันทางการเงินการคลังของรัฐบาล’ (ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568) ดังนี้
-ภาระผูกพันโดยตรง (Direct Liabilities) เป็นภาระผูกพันของรัฐบาลที่มีกฎหมาย สัญญา หรือข้อตกลงที่รัฐบาลจะต้องจัดสรรงบประมาณให้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย
1) หนี้สาธารณะที่รัฐบาลรับภาระโดยตรง (ในการชำระเงินต้น และ/หรือดอกเบี้ย) จำนวนรวมทั้งสิ้น 10,596,077.03 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 56.19 ของ GDP เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบด้วย
(1) หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวนรวมทั้งสิ้น 10,002,845 ล้านบาท (2) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลกู้ให้กู้ต่อและรับภาระ จำนวน 416,739 ล้านบาท และ (3) หนี้รัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันและรับภาระ จำนวน 176,493 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2569 มีรายจ่ายในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่ที่ 151,200 และ 270,664 ล้านบาท ตามลำดับ
2) ภาระผูกพันจากการดำเนินโครงการนโยบายของรัฐบาลตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 ยอดคงค้างดังกล่าวมีจานวน 1,133,751 ล้านบาท อยู่ภายใต้สัดส่วนที่คณะกรรมการฯ กำหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจาปี 2568
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเพื่อชำระคืนภาระยอดคงค้างตามมาตรา 28 จำนวน 58,249 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.54 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
3) ภาระผูกพันที่มาจากรายจ่ายด้านสวัสดิการ ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลมีภาระในการจัดสรรงบประมาณในส่วนดังกล่าวรวม อยู่ที่ 1,016,037 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.88 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี (แบ่งเป็นสวัสดิการบุคลากรภาครัฐ 463,329 ล้านบาท และสวัสดิการประชาชน 552,709 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.26 และ 14.62 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามลำดับ)
ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีภาระค้างจ่ายเงินสมทบให้แก่กองทุนประกันสังคมอีก จำนวน 48,903 ล้านบาท
4) รายจ่ายเงินเดือน เงินสมทบ และค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลมีภาระในการจัดสรรงบประมาณในส่วนดังกล่าว 859,001 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22.72
(ที่มา : แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573))
-ภาระผูกพันที่อาจเกิดขึ้น (Contingent Liabilities) เป็นภาระผูกพันที่รัฐบาลอาจต้องจ่ายหรือชำระหนี้แทนตามกฎหมาย สัญญา หรือข้อตกลง รวมไปถึงความคาดหวังจากสังคม หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ประกอบด้วย
1) หนี้สาธารณะที่รัฐบาลไม่ได้รับภาระ จำนวนรวมทั้งสิ้น 1,630,213.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.64 ของ GDP ประกอบด้วย
(1) หนี้ที่รัฐบาลกู้เงินเพื่อชดใช้ความเสียหายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) จำนวน 494,057 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่อง (2) หนี้เงินกู้ของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลให้กู้ต่อ/ค้ำประกัน แต่รัฐบาลไม่รับภาระ จำนวน 577,961 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน จากการชำระหนี้คืนของสำนักงานกองทุนน้ามันเชื้อเพลิง
และ (3) หนี้รัฐวิสาหกิจ (ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน) และหน่วยงานของรัฐที่รัฐบาลไม่ค้ำประกัน จำนวน 558,195 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2) ภาระผูกพันในการชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 (พ.ร.ก. Soft Loan) ปัจจุบันได้รับจัดสรรงบประมาณครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดแล้ว รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,453.11 ล้านบาท
3) ภาระผูกพันจากการชดเชยค่าใช้จ่ายและความเสียหายตามพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564 (พ.ร.ก.ฟื้นฟู) ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 มีประมาณการภาระผูกพันในส่วนของเงินชดเชยดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 2,524.01 ล้านบาท
และยังมีประมาณการภาระผูกพันคงเหลือที่ต้องชดเชยความเสียหายแก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (หลังหักวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2569 จานวน 521 ล้านบาท) สูงสุดไม่เกิน 60,955 ล้านบาท
4) การพิจารณาชดเชยการสูญเสียรายได้จากการดำเนินมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 (ภาษีที่ดินฯ) ให้กับ อปท. ตามความจำเป็นและสมควร โดยมีภาระผูกพันคงเหลือในการพิจารณาชดเชย (หลังหักวงเงินที่ได้รับจัดสรรในปีงบประมาณ 2569 จำนวน 6,835 ล้านบาท) สูงสุดไม่เกิน 29,799 ล้านบาท
เหล่านี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับแนวทางในการกำกับการดำเนินการโครงการตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 และต้องติดตามกันต่อไปว่า รัฐบาลจะสามารถควบคุมการก่อหนี้ฯ การดำเนินการโครงการตามมาตรา 28 ให้ลดลงมาตามที่วาดหวังไว้ได้หรือไม่ จากปัจจุบันที่ภาระหนี้จากการดำเนินการโครงการตามมาตรา 28 มีสูงถึง 1.13 ล้านล้านบาท!
อ่านประกอบ :
ส่อง‘แผนการคลัง’ปี 70-73 เตือนไทยเสี่ยงโดนหั่นเครดิตฯ ชงขึ้นVAT-คุมรายจ่าย-ลดเงินให้เปล่า
ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังฯ’ใหม่ คาดงบรายจ่ายฯปี 70 แตะ 3.788 ล้านล.-ขาดดุลฯ 3.9% ต่อจีดีพี
กระตุ้นศก.ควบคู่ลงทุน! ส่อง‘แผนการคลังฯ’ฉบับล่าสุด รบ.เล็งกู้ชดเชยขาดดุลฯ 5 ปี 3.9 ล้านล.
พลิกมติ'ครม.เศรษฐา'รื้อ'แผนการคลังฯ'2 รอบ กู้โปะ'ดิจิทัลวอลเลต'-'หนี้สาธารณะ'ใกล้ชนเพดาน
ครม.เคาะรื้อ‘แผนการคลังฯ’รอบ 2 เพิ่มงบปี 67 เป็น 3.6 ล้านล. ดันหนี้สาธารณะ 65.7%ต่อGDP
เพิ่มรายจ่ายปีงบ 68 เป็น 3.75 ล้านล.! ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังระยะปานกลาง’ฉบับใหม่
เปิด‘แผนการคลังฯ’ฉบับใหม่ แนวโน้มหนี้‘รัฐบาล-รสก.’เพิ่ม-คาดปีงบ 67-71 กู้ 4.26 ล้านล.
ครม.ไฟเขียว'แผนการคลังฯ'ฉบับใหม่ คาดปี 68 ตั้งงบรายจ่ายฯ 3.6 ล้านล้าน-ขาดดุล 7.13 แสนล.
ย้อนดู‘หนี้ประเทศ-ภาระผูกพัน’ ก่อน‘รบ.เศรษฐา’เร่งหาแหล่งเงิน 5.6 แสนล.โปะ‘ดิจิทัลวอลเลต’
เปิด‘แผนการคลัง’ฉบับปี 67-70 รัฐเล็งกู้ใหม่ 4.7 ล้านล้าน-ภาระผูกพันคงค้างพุ่ง 1.03 ล้านล.
รอปรับตัวเลข! ‘บิ๊กตู่’ ยังไม่เคาะกรอบวงเงินงบปี 67 หลังนั่งหัวโต๊ะหารือ 4 หน่วยงาน
คุมขาดดุลไม่เกิน 3%! ครม.เคาะ‘แผนคลังระยะปานกลาง’ใหม่-ชงงบปี 67 รายจ่ายพุ่ง 3.35 ล้านล.
รัฐซุกหนี้ 1 ล้านล.! พบไม่รวมอยู่ใน‘หนี้สาธารณะ’-‘คลัง’ห่วงภาระช่วยเหลือ‘เกษตรกร’พุ่ง
ฉบับล่าสุด! เปิดรายงาน 'ความเสี่ยงการคลัง' ภาครัฐ รายจ่ายสวัสดิการฯพุ่ง-ชงทบทวนภาษี
'อดีตผู้ว่าฯธปท.'ห่วงภาครัฐ'ขาดดุลนาน-หนี้สูง' ฝาก'แบงก์ชาติ'ต้องอิสระจากผู้มีอำนาจ
'มูดี้ส์'คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย มอง'เศรษฐกิจมหภาค-การคลังสาธารณะ'แข็งแกร่ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา