
“….การทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 8.5) และอีกร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 10.0) ในปีงบประมาณ 2571 และ 2573 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน…."
.......................................
ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 พ.ย.2568 ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ ‘แผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573)’ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ (อ่านประกอบ : ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังฯ’ใหม่ คาดงบรายจ่ายฯปี 70 แตะ 3.788 ล้านล.-ขาดดุลฯ 3.9% ต่อจีดีพี)
สำหรับแผนการคลังระยะปานกลางฯ ฉบับนี้ ประกอบด้วยรายละเอียดใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนที่ 1 สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ ส่วนที่ 2 สถานะและประมาณการการคลัง และส่วนที่ 3 เป้าหมายและนโยบายการคลัง
โดยเฉพาะใน ‘ส่วนที่ 3 เป้าหมายและนโยบายการคลัง' กระทรวงการคลังได้นำเสนอ ‘สัญญาณเตือน’ เกี่ยวกับสถานการณ์ภาคการคลังของไทยที่สะท้อนถึงความ ‘ไม่ยั่งยืน’ และมี ‘ความเสี่ยง’ ที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในระยะต่อไป รวมทั้งนำเสนอแนวทางการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต มีรายละเอียดที่น่าสนใจ ดังนี้
@‘ภาคการคลัง’ส่งสัญญาณเตือน‘หลายด้าน’-เสี่ยงโดนหั่นเครดิตฯ
เป้าหมายและนโยบายการคลัง
เป้าหมายการคลัง
ท่ามกลางความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเมือง ภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้สถานการณ์ภาคการคลังของไทย ส่งสัญญาณเตือนจากหลายด้าน
โดยเมื่อพิจารณาจากสัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ของประเทศไทย พบว่า สัดส่วนรายได้รัฐบาลต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 17 ในปี 2536 ลดลงเหลือร้อยละ 14.9 ในปี 2568
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสัดส่วนรายได้รัฐบาลจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง การใช้จ่ายของรัฐบาลกลับยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจชะงักงัน ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง สะท้อนได้จากสัดส่วนรายจ่ายรัฐบาลต่อ GDP ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นลำดับ
โดยเมื่อพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนของรายละเอียดรายจ่ายรัฐบาล จะพบว่ารายจ่ายประจำมีสัดส่วนมากถึงร้อยละ 70 - 80 ของรายจ่ายรัฐบาลทั้งหมด (เช่น เงินเดือนและค่าตอบแทนข้าราชการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าสาธารณูปโภค เงินอุดหนุน เป็นต้น) และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้รัฐบาลมีวงเงินงบประมาณคงเหลือสำหรับรายจ่ายลงทุน ซึ่งเป็นรายจ่ายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจลดลงตามไปด้วย
นอกจากนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลต่อความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ประกอบกับความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือทางการคลังในการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งทำให้รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่รัฐบาลจำเป็นต้องระดมทุนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยการกู้เงินผ่านเครื่องมือทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้น และเข้าใกล้กรอบเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 70 ขณะเดียวกัน สภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนสูง ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคาดการณ์ภาระดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในส่วนของการกำหนดสัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rule) ตามมาตรา 11 (4) และมาตรา 50 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย สัดส่วนงบประมาณเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาล เป็นต้น
พบว่า สัดส่วนกฎเกณฑ์ทางการคลังบางรายการ ควรมีการทบทวน ยกเลิก หรือเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและบริบททางการคลัง เพื่อเป็นการมุ่งเน้นการรักษาวินัยการเงินการคลังให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายการภาระผูกพันตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2562 มีภาระหนี้ผูกพันตามมาตรา 28 อยู่ที่ 865,018 ล้านบาท หรือร้อยละ 28.83 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ และล่าสุดในปี 2568 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1,133,751 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.21 ต่อกรอบวงเงินงบประมาณ ความเปราะบางทางการคลังต่างๆ เหล่านี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการประเมินความน่าเชื่อถือของประเทศ
โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ระดับโลก ได้แสดงความกังวลต่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ที่สะท้อนผ่านการปรับแนวโน้มมุมมอง (Outlook) ของประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในระยะต่อไป
@ชงปรับโครงสร้างภาษียกแผง-ขึ้น‘แวต’เป็น 8.5% ในปี 71
ดังนั้น ในการดำเนินนโยบายการคลังในระยะปานกลาง ภาครัฐจึงมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความมั่งคงทางการคลัง
และรักษาระดับความน่าเชื่อถือของประเทศภายใต้แนวคิด “Credible” โดยให้ความสำคัญกับการปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ภายใต้กรอบวินัยการคลัง ความโปร่งใส และเป็นรูปธรรมในทุกมิติของการบริหารจัดการด้านการคลัง โดยมีการดาเนินการตามแนวทาง ดังนี้
1) การเปิดเผยแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะอย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
1.1) ด้านรายได้
มุ่งเน้น (1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัลและ Big Data มาใช้เพื่อขยายฐานภาษี และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้
โดย Data Lake ของกระทรวงการคลัง มีเป้าหมายสำคัญในการรวบรวม และเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายฐานในการจัดเก็บรายได้ให้ครบถ้วน อีกทั้งยังนำมาช่วยออกแบบวิเคราะห์ และประเมินผลนโยบายการคลัง อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางการคลังของรัฐและเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อไป
รวมทั้งทบทวนกฎหมายลำดับรองและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต รวมถึงรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารการจัดเก็บภาษี นอกจากนี้ จะปรับเพิ่มอัตราการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจบางแห่ง รวมทั้งเพิ่มรายได้และมูลค่าในการบริหารทรัพย์สินอื่นๆ ที่รวมถึงทุนหมุนเวียน หลักทรัพย์ ที่ราชพัสดุ ราคาประเมิน และเหรียญกษาปณ์
(2) การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งในส่วนการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน การปรับปรุงโครงสร้างสินค้าที่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
การปรับปรุงโครงสร้างภาษีกลุ่ม Sin Tax ตลอดจนการเก็บอากรขาเข้าจากสินค้ามูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ควบคู่กับการดำเนินมาตรการเทียบเท่ากับการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 8.5) และอีกร้อยละ 1.5 (เป็นจัดเก็บที่อัตราร้อยละ 10.0) ในปีงบประมาณ 2571 และ 2573 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในกรณีการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจไปในคราวเดียวกัน
@คุมรายจ่าย‘บุคลากร-สวัสดิการปชช.-ค่ารักษาพยาบาล’
1.2) ด้านรายจ่าย
ให้ความสำคัญกับ (1) การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล (2) การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยเฉพาะหมวดค่าใช้จ่ายบุคลากร ด้านสวัสดิการประชาชน ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน
(3) การจัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชนหรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (4) การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการจัดทางบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting)
และ (5) การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ให้หน่วยรับงบประมาณ พิจารณานำเงินนอกงบประมาณ มาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก
รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของโครงการลงทุนภาครัฐ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีสถานะการเงินที่ดี รวมถึงมีโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีกระแสเงินสดที่มั่นคง ให้พิจารณาความเหมาะสมในการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นลำดับแรก
นอกจากนี้ สำหรับหน่วยงานของรัฐที่มีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โดยกรณีที่หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกชนมีศักยภาพ นวัตกรรม มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงและต้นทุนในการดำเนินการโครงการดังกล่าว
หรือสามารถสร้างคุณภาพการให้บริการให้กับประชาชนดีกว่าที่ภาครัฐจะดำเนินการเอง ก่อให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพที่จะให้เอกชนดำเนินการ ให้พิจารณาความเหมาะสมที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนผ่านกฎหมายว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
1.3) ด้านหนี้สาธารณะ
ดำเนินการโดย (1) การบริหารหนี้ในเชิงรุก โดยปรับกลยุทธ์การระดมทุนให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยมีการประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบด้านต้นทุนและความเสี่ยง จากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก และพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล
(2) การรักษาวินัยในการชำระหนี้ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยควรจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับหนี้ที่ครบกำหนดชำระ และจัดสรรรายจ่ายชำระดอกเบี้ยให้มีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ย
และ (3) การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ จากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปีงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ร้อยละ 10.24 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา
@ลดขนาดการ‘ขาดดุลการคลัง’ไม่เกิน 3% ภายในปี 72
2) การปรับกฎเกณฑ์ทางการคลัง (Fiscal Rules) เพื่อเพิ่มวินัยทางการคลัง โดยให้มีการทบทวนสัดส่วนวินัยการคลังตามมาตรา 11 (4) ได้แก่ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบชำระคืนต้นเงินกู้ และการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า/นอกเหนือจากกฎหมายงบประมาณ เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อสาธารณะถึงเจตนารมณ์ในการรักษาวินัยที่เข้มงวดขึ้นของรัฐ
3) การกำหนดแนวทางกำกับการดำเนินการตามมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยเสนอขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีกำหนดแนวทางในการพิจารณาอนุมัติโครงการตามมาตรา 28 ให้อยู่ภายใต้กรอบร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
โดยให้หน่วยงานของรัฐทุกแห่งหลีกเลี่ยงการอนุมัติโครงการในลักษณะเงินอุดหนุนแบบให้เปล่าที่ไม่ก่อให้เกิดการปรับตัวเพื่อยกระดับผลิตภาพการผลิตของภาคการเกษตร
ทั้งนี้ ในการเสนอโครงการต่อคณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐที่เป็นเจ้าของโครงการจะต้องได้รับความเห็นชอบโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อน โดยหน่วยงานของรัฐนั้น จะต้องส่งรายละเอียดของโครงการให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้ความเห็น และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
จากแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้ง 3 ด้านดังกล่าว นำไปสู่การกำหนดเป้าหมายการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space)
โดยปรับลดขนาดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP ภายในปี 2572 เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานด้านการคลังของรัฐบาล อันจะนำไปสู่การฟื้นฟูสภาพทางการคลังของประเทศให้กลับสู่สภาวะที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต
@เดินหน้าขยายฐานภาษี-ปรับปรุงโครงสร้างจัดเก็บรายได้ฯ
นโยบายและมาตรการระยะปานกลาง
1.กำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะอย่างเป็นธรรมให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
1) ด้านการจัดเก็บรายได้
กระทรวงการคลังจะส่งเสริมและผลักดันการทำงานของหน่วยงานจัดเก็บรายได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ ขยายฐานภาษี และปรับปรุงโครงสร้างการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจ โดยมีเป้าหมายให้ประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ เติบโตสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสามารถสนับสนุนความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวได้ ดังนี้
(1) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ มุ่งขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดเก็บภาษีของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลัง โดยใช้ข้อมูลเป็นฐานในการจัดเก็บภาษี (Data-driven Tax Administration) พัฒนาแอปพลิเคชันในการสำรวจราคาขายปลีกแนะนำ
เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิผลมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศ และพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการชำระภาษีให้สะดวกและโปร่งใสมากขึ้น
(2) การขยายฐานภาษี ดำเนินการตรวจสอบภาษีเชิงรุกเพื่อขยายฐานผู้เสียภาษีให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการนอกระบบภาษีและผู้ประกอบการรายใหม่ พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่อยู่นอกระบบภาษีเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางภาษีมากขึ้น โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่และการบูรณาการข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินความถูกต้องของการชำระภาษี
(3) การปรับปรุงโครงสร้างจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีให้เหมาะสมกับบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการคลังและความเป็นธรรมแก่ประชาชนในทุกกลุ่มรายได้ ผ่านการกระจายภาระภาษีอย่างเหมาะสม ปรับปรุงวิธีการคำนวณภาษี มาตรการลดหย่อน และการยกเว้นภาษีบางประเภท
ริเริ่มการจัดเก็บภาษีจากกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและไม่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต นำเครื่องมือนโยบายภาษีมาใช้เป็นกลไกสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของประชาชน ปรับปรุงอัตราภาษีและค่าธรรมเนียมที่จัดเก็บในปัจจุบันให้สะท้อนต้นทุนทางภาษีที่แท้จริง พร้อมทั้งทบทวนมาตรการที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้โดยให้คงเหลือไว้เฉพาะเท่าที่จำเป็น
@คุมค่าใช้จ่าย‘บุคลากร-สวัสดิการปชช.’-ปฏิรูประบบราชการ
2) ด้านการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
(1) มุ่งเน้นดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยดำเนินการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แผนปฏิบัติราชการของกระทรวง ความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ
รวมทั้งน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นแนวทางในการจัดสรรงบประมาณ มุ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Budget) รวมทั้งการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงมิติเพศภาวะ (Gender-Responsive Budgeting: GRB)
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตและบริการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อส่งเสริมการวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ควบคู่ไปกับการวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการผลิตทั้งอุตสาหกรรมและการเกษตร
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสวัสดิการที่เหมาะสม และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการภาครัฐโดยการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(2) จัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยพิจารณาลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วน ความสมเหตุสมผล ศักยภาพการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณในปีที่ผ่านมา ความพร้อมของหน่วยรับงบประมาณ และไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ โดยควรมีการดำเนินมาตรการ ดังนี้
2.1) ด้านค่าใช้จ่ายบุคลากร ไม่ควรเพิ่มอัตรากำลังคนและค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐของประเทศ โดยเฉพาะการออกระเบียบการเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งไม่ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพิ่มเติม หรือในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องตั้งหน่วยงานใหม่ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้มีภารกิจที่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในระยะปานกลางควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง เพื่อลดขนาดของหน่วยงานภาครัฐ มีกำลังคนภาครัฐที่มีคุณภาพ มีระบบการทำงานและการประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงปฏิรูประบบค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
2.2) ด้านสวัสดิการประชาชน ชะลอการปรับเพิ่มอัตราสวัสดิการ โดยเฉพาะเบี้ยยังชีพหรือเงินอุดหนุนประเภทต่างๆ และในระยะต่อไปควรมีการพิจารณาการจัดสรรสวัสดิการดังกล่าวในภาพรวม เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนของสิทธิ อันจะทำให้รัฐสามารถจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับฐานะทางการคลังของรัฐบาล
2.3) ด้านภาระค่ารักษาพยาบาล มีการปฏิรูปนโยบายการคลังด้านสุขภาพ โดยมุ่งเน้นมาตรการในด้านการดูแล ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาพของคนไทยให้มีสุขภาพที่ดี รวมทั้งควรควบคุมการใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลของทุกสิทธิการรักษาพยาบาลให้เหมาะสม เป็นธรรม สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึงมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในภาพรวม
2.4) ด้านค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภค มีการพิจารณาใช้ Solar cell และนำธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน (Energy Service Company: ESCO) มาใช้ในหน่วยงานราชการมากขึ้น เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้า รวมทั้งพิจารณาระบบสารสนเทศของหน่วยงานให้มีเท่าที่จำเป็น เพื่อลดภาระค่าบารุงรักษา (Maintenance Agreement: MA) ในอนาคต
2.5) ด้านการดำเนินงานของหน่วยงาน ควรดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยพิจารณาชะลอหรือปรับลดโครงการ/รายการ ที่หมดความจำเป็นหรือมีความซ้ำซ้อน รวมทั้งลดขั้นตอนการทำงาน
และทบทวนกฎหมายและระเบียบที่ล้าสมัย ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และมุ่งสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล รวมทั้งไม่ควรเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนที่มีรายได้หลักมาจากเงินงบประมาณ เพื่อใช้ดำเนินงานตามภารกิจของหน่วยงาน
ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่มีความจำเป็นต้องเพิ่มอัตราค่าใช้จ่าย หรือดำเนินนโยบายโครงการ/รายการใหม่ จะต้องมีการชี้แจงเหตุผลความจำเป็น และพิจารณาให้สอดคล้องตามหลักการใช้จ่ายงบประมาณอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด (Value for Money: VfM) โดยใช้หลักการวิเคราะห์ 3E ได้แก่ Economy (ความประหยัด) Efficiency (ประสิทธิภาพ) และ Effectiveness (ประสิทธิผล)
(3) จัดทำแผนงาน/โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน หรือส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยดำเนินการผ่านการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
(4) การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ (Area-Based Budgeting) โดยพิจารณาลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ ตามความจำเป็นเร่งด่วน ความพร้อมในการดำเนินงาน และความพร้อมของพื้นที่ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาพื้นที่ ระดับภูมิภาค กลุ่มจังหวัด จังหวัด และท้องถิ่น รวมถึงตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่
รวมทั้งควรส่งเสริมความร่วมมือระหว่างราชการส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล และหากแผนงาน/โครงการ จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับผังเมือง ข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม หน่วยรับงบประมาณต้องดำเนินการให้ครบถ้วนก่อนยื่นคาขอตั้งงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น
(5) จัดทำงบประมาณโดยพิจารณาความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ โดยให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณานำเงินนอกงบประมาณมาดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อดำเนินโครงการลงทุนภาครัฐ เช่น เงินกู้ การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เป็นต้น
และสำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะมีรายได้จากการดำเนินโครงการในอนาคต ให้พิจารณาใช้จ่ายจากกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFFIF) เพื่อลดภาระงบประมาณของประเทศและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ภาครัฐ
@บริหารหนี้เชิงรุก-รักษาวินัยชำระหนี้เงินต้น-ดอกเบี้ย
3) ด้านการบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลังควรบริหารหนี้สาธารณะโดยยึดหลักดำเนินการในเชิงรุก (Proactive Debt Management) และการรักษาวินัยในการชำระหนี้ ( Debt Repayment Discipline) รวมทั้งคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Affordability) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ
และสนับสนุนความยั่งยืนทางการคลังซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570 - 2573) ดังนี้
(1) การบริหารหนี้ในเชิงรุก คือ การประเมินสถานการณ์ปัจจุบันและคาดการณ์ล่วงหน้า เพื่อปรับกลยุทธ์การระดมทุนของรัฐบาลให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เศรษฐกิจ รวมทั้งตลาดการเงิน ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
และเตรียมการรองรับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยโลก เพื่อบรรเทาผลกระทบทั้งในเชิงต้นทุนและความเสี่ยงจากด้านอัตราดอกเบี้ยและการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล โดยยังคงสามารถระดมทุนได้ครบตามที่กำหนดในแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2570-2573) ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดทางปัจจัยทางมหภาคและตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปจากสภาวะปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
(2) การรักษาวินัยในการชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงทางการคลังและภาระดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดในการบริหารรายจ่ายประจำในอนาคตได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่รัฐบาลมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินมาตรการทางการคลังในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้มีภาระต้นเงินกู้ที่สูงขึ้นมาก
ดังนั้น รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรงบชำระต้นเงินกู้ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงวินัยทางการคลังและสอดคล้องกับขนาดของมูลหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณนั้น
นอกจากนี้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ จะต้องจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระดอกเบี้ยอย่างพอเพียง เนื่องจากภาระดอกเบี้ยเป็นภาระต่องบประมาณที่จะต้องจ่ายทั้งจำนวนโดยไม่สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณ จึงควรจัดสรรงบประมาณสำหรับงบชำระดอกเบี้ย ให้มีความยืดหยุ่น รองรับความผันผวนสูงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน และควรมีการจัดทำรายงานผลการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้เปรียบเทียบกับผลการใช้จ่ายจริงทุกสิ้นปีงบประมาณ โดยควรมีการระบุปัญหาและอุปสรรค รวมถึงแนวทางการแก้ไขด้วยเพื่อรักษาวินัยทางการคลังและเพิ่มความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น
(3) ความสามารถในการชำระหนี้เป็นตัวชี้วัดที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศให้ความสำคัญ โดยประเมินจากภาระดอกเบี้ยในแต่ละปีงบประมาณต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ ซึ่งหากสัดส่วนดังกล่าวสูงเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณในภาพรวม
หรืออาจทำให้ต้องลดงบประมาณรายจ่ายประจำในส่วนอื่นหรือปรับลดงบลงทุน (ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงที่ประมาณร้อยละ 75 – 80 ของงบประมาณประจำปี) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาวได้ ซึ่ง สบน. ได้ติดตามสัดส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
โดยสถานะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 10.24 ซึ่งเทียบเคียงได้กับระดับที่ยอมรับว่าเหมาะสมแก่การลงทุน (Investment Grade) ตามเกณฑ์ของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ทั้งนี้ การติดตามสัดส่วนดังกล่าว พบว่า มีการทยอยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากหลายสาเหตุ อันได้แก่ ความต้องการกู้เงินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินนโยบายการคลังในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับการจัดเก็บรายได้ที่เติบโตค่อนข้างน้อย
จะเห็นได้ว่า สัดส่วนดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญและสะท้อนการบูรณาการงานในทุกภารกิจทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สิน เนื่องจากภารกิจด้านรายได้ และรายจ่ายจะกำหนดวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง ในขณะที่ภารกิจด้านหนี้สินจะเป็นการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐให้มีต้นทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งจะสะท้อนถึงภาระดอกเบี้ย
นอกจากนี้ การดำเนินการตามภารกิจด้านรายได้ ยังส่งผลต่อประมาณการจัดเก็บรายได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงควรให้ความสำคัญเป็นอย่างสูงต่อการมุ่งเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) ในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อรักษาและเสริมสร้างความสามารถในการชำระหนี้ และความน่าเชื่อถือของประเทศ
กล่าวคือ หากรัฐบาลไม่สามารถลดขนาดการขาดดุลงบประมาณในแต่ละปีลง ผ่านการปรับเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ และการปรับลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและจัดสรรเงินงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพไปสู่โครงการที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้โตขึ้นอย่างแท้จริง
ก็อาจจะทำให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือมองได้ว่าประเทศไทยขาดวินัยทางการคลัง และอาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้ ซึ่งจะผลกระทบต่อต้นทุนการกู้เงินของทั้งภาครัฐและเอกชนและอาจลดความน่าดึงดูดและความเชื่อมั่นของประเทศในสายตานักลงทุนต่างชาติได้
เหล่านี้เป็นสาระสำคัญของ ‘แผนการคลังระยะปานกลาง’ ฉบับปี พ.ศ.2570-73 ในส่วนที่ ‘ส่วนที่ 3’ เป้าหมายและนโยบายการคลัง ซึ่งมีโจทย์สำคัญหลายด้านที่รัฐบาลชุดปัจจุบันและชุดใหม่ ต้องผลักดันให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไม่จะเป็นการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ฯ การปฏิรูปโครงสร้างภาษี โดยเฉพาะการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
การปฏิรูประบบราชการ ซึ่งรวมถึงการลดควบคุมรายได้จ่ายบุคลากรภาครัฐ ตลอดจนการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการของประชาชน และการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะมีความสุ่มเสี่ยงว่า ‘บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ’ จะมองว่าประเทศไทยขาดวินัยทางการคลัง และอาจนำไปสู่การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือได้!
อ่านประกอบ :
ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังฯ’ใหม่ คาดงบรายจ่ายฯปี 70 แตะ 3.788 ล้านล.-ขาดดุลฯ 3.9% ต่อจีดีพี
กระตุ้นศก.ควบคู่ลงทุน! ส่อง‘แผนการคลังฯ’ฉบับล่าสุด รบ.เล็งกู้ชดเชยขาดดุลฯ 5 ปี 3.9 ล้านล.
พลิกมติ'ครม.เศรษฐา'รื้อ'แผนการคลังฯ'2 รอบ กู้โปะ'ดิจิทัลวอลเลต'-'หนี้สาธารณะ'ใกล้ชนเพดาน
ครม.เคาะรื้อ‘แผนการคลังฯ’รอบ 2 เพิ่มงบปี 67 เป็น 3.6 ล้านล. ดันหนี้สาธารณะ 65.7%ต่อGDP
เพิ่มรายจ่ายปีงบ 68 เป็น 3.75 ล้านล.! ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังระยะปานกลาง’ฉบับใหม่
เปิด‘แผนการคลังฯ’ฉบับใหม่ แนวโน้มหนี้‘รัฐบาล-รสก.’เพิ่ม-คาดปีงบ 67-71 กู้ 4.26 ล้านล.
ครม.ไฟเขียว'แผนการคลังฯ'ฉบับใหม่ คาดปี 68 ตั้งงบรายจ่ายฯ 3.6 ล้านล้าน-ขาดดุล 7.13 แสนล.
ย้อนดู‘หนี้ประเทศ-ภาระผูกพัน’ ก่อน‘รบ.เศรษฐา’เร่งหาแหล่งเงิน 5.6 แสนล.โปะ‘ดิจิทัลวอลเลต’
เปิด‘แผนการคลัง’ฉบับปี 67-70 รัฐเล็งกู้ใหม่ 4.7 ล้านล้าน-ภาระผูกพันคงค้างพุ่ง 1.03 ล้านล.
รอปรับตัวเลข! ‘บิ๊กตู่’ ยังไม่เคาะกรอบวงเงินงบปี 67 หลังนั่งหัวโต๊ะหารือ 4 หน่วยงาน
คุมขาดดุลไม่เกิน 3%! ครม.เคาะ‘แผนคลังระยะปานกลาง’ใหม่-ชงงบปี 67 รายจ่ายพุ่ง 3.35 ล้านล.
รัฐซุกหนี้ 1 ล้านล.! พบไม่รวมอยู่ใน‘หนี้สาธารณะ’-‘คลัง’ห่วงภาระช่วยเหลือ‘เกษตรกร’พุ่ง
ฉบับล่าสุด! เปิดรายงาน 'ความเสี่ยงการคลัง' ภาครัฐ รายจ่ายสวัสดิการฯพุ่ง-ชงทบทวนภาษี
'อดีตผู้ว่าฯธปท.'ห่วงภาครัฐ'ขาดดุลนาน-หนี้สูง' ฝาก'แบงก์ชาติ'ต้องอิสระจากผู้มีอำนาจ
'มูดี้ส์'คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย มอง'เศรษฐกิจมหภาค-การคลังสาธารณะ'แข็งแกร่ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา