ป.ป.ช.แนะ 8 ข้อเสนอให้ รบ.ดำเนินการนโยบายดิจิทัลวอลเลต ย้ำชัดต้องดำเนินนโยบายให้โปร่งใส ยืนยันข้อเสนอให้จ่ายเงินเป็นงวดๆผ่านแอปเป๋าตัง ไม่ใช่การชี้นำให้ทำตามนโยบายรัฐบาลที่แล้ว แต่แค่เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ทำแล้วไม่เกิดผลกระทบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ 8 ข้อ ซึ่งมาจากประเด็นสำคัญที่รัฐบาลควรจะพิจารณาจำนวน 4 ประเด็น เพื่อให้รัฐบาลไปดำเนินการในนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต (Digital Wallet)
นอกจากนี้นายนิวัติไชยยังได้เน้นย้ำว่าหนึ่งในข้อเสนอของ ป.ป.ช.ที่ต้องการให้มีการจ่ายเงินเป็นงวดๆผ่านแอปเป๋าตัง โดยจ่ายเงินให้กลุ่มบุคคลที่ยากจนนั้นไม่ใช่การชี้นำให้ไปดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่แล้วแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าเป็นตัวอย่างของสิ่งที่เคยทำแล้วและไม่มีผลกระทบอะไร
โดยรายละเอียดเอกสารข่าวแจกประกอบการแถลงข่าวมีดังนี้
เนื่องจาก ป.ป.ช. มีหน้าที่และอํานาจตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 32 ในการเสนอ มาตรการ ความเห็น และข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการในการปรับปรุง การปฏิบัติราชการ หรือวางแผนงานโครงการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ เพื่อป้องกันหรือ ปราบปรามการทุจริต การกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ ในการยุติธรรม ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนและอาจสร้างภาระการคลังในระยะยาว
ในการนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงแต่งตั้ง “คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดําเนินการรับฟังความเห็น เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet” เพื่อศึกษารายละเอียด ผลกระทบ และความเสี่ยงต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการดําเนินโครงการตามนโยบายดังกล่าว โดยได้มีการศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง จากเอกสารหลักฐานต่าง ๆ รวมถึงการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จากส่วนราชการและหน่วยงาน ตลอดจนนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า มีประเด็นสําคัญที่ควรพิจารณา จํานวน 4 ประเด็นหลัก ๆ ได้แก่
1. ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริต อาทิ ประเด็นความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ความเสี่ยง ต่อการทุจริตจากกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินจากโครงการฯ
2. ประเด็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ การดําเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะสมดุล จะต้องคํานึงถึงความคุ้มค่าและมีความ จําเป็น ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต และในกรณีที่มีความจําเป็นต้องดําเนินนโยบาย ที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรมีการจัดลําดับความสําคัญ รวมถึงการพิจารณากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จึงอาจเป็นทางเลือกที่จะไม่ส่งผลกระทบทางการคลัง โดยเฉพาะดอกเบี้ยและสัดส่วนของหนี้สาธารณะได้มากกว่า
3. ประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมาย กล่าวคือ การดําเนินโครงการภายใต้แนวนโยบายดังกล่าว รัฐบาลจะต้องตระหนัก และใช้ความระมัดระวังอย่างเคร่งครัดและรอบคอบภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้อํานาจไว้ รวมทั้งแนวปฏิบัติที่ชัดเจน โปร่งใส ปราศจากการทุจริตและประพฤติมิชอบ อาทิ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ตลอดจนกฎหมาย คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ
4. ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และประเด็นเกี่ยวกับการ กําหนดนโยบายของพรรคการเมือง
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการประชุมครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 พิจารณาแล้ว มีมติเห็นควรเสนอข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณี การเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดําเนินการตามควรแก่กรณี ในการป้องกันมิให้เกิดการทุจริต หรือเกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะฯ จํานวน 8 ข้อ ดังนี้
1. รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์ การดําเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจน อย่างเป็นรูปธรรม ว่าผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการ เอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพ มากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดําเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย รวมทั้งประชาชน ที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากการดําเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริง เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถ กระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
2. การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และ พรรคเพื่อไทย ได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกัน สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งควรดําเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานสําหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ไม่จําเป็นต้องปฏิบัติ ตามที่ได้หาเสียงไว้
3. การดําเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ควรคํานึงถึงความคุ้มค่าและความจําเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency) การถ่วงดุล (Checks and Balances) การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และความคล่องตัว (Flexibility) ซึ่งรัฐบาลจึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี ผลเสียที่จะต้องกู้เงิน จํานวน 500,000 ล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงินจึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาล และประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชําระหนี้จํานวนนี้เป็นระยะเวลา 4 - 5 ปี กระทบต่อตัวเลข การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
4. การดําเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 172) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (มาตรา 53) พระราชบัญญัติ เงินคงคลัง พ.ศ. 2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6) พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ตลอดจนกฎหมาย คําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดําเนินโครงการ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
5. คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดําเนินโครงการ และการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดําเนินโครงการ เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อย่างรอบด้าน โดยกําหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง ซึ่งอาจพิจารณา าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดําเนินงาน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สามารถดําเนินการได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติอย่างแท้จริง
6. ในการนําเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจําเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดําเนินโครงการ เติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นการดําเนินโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน
7. จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤต เศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน รัฐบาลควร พิจารณาและให้ความสําคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น ในกรณีที่รัฐบาลต้องดําเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการ ช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบาง ที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
8. หากรัฐบาลมีความจําเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชน ที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ ตามพระราชบัญญัติเงินกู้ และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดํารงชีวิตของกลุ่มประชาชน ที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวด ๆ หลายงวดผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพ และมีฐานข้อมูลครบ สามารถทําได้รวดเร็ว การดําเนินการกรณีนี้ หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติ เงินกู้ จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และขัด พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสําคัญไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้หลังการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าในข้อเสนอข้อ 8 นั้นอาจจะเป็นช่องทางให้รัฐบาลลดกลุ่มเป้าหมายที่จะได้เงิน 10,000 บาทลงอีกหรือไม่ นายนิวัติไชยกล่าวว่ากลุ่มคนที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือนั้นอาจจะมีมุมมองที่แตกต่างกัน รัฐบาลอาจจะมองว่าต้องเพิ่มกลุ่มคนเพื่อให้มีลักษณะขับเคลื่อนการใช้จ่ายได้ เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ ดังนั้นถ้ารัฐบาลขยายเพดานไป ก็จะมีเหตุผลว่าทำไมถึงทำมากกว่ากลุ่มเปราะบางและอยู่ในเส้นความยากจน ทำไมต้องเอากลุ่มผู้มีรายได้ที่มากขึ้น คือตรงนี้อาจจะเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องตอบอีกครั้งหนึ่ง ถ้ารัฐบาลตอบได้ก็สามารถขับเคลื่อนไปได้
เมื่อถามต่อว่าข้อเสนอข้อ 8 ที่บอกว่าให้มีการจ่ายเงินเป็นงวดๆนั้นฟังดูเหมือนจะคล้ายกับนโยบายของรัฐบาลที่แล้วหรือไม่ที่มีการแจกเงินผ่านแอปเป๋าตังเป็นงวดๆ แบบนี้จะไม่เป็นการชี้นำหรือ เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวย้ำว่าคงไม่ได้เป็นการชี้นำ พอดีเห็นว่ามันมีตัวอย่างอยู่ แต่ถ้ามันมีวิวัฒนาการที่เหมาะสมกว่าก็สามารถจะทำได้ เราแค่ยกตัวอย่างในสิ่งที่มันเคยมี แต่ ป.ป.ช.นั้นไม่ได้มีหน้าที่จะไปทำให้เกิดวิวัฒนาการใหม่ๆขึ้นมา เราแค่มองว่าสิ่งที่เคยทำแล้วนั้นมันไม่ได้มีผลกระทบอะไร แต่ถ้าเกิดมีนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมา มันสามารถทำได้อย่างโปร่งใส มีการจัดการที่ดีขึ้น มันก็เป็นความเหมาะสมที่รัฐบาลสามารถทำได้
"8 ข้อเท่าที่ผมอ่านดูมันก็เป็นข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ เหมือนกับเราทำงานวิจัย เรามีข้อมูลอยู่เท่านี้ มีความเห็นทางวิชาการ ความเห็นผู้ทรรงคุณวุฒิซึ่งมาจากที่หลากหลายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ที่เขามีมุมมอง เราก็สะท้อนภาพมุมมองต่อไป มันไม่ใช่ความเห็นของคณะกรรมการคิดเองเออเอง มันมีฐานข้อมูลทางความผิด และเราเพียงแต่ขยายฐานข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ แถลงให้สื่อมวลชนทราบและส่งข้อเสนอที่เขาห่วงใยให้ทางรัฐบาลรับไปช่วยพิจารณา" นายนิวัติไชยกล่าวและกล่าวต่อว่าการที่ตอนนี้รัฐบาลไม่ได้ดึงดันให้ดำเนินการและบอกให้รอ ป.ป.ช.นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่ง ป.ป.ช.ก็ทำตามหน้าที่ และพร้อมจะยอมรับผลกระทบที่ตามมากับ ป.ป.ช. แต่ขอให้คุยกันด้วยเหตุผล
อ่านประกอบ :
ฉบับสมบูรณ์! เปิดข้อเสนอแนะป้องทุจริต‘ดิจิทัลวอลเลต’ เสียงเตือนจาก‘ป.ป.ช.’ถึง‘รบ.เศรษฐา’
แก้เนื้อหา 3 ประเด็น! ป.ป.ช.เคาะข้อเสนอแนะฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’ร่างสุดท้าย-ส่ง‘ครม.’รับทราบ
เปิดความเห็น 4 หน่วยงาน(จบ) ธปท.ย้ำ‘ดิจิทัลวอลเลต’ต้องไม่สร้าง‘เงินใหม่’-เตือนเสี่ยงทุจริต
เปิดความเห็น 4 หน่วยงาน(2) สศช.ห่วง‘ดิจิทัลวอลเลต’ดันหนี้สูง ฉุดเครดิตปท.-ชี้ศก.ไม่วิกฤติ
เปิดความเห็น 4 หน่วยงาน(1) ‘คลัง’เตือน‘ดิจิทัลวอลเลต’กระตุ้นศก.ระยะสั้น-หนี้ปท.พุ่ง 66.65%
เปิด 9 ข้อเสนอแนะฯป้องกันทุจริต‘ดิจิทัลวอลเลต’ ชง‘บอร์ด ป.ป.ช.’เคาะอีกครั้งใน 2 สัปดาห์
‘จุลพันธ์’ รับ ‘ดิจิทัลวอลเลต’ ส่อหลุด พ.ค. 67 ยืนยันเศรษฐกิจตอนนี้วิกฤติ
‘เลขากฤษฎีกา’ แนะรัฐบาลควรรับฟังความเห็น ป.ป.ช. ก่อนทำดิจิทัลวอลเลต
‘ภูมิธรรม’ เลื่อนถกบอร์ดดิจิทัลวอลเลต เหตุรอความเห็น ป.ป.ช. 1-2 สัปดาห์นี้
'เศรษฐา'ขอถก'บอร์ดนโยบายฯ'ก่อนกู้แจก'หมื่นดิจิทัล'-เผย'กฤษฎีกา'ไม่บอก'ทำได้หรือไม่ได้'
เปิดคำสั่ง‘ผู้ว่าฯสตง.’ ตั้ง‘คณะทำงานฯ’ศึกษา‘ความเสี่ยง-ผลกระทบ’แจก‘เงินหมื่นดิจิทัล’
‘รมช.คลัง’เผย‘กฤษฎีกา’ชี้รัฐบาลออก‘พ.ร.บ.กู้เงินฯ’ 5 แสนล.ได้-ยันแจก‘หมื่นดิจิทัล’พ.ค.67
อธิบายแค่ข้อกม.! ‘กฤษฎีกา’ตอบ‘คลัง’ ไม่ฟันธงออกพ.ร.บ.กู้ 5 แสนล.แจก 1 หมื่น ทำได้หรือไม่
ย้อนดู‘กม.กู้เงิน’ 9 ฉบับ ก่อน'รบ.เศรษฐา'จ่อชง'พ.ร.บ.กู้ฯ’5 แสนล.แจก‘เงินหมื่นดิจิทัล’
เป็นกลาง-รอบด้าน-ไม่ก้าวล่วงฝ่ายบริหาร! ป.ป.ช.เผยชื่อบอร์ดศึกษาฯ 'ดิจิทัลวอลเลต'
เบื้องหลัง! ‘ป.ป.ช.’ตั้งบอร์ดศึกษาฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’-ขีดเส้น 60 วันชงข้อเสนอสกัดทุจริต
‘สุภา’นั่งประธาน! ‘ป.ป.ช.’มีมติตั้งบอร์ดศึกษาฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’ ชงข้อเสนอป้องกันทุจริต
นโยบายแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทในมุมมองการเมือง
ย้อนดู‘หนี้ประเทศ-ภาระผูกพัน’ ก่อน‘รบ.เศรษฐา’เร่งหาแหล่งเงิน 5.6 แสนล.โปะ‘ดิจิทัลวอลเลต’