“…ในปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศใด เพราะการที่จะนับว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจได้นั้น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต้องมีการติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีภาวะการชะลอตัวของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ประเทศเยอรมันก็ยังติดลบเพียงไตรมาสเดียว หรือประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจก็ยังขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3…”
...................................
สืบเนื่องจากกรณีที่เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเห็นชอบ 'หลักการ' ร่างข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet จัดทำโดยคณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet
พร้อมทั้งมีมติให้ กรรมการ ป.ป.ช. นำร่างข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทฯ ไปพิจารณา เพื่อให้ข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ก่อนนำเสนอที่ประชุม ป.ป.ช. อีกครั้งในอีก 2 สัปดาห์ นั้น (อ่านประกอบ : เปิด 9 ข้อเสนอแนะฯป้องกันทุจริต‘ดิจิทัลวอลเลต’ ชง‘บอร์ด ป.ป.ช.’เคาะอีกครั้งใน 2 สัปดาห์)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) พบว่า ในร่างข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ฉบับดังกล่าว
คณะกรรมการเพื่อศึกษาและดำเนินการรับฟังความเห็นเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาทฯ ที่มี สุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานฯ ได้มีการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานของรัฐ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงบประมาณ ผ่านการประชุมร่วมกัน ตลอดจนการจัดทำหนังสือขอข้อมูล ข้อเท็จจริง และเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานดังกล่าว
ทั้งนี้ ในตอนที่แล้ว สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอความคิดเห็นของหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลัง 4 หน่วยงานไปแล้ว ในตอนนี้ สำนักข่าวอิศรา ขอนำเสนอความคิดเห็นของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ ‘สภาพัฒน์’ ที่ได้ให้ความเห็นกรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ต่อคณะกรรมการฯ มีรายละเอียด ดังนี้
@‘สภาพัฒน์’ชี้ยังไม่เห็นสัญญาณ‘วิกฤตเศรษฐกิจ’
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้แถลงข้อมูลของสภาวะทางเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ.2566 รวมถึงแนวโน้มในปี พ.ศ.2567 เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2566 คือ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3/2566 มีการขยายตัว ร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 2/2566 ที่ขยายตัว ร้อยละ 1.8 รวม 9 เดือนแรกของปี 2566 เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 1.9
โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ขยายตัวในเกณฑ์สูง รวมถึงการลงทุนของเอกชนมีการขยายตัวต่อเนื่อง ในส่วนการส่งออกและการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลและการลงทุนของภาครัฐมีการปรับตัวลดลง
ส่วนแนวโน้มของปี พ.ศ.2566 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวอยู่ที่ ร้อยละ 2.5 เนื่องจากการอุปโภคบริโภคยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี การท่องเที่ยวมีการฟื้นตัวขึ้น การลงทุนภาคเอกชนมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ส่วนข้อจำกัดที่เป็นความเสี่ยงสำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดภาคการส่งออกสินค้าและภาคการผลิต รวมถึงระดับหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์สูง รวมถึงการแปรปรวนของสภาพอากาศซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับราคาสินค้าของภาคเกษตรได้
สำหรับในปี พ.ศ.2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวดีขึ้นจากปี พ.ศ.2566 โดยคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วง ร้อยละ 2.7-3.7 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ ร้อยละ 3.2 โดยคาดว่าในปี พ.ศ.2567 การส่งออกจะกลับมาขยายตัวขึ้นจากที่ติดลบในปี พ.ศ.2566 ซึ่งจะส่งผลให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวดีขึ้น รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
แต่ข้อจำกัดที่มีความน่ากังวล คือ แรงขับเคลื่อนด้านการคลังยังมีข้อจำกัดอยู่ ภาคหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจอยู่ในเกณฑ์สูง ปัญหาภัยแล้งและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลกยังเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ
สำหรับเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจอีกตัวหนึ่ง คือ อัตราเงินเฟ้อ โดยในไตรมาสที่ 3/2566 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 0.5 ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ซึ่งใน 9 เดือนแรก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ ร้อยละ 1.8 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ ร้อยละ 1.5 โดยแนวโน้มเงินเฟ้อปี พ.ศ.2566 คาดว่าอยู่ที่ ร้อยละ 1.4 ส่วนใน ปี พ.ศ.2567 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 2.2
ในส่วนของหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 อยู่ที่ ร้อยละ 62.1 ของ GDP ซึ่งร้อยละ 98 เป็นเงินกู้ภายในประเทศ และร้อยละ 1.4 เป็นเงินกู้ต่างประเทศ โดยคาดว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะในปี พ.ศ.2567 จะปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ ร้อยละ 64
ในปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณของวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศใด เพราะการที่จะนับว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจได้นั้น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจต้องมีการติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีภาวะการชะลอตัวของหลายๆ ประเทศในยุโรป เช่น ประเทศเยอรมันก็ยังติดลบเพียงไตรมาสเดียว หรือประเทศสหรัฐอเมริกา เศรษฐกิจก็ยังขยายตัวได้ดีขึ้นในไตรมาสที่ 3
นอกจากนี้ ยังพบว่าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว ร้อยละ 8 เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส และขยายตัวเกือบทุกหมวดสินค้า ได้แก่ หมวดบริการขยายตัวอยู่ในเกณฑ์สูง ร้อยละ 15 สอดคล้องกับการกลับมาฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว หมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัว ร้อยละ 4 หมวดกึ่งคงทนขยายตัว ร้อยละ 1 และหมวดสินค้าคงทน เช่น ยานยนต์ยังขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์เพื่อประกอบการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลางว่า ในปี พ.ศ.2567 เศรษฐกิจจะขยายตัว ร้อยละ 3.2 และปี พ.ศ.2568 จะเร่งขึ้นมาอยู่ที่ ร้อยละ 3.6 และจะชะลอตัวลดลงเหลือ ร้อยละ 3.4 ในปี พ.ศ.2569-2570 โดยมีค่าเฉลี่ยในระยะปานกลางอยู่ที่ ร้อยละ 3.3
@ศก.ส่อชะลอตัวรุนแรง เมื่อสิ้นสุดมาตรการ 5 แสนล.
ในส่วนของตัวทวีคูณทางการคลัง จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขหลายปัจจัย เช่น มาตรการต่างๆที่ออกมาแต่ละช่วงเวลา ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ค่าตัวเลขอาจจะออกมาไม่ตรงกับที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น
แต่แม้ตัวทวีคูณทางการคลังจะสูงกว่าที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่มาตรการนั้นออกมา เช่น จะมีค่าตัวเลขที่สูงขึ้นในปี พ.ศ.2567 แต่ในปี พ.ศ.2568 เป็นต้นไป เมื่อไม่มีมาตรการ 5 แสนล้านบาท มาช่วยกระตุ้นในทุกๆ ปี ก็จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงหรืออาจจะติดลบก็เป็นได้
ในส่วนที่มีการให้ข้อมูลว่าจะเกิดเป็นพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 2-3 รอบ ผู้ให้ข้อมูลอาจจะเห็นภาพว่ามีการเปลี่ยนมือของเงิน 2-3 รอบ หรือ 2-3 คน แต่ในแง่ของการนำมาคำนวณเป็นตัวเลขด้านเศรษฐกิจ หรือตัวเลข GDP เป็นการใช้หลักเกณฑ์การคิดมูลค่าเพิ่ม คือ ไม่ได้คิดมูลค่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่จะใช้มูลค่าเพิ่มที่มีการหักลบต้นทุนสินค้าขั้นกลางไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่ใช่การหมุน 2 -3 รอบ ดังกล่าว
ตัวทวีคูณทางการคลังที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใช้อยู่ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
(1) การใช้จ่ายภาครัฐโดยตรง มีตัวทวีคูณทางการคลัง เท่ากับ 1
(2) การลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะมีการลดทอนในส่วนของการนำเข้า ร้อยละ 35-40 จึงมีค่าตัวทวีคูณทางการคลังน้อยกว่า 1 อยู่ที่ประมาณ 0.65 และ
(3) การใช้จ่ายผ่านการโอนเงิน มีตัวทวีคูณทางการคลัง น้อยกว่า 1 อยู่ที่ประมาณ 0.4 โดยมีหลักการว่า ภาคประชาชนไม่ได้ใช้จ่ายเงินทั้งหมดที่ได้รับมา โดยบางส่วนใช้สำหรับสินค้าบริโภคที่จำเป็น บางส่วนก็จะใช้จ่ายในสินค้าที่นำเข้า จึงมีการตัดทอนค่าตัวทวีคูณทางการคลังให้น้อยลง ซึ่งนโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ก็จะจัดอยู่ในประเภทนี้ด้วย
ปัจจุบันเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นถึงมุมมองในภาพรวมของเศรษฐกิจรวมถึงประเด็นความเสี่ยง
โดยจะได้มีการนำเสนอมติของคณะกรรมการชุดดังกล่าวนี้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ แต่ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการรอนำเสนอคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณาแหล่งเงินที่จะใช้ดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นที่มาว่ายังไม่มีความชัดเจนของการดำเนินงานตามนโยบายดังกล่าว แต่หากมีความชัดเจนแล้ว ในขั้นตอนที่คณะกรรมการฯ จะเสนอเรื่องเข้าไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังคงมีหน้าที่และอำนาจในการให้ความเห็นอีกรอบหนึ่ง แต่ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการแล้ว จะไม่อยู่ในขอบข่ายหน้าที่และอำนาจในการดำเนินการของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยการติดตามประเมินผลน่าจะอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการประเมินผล ซึ่งเห็นว่าควรจะประกอบด้วยหน่วยงานภายนอกและกระทรวงการคลัง
เนื่องจากการดำเนินโครงการตามนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ทั้งในเรื่องของวงเงิน ประเภทของสินค้าและบริการที่จะสามารถใช้จ่ายได้ ระยะเวลาการดำเนินงาน หรือแหล่งเงินที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และแนวโน้มในปีหน้า จะเห็นว่าสถานการณ์ทางด้านการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี ซึ่งหากจะมีการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม จากการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ ในขณะที่ประเทศยังมีข้อจำกัดด้านความเสี่ยงทางการคลัง
โดยการนำเงินภาครัฐมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ถึงแม้จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแต่จะเป็นการเพิ่มขึ้นในระยะสั้น หากในปีถัดไปไม่มีมาตรการมากระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีความเสี่ยงที่ตัวเลขจะลดลงไปอีก
รวมถึงระดับหนี้สาธารณะซึ่งกำหนดกรอบเพดานอยู่ที่ ร้อยละ 70 ของ GDP ซึ่งปัจจุบันปี พ.ศ.2566 สัดส่วนหนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 63 และคาดว่าปี พ.ศ.2567 อยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 64 หากมีมาตรการตามนโยบายดังกล่าวเข้ามาจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลกระทบถึงการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของต่างประเทศในด้านเสถียรภาพทางด้านการคลังของประเทศ
เบื้องต้น หากพิจารณาจากตัวเลขทางเศรษฐกิจจะเห็นว่าการบริโภคขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี และการกระตุ้นด้วยการบริโภคก็อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านอื่น ๆ ได้ เช่น ความเสี่ยงทางการคลัง ประกอบกับปัจจัยความเสี่ยงในอนาคตค่อนข้างจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เช่น การสู้รบในประเทศอิสราเอล ซึ่งในช่วงโควิดที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤตมาได้เนื่องจากเรามีพื้นที่ทางการคลังอยู่พอสมควร
และถึงแม้แนวทางการดำเนินงานตามนโยบาย Digital Wallet จะยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร แต่ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็ลองนำงบประมาณตามโครงการดังกล่าว จำนวน 5 แสนล้านบาท มาคำนวณคร่าวๆ แล้ว ปรากฏว่าจะส่งผลให้ปี พ.ศ.2566 ค่า GDP เพิ่มขึ้น 0.7-0.8 แต่จะลดลงในปี พ.ศ.2568 เพราะแรงกระตุ้นที่ไม่ต่อเนื่อง
ดังนั้น หากเรานำเงินที่จะใช้ในการดำเนินนโยบายดังกล่าวมาเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง อาจจะมีความเหมาะสมกว่าตามบริบทโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ที่ ร้อยละ 3.2-3.5
หากต้องการยกระดับการเจริญเติบโตให้มากขึ้นกว่านี้ สิ่งที่ต้องทำ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการเจริญเติบโตในระยะยาว ได้แก่ การปรับเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในภาคการผลิต รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มในภาคการผลิตให้สูงขึ้น ทั้งภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม
ส่วนภาคการท่องเที่ยวต้องมีการดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักแรมในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น รวมถึงการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และสามารถยกระดับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในระยะยาว
เหล่านี้เป็นความเห็นของ ‘สภาพัฒน์’ เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่อยู่ใน 'ร่างข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet' ที่ ป.ป.ช.จะเสนอให้รัฐบาลรับทราบต่อไป
อ่านประกอบ :
เปิดความเห็น 4 หน่วยงาน(1) ‘คลัง’เตือน‘ดิจิทัลวอลเลต’กระตุ้นศก.ระยะสั้น-หนี้ปท.พุ่ง 66.65%
เปิด 9 ข้อเสนอแนะฯป้องกันทุจริต‘ดิจิทัลวอลเลต’ ชง‘บอร์ด ป.ป.ช.’เคาะอีกครั้งใน 2 สัปดาห์
‘จุลพันธ์’ รับ ‘ดิจิทัลวอลเลต’ ส่อหลุด พ.ค. 67 ยืนยันเศรษฐกิจตอนนี้วิกฤติ
‘เลขากฤษฎีกา’ แนะรัฐบาลควรรับฟังความเห็น ป.ป.ช. ก่อนทำดิจิทัลวอลเลต
‘ภูมิธรรม’ เลื่อนถกบอร์ดดิจิทัลวอลเลต เหตุรอความเห็น ป.ป.ช. 1-2 สัปดาห์นี้
'เศรษฐา'ขอถก'บอร์ดนโยบายฯ'ก่อนกู้แจก'หมื่นดิจิทัล'-เผย'กฤษฎีกา'ไม่บอก'ทำได้หรือไม่ได้'
เปิดคำสั่ง‘ผู้ว่าฯสตง.’ ตั้ง‘คณะทำงานฯ’ศึกษา‘ความเสี่ยง-ผลกระทบ’แจก‘เงินหมื่นดิจิทัล’
‘รมช.คลัง’เผย‘กฤษฎีกา’ชี้รัฐบาลออก‘พ.ร.บ.กู้เงินฯ’ 5 แสนล.ได้-ยันแจก‘หมื่นดิจิทัล’พ.ค.67
อธิบายแค่ข้อกม.! ‘กฤษฎีกา’ตอบ‘คลัง’ ไม่ฟันธงออกพ.ร.บ.กู้ 5 แสนล.แจก 1 หมื่น ทำได้หรือไม่
ย้อนดู‘กม.กู้เงิน’ 9 ฉบับ ก่อน'รบ.เศรษฐา'จ่อชง'พ.ร.บ.กู้ฯ’5 แสนล.แจก‘เงินหมื่นดิจิทัล’
เป็นกลาง-รอบด้าน-ไม่ก้าวล่วงฝ่ายบริหาร! ป.ป.ช.เผยชื่อบอร์ดศึกษาฯ 'ดิจิทัลวอลเลต'
เบื้องหลัง! ‘ป.ป.ช.’ตั้งบอร์ดศึกษาฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’-ขีดเส้น 60 วันชงข้อเสนอสกัดทุจริต
‘สุภา’นั่งประธาน! ‘ป.ป.ช.’มีมติตั้งบอร์ดศึกษาฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’ ชงข้อเสนอป้องกันทุจริต
นโยบายแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทในมุมมองการเมือง
ย้อนดู‘หนี้ประเทศ-ภาระผูกพัน’ ก่อน‘รบ.เศรษฐา’เร่งหาแหล่งเงิน 5.6 แสนล.โปะ‘ดิจิทัลวอลเลต’