ยื่นแก้แผนฟื้นฟูฯ‘การบินไทย’! รื้อเงื่อนไข‘เงินใหม่’-‘ชาญศิลป์’เชื่อ 'รัฐ-เจ้าหนี้' หนุน

tg 08 05 21 pic new

‘คณะผู้ทำแผน’ ยื่นแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ ‘การบินไทย’ ประเด็นที่มาและเงื่อนไข ‘เงินใหม่’ หลังหารือ ‘เจ้าหนี้-ภาครัฐ’ ด้าน ‘ชาญศิลป์’ เชื่อรัฐบาลเข้ามาดูแลเหมือนในรัฐบาลหลายประเทศ ขณะที่พนักงานห่วงร่างสัญญาจ้างใหม่เปิดทางเลิกจ้างง่าย

....................

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และหนึ่งในคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทย กล่าวในรายการ ‘เดินไปข้างหน้ากับ DD ชาญศิลป์’ โดยได้สื่อสารกับพนักงานการบินไทยตอนหนึ่งว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ผู้ทำแผนได้ยื่นขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการฯ ก่อนที่จะมีการประชุมเจ้าหนี้ในวันที่ 12 พ.ค.นี้

สำหรับการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการฯดังกล่าว เป็นการปรับปรุงเกี่ยวกับเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามา รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ขณะที่การปรับปรุงแผนครั้งนี้เป็นผลจากการที่ผู้ทำแผนได้เข้าหารือกับเจ้าหนี้และภาครัฐ

“สภาพธุรกิจการบินมันขาดทุน และสายการบินทั้งโลกมีหนี้สินเพิ่มขึ้นประมาณ 6 ล้านล้านบาท และขาดทุนเกือบ 3 ล้านล้านบาท การบินไทยก็หนีไม่พ้นที่ต้องขาดทุน ซึ่งรัฐบาลหลายๆรัฐบาลก็ช่วยสนับสนุน แต่ว่ารัฐบาลไทยบังเอิญวันนี้ เงินทองในการเป๋าก็ไม่เยอะ การสนับสนุนอะไรก็ต้องระมัดระวัง ซึ่งท่านคงได้เห็นข่าวแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่การบินไทยต้องทำ ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของเราแล้ว เราต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด

คือ ต้องทำแผน (ฟื้นฟูกิจการฯ) ที่สอดรับกับอนาคต ซึ่งเราทำมากว่า 6 เดือน และเราได้ยื่นแผนไปแล้วเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา เดี๋ยวจะมีการยื่นแก้ไขแผนอีกนิดหน่อย และน่าจะไปยื่นที่กรมบังคับคดีวันนี้เลย (7 พ.ค.2564) ซึ่งแผนที่แก้ โดยหลักใหญ่ๆ คือ การปรับปรุงเรื่องของเม็ดเงินใหม่ที่เข้ามาใหม่ และเงื่อนไขต่างๆว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นผลจากการที่เราได้หารือกับเจ้าหนี้กับภาครัฐ เพราะเจ้าหนี้เรามีกฎระเบียบ มีเงื่อนไข มีมุมมองแตกต่างกัน” นายชาญศิลป์กล่าว

@ชาญศิลป์เชื่อ ‘การบินไทย’ จะได้รับการดูแลจากรัฐ

ทั้งนี้ นายชาญศิลป์ เชื่อว่า บริษัท การบินไทย จะได้นับการดูแลจากรัฐบาล เพราะการบินไทยสร้างประโยชน์ให้ประเทศทั้งในแง่การจ้างงาน เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว

“ทุกๆเสียงมีความสำคัญ และขอให้พูดถึงสิ่งที่ดี ที่การบินไทยมีประโยชน์ให้กับประเทศ ช่วยกันพูด เพราะจริงๆแล้ว การบินไทย ไม่ใช่เรื่องของการทำกำไรให้ตัวการบินไทยเอง แต่การบินไทยมีผลต่อการจ้างงาน เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว มี impact (ผลกระทบ) เยอะมาก เดี๋ยวก็คงมีการดูว่าจะทำอย่างไร เพื่อดูแลการบินไทยในรูปต่างๆ แต่เราต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด” นายชาญศิลป์กล่าว

สำหรับการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาลงมติว่าจะรับแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทยหรือไม่นั้น จะมีการจัดประชุมแบบ E-Meeting ในวันที่ 12 พ.ค.2564 เวลา 9.00 น. โดยฝ่ายการบินไทยจะมีคณะผู้ทำแผน และที่ปรึกษาเข้าร่วมประชุม ส่วนเจ้าหนี้ที่จะร่วมประชุมนั้นจะแบ่งเป็นห้องประชุมเสมือนจริง (Virtual) 5-6 ห้อง ซึ่งแต่ละห้องเจ้าหนี้สามารถจะเข้าร่วมได้เป็นพันคน โดยเจ้าหนี้สามารถออกความเห็นและลงมติได้

นายชาญศิลป์ ยังกล่าวด้วยว่า เจ้าหนี้อยากให้การบินไทยเดินไปข้างหน้าได้ เจริญเติบโตรุ่งเรือง และกำลังมองว่าการบินไทยปรับปรุงอะไรบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าบริษัทจะไม่สามารถปรับปรุงเรื่องรายได้ได้ เพราะไม่มีดีมานด์ แต่บริษัทฯได้ปรับลดค่าใช้จ่ายต่าง เช่น การเจรจาค่าเช่าเครื่องบินมาเป็นการจ่ายตามที่ใช้งานจริง และทำสัญญาใหม่แล้ว ซึ่งทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลดลง 40-60% และการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ให้สอดรับกับกลยุทธ์ในอนาคต

“อีกอันเราร่วมกันทำ คือ การทำโครงสร้างองค์กรใหม่ให้สอดรับกับกลยุทธ์ข้างหน้า เพราะข้างหน้าเราไม่สามารถบินได้เยอะๆแล้ว โดยในช่วงแรกๆเราอาจบินด้วยเครื่อง 40-50 ลำ และในอนาคตอีก 3-5 ปีข้างหน้า คงจะขึ้นมา 70-80 ลำ ซึ่งเราคาดหวังว่าวัคซีนต่างๆจะโอเค และทั้งโลกเปิดประเทศมากขึ้น ซึ่งบุคลากรของเรา โดยฉพาะผู้ที่ทำเรื่องการผลิต การบริการเครื่องบิน นักบิน ลูกเรือต่างๆ รวมทั้งส่วนที่เกี่ยวข้อง หลายคนเป็นผู้เสียสละออกไปให้น้องๆ” นายชาญศิลป์กล่าว

@ยันกระบวนการกลั่นกรองฯพนักงานถูกต้อง-เป็นธรรม

นายชาญศิลป์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างกระบวนการกลั่นกรองพนักงานเข้าสู่โครงสร้างองค์ใหม่รอบที่ 3 หรือ Relaunch#3 ซึ่งจะประกาศผลการกลั่นกรองฯในวันที่ 11 พ.ค. และเริ่มทำงานวันที่ 15 พ.ค.2564 ขณะที่มีพนักงานที่ผ่านการกลั่นกรองฯรอบที่ 1 และ 2 และลงตำแหน่งแล้วกว่า 1 หมื่นคน หรือคิดเป็น 95% ของพนักงานทั้งหมด ส่วนพนักงานที่เหลืออีก 4-5% ที่ไม่เข้ารับการกลั่นกรองฯจะเชิญมาหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไป

“ต้องขอบคุณพนักงานที่มา Relaunch บางคนลงตำแหน่งได้แล้ว แต่บางคนยังไม่ได้ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องหมดกำลังใจ เพราะทุกท่านมีความสามารถ และการกลั่นกรองฯที่ผ่านมา คนหมื่นกว่าคนบอกว่าถูกต้อง เป็นธรรม มีการคัดกรองอย่างดี เรามีอนุกรรมการฯ และเมื่อ DD (นายชาญศิลป์) ไม่รู้จักใครเลย ถามว่า DD จะไปแทรกแซงเหมือนที่หนังสือพิมพ์บางฉบับลง คงไม่ได้เลย เขาดำเนินการเอง และทุกคนที่ผ่านต้องเสนอบอร์ดอนุมัติ” นายชาญศิลป์ระบุ

นายชาญศิลป์ ย้ำว่า พนักงานทุกคนที่เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองฯนั้น ล้วนทำด้วยความสมัครใจทั้งสิ้น และไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างที่มีการเข้าใจผิดกัน เพราะบางคนกล่าวหาว่าทำให้เกิดการด้อยสิทธิ ซึ่งไม่เป็นความจริงขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่จะเป็นทางออกที่จะทำให้การบินไทยก้าวหน้า และเติบโตยั่งยืน โดยหลังจากนี้พนักงานที่ผ่านการกลั่นกรองฯต้องทำงานหนัก เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อการบินไทยกลับมาบินในช่วงไตรมาสที่ 3-4

@พนักงานห่วงสัญญาจ้างใหม่เปิดทาง ‘เลิกจ้าง’ ได้ง่าย

สำนักข่าวอิศรารายงานว่า หลังจากบริษัท การบินไทย เปิดให้พนักงานที่ผ่านการกลั่นกรองฯตรวจสอบร่างสัญญาจ้างใหม่ ตั้งแต่วันที่ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการลงนามสัญญาจ้างใหม่นั้น ปรากฎว่าเมื่อพนักงานได้เห็นร่างเนื้อหาสัญญาต่างวิพากวิจารณ์ว่า ร่างสัญญาจ้างใหม่กำหนดเงื่อนไขที่ทำให้พนักงานอาจถูกเลิกจ้างได้โดยง่าย เพราะกำหนดให้คู่สัญญาอาจบอกเลิกสัญญาได้ไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม เพียงแต่มีหนังสือแจ้งล่วงหน้าเท่านั้น

โดยร่างสัญญาข้อ 2.2 ระบุว่า “สัญญาจ้างฉบับนี้ไม่มีกำหนดเวลา ดังนั้น คู่สัญญาอาจเลิกสัญญาได้ตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญาจ้างฉบับนี้ และบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง"

ขณะที่ร่างสัญญาข้อ 8 เรื่อง การเลิกสัญญา กำหนดแนวทางการเลิกสัญญาเป็น 3 ข้อหลัก ได้แก่ ข้อ 8.1 กำหนดว่า “พนักงานและบริษัท สามารถบอกเลิกสัญญาฉบับนี้ได้ไม่ว่าในเวลาใด โดยการบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งงวดการจ่ายค่าจ้าง"

ข้อ 8.2 กำหนดว่า “โดยไม่คำนึงถึงวันที่การเลิกสัญญามีผลบังคับในข้อย่อยข้างต้น บริษัทอาจบอกเลิกสัญญาจ้างของพนักงานโดยทันที และจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าดังกล่าว

ข้อ 8.3 กำหนดว่า “บริษัทอาจเลิกสัญญาฉบับนี้ โดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่พนักงาน

(ก) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาต่อบริษัท

(ข) จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

(ค) ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง

(ง) ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของบริษัทอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งบริษัทได้มีการตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว แต่พนักงานยังคงกระทำการฝ่าฝืนดังกล่าวอีกภายในระยะเวลาหนึ่งปีนับจากวันที่มีการผ่าฝืน เว้นแต่ในกรณีร้ายแรง บริษัทไม่จำเป็นต้องตักเตือน

(จ) ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุอันสมควร

(ง) ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลถึงที่สุดให้จำคุก ในกรณีที่เหตุแห่งการจำคุกนั้น เนื่องมาจากการกระทำความผิดโดยประมาทหรือเป็นความผิดลหุโทษ ต้องเป็นกรณีที่เป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหาย” (อ่านข้อมูลประกอบ)

tg 08 05 21 1