‘บอร์ดนโยบายดิจิทัลวอลเลตฯ’ แจง 4 แนวทางป้องกันทุจริต ‘ดิจิทัลวอลเลตฯ’ เมินรับข้อเสนอ ‘ป.ป.ช.’ แจก ‘เงินหมื่น’ เฉพาะกลุ่มเปราะบาง-ยากจน ชี้วัตถุประสงค์โครงการฯมุ่ง ‘กระตุ้นเศรษฐกิจ’ พร้อมระบุหากมีประเด็น 'ข้อกฎหมาย' ไม่ชัดเจน จะหารือ ‘กฤษฎีกา’ ก่อน
.......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบการดำเนินการตาม มติ ครม. เมื่อวันที่ 20 ก.พ.2567 และเมื่อวันที่ 9 เม.ย.2567 เรื่อง ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ตามที่คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับทราบต่อไป
รายงานข่าวแจ้งว่า คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทฯ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ได้พิจารณาข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว และต่อมาคณะกรรมการนโยบายฯ และ ครม. ได้มีมติเห็นชอบกรอบหลักการโครงการฯ โดยมีกรอบหลักการโครงการฯ ที่ได้รับความเห็นชอบและเกี่ยวข้องกับประเด็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ใน 4 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 การศึกษา วิเคราะห์ การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เพื่อไม่ให้ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ เอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย นั้น
คณะกรรมการนโยบายฯ ได้เห็นชอบประเภทร้านค้าที่สามารถรับการใช้จ่ายจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านค้าสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น และมอบหมายกระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณากำหนดรายละเอียดของประเภทร้านค้าที่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ตลอดจนกำหนดการใช้จ่ายในโครงการฯ
โดยรอบที่ 1 จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก และตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป เป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขร้านค้า
ประเด็นที่ 2 ในการดำเนินโครงการฯ ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ เช่น มาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 เป็นต้น นั้น
คณะกรรมการนโยบายฯ ได้เห็นชอบแหล่งเงินการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ และการบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2567 โดยไม่ได้มีการตรากฎหมายเพื่อกู้เงินมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ทั้งนี้ หากมีประเด็นข้อกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน จะได้ดำเนินการหารือต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนการดำเนินการ เพื่อให้เกิดความถูกต้องรอบคอบ และชัดเจน ก่อนดำเนินการต่อไป
ประเด็นที่ 3 สำหรับการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการฯ นั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet แล้ว ซึ่งจะได้มีการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ประเด็นที่ 4 หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน เปราะบาง หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น นั้น
คณะกรรมการนโยบายฯ ได้เห็นชอบกลุ่มเป้าหมายประชาชนที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่สำคัญของโครงการฯ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยเป็นกลุ่มประชากรที่มีที่อยู่ในทะเบียนบ้าน สัญชาติไทย ณ เดือนที่ลงทะเบียน มีอายุเกิน 16 ปี ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และเป็นผู้มีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
ส่วนข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในหลายประเด็นมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการฯ เช่น การประเมินความเสี่ยง แนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง และการป้องกันการทุจริตในการดำเนินโครงการฯ การพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ รวมถึงการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับโครงการฯ เป็นต้น
คณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ที่มี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เป็นประธานอนุกรรมการฯ จะมีการประชุมเพื่อพิจารณากำหนดรายละเอียดโครงการฯ ให้ชัดเจนและครบถ้วน โดยจะนำความเห็นของหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. ที่เสนอมาประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ มีความโปร่งใส คุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
ทั้งนี้ เมื่อโครงการฯ มีรายละเอียดที่ชัดเจนและครบถ้วนแล้ว จะดำเนินการสรุปผลการดำเนินการเสนอให้คณะกรรมการนโยบายฯ เห็นชอบ ก่อนจะแจ้งผลให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ต่อไป
@ย้อน 8 ข้อเสนอ‘ป.ป.ช.’ป้องกันทุจริต‘ดิจิทัลวอลเลต’
ก่อนหน้านี้ ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล กรณีการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน 8 ข้อ ได้แก่
1.รัฐบาลควรศึกษา วิเคราะห์การดำเนินโครงการตามนโยบายฯ รวมทั้งชี้แจงความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมว่า ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ จะไม่ตกแก่พรรคการเมือง นักการเมือง หรือเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บุคคลรายใดรายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมากกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายที่อาจเข้าข่ายการทุจริตเชิงนโยบาย
รวมทั้งประชาชนที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้รับประโยชน์จากดำเนินโครงการของรัฐบาลอย่างแท้จริง เช่น เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบาง พร้อมกับต้องมีขั้นตอนและวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนเพื่อให้สามารถกระจายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
2.การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และพรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล ได้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 เกี่ยวกับโครงการดังกล่าวนั้น มีความแตกต่างกัน สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ควรดำเนินการตรวจสอบว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 หรือไม่ มาประกอบการพิจารณาด้วย มิฉะนั้น จะเป็นบรรทัดฐานสำหรับพรรคการเมืองสามารถหาเสียงไว้อย่างไร เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้
3.การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ควรคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจ าเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนผลกระทบ และภาระทางการเงิน การคลังในอนาคต ภายใต้หลักธรรมาภิบาล 4 ด้าน คือ ความโปร่งใส (Transparency) การถ่วงดุล (Checks and Balances) การรักษาความมั่นคงของระบบการคลัง (Fiscal Integrity) และความคล่องตัว (Flexibility)
รัฐบาลพึงต้องใช้ความระมัดระวัง พิจารณาระหว่างผลดี ผลเสียที่จะต้องกู้เงินจำนวน 500,000 ล้านบาท ในขณะที่ตัวทวีคูณทางการคลังมีเพียง 0.4 การกู้เงิน จึงเป็นการสร้างภาระหนี้แก่รัฐบาลและประชาชนในระยะยาว ซึ่งจะต้องตั้งงบประมาณในการชำระหนี้จำนวนนี้เป็นระยะเวลา 4-5 ปี กระทบต่อตัวเลขการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
4.การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาประเด็นความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างรอบคอบ ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (มาตรา 172) พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561 (มาตรา 53) พระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ.2491 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (มาตรา 4 มาตรา 5 และมาตรา 6) พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ.2501 ตลอดจนกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และระเบียบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย
5.คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการประเมินความเสี่ยงในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet อย่างรอบด้าน โดยกำหนดแนวทางหรือมาตรการในการบริหารความเสี่ยง และการป้องกันการทุจริต ตลอดจนมีกระบวนการในการตรวจสอบทั้งก่อน ระหว่าง และหลังจากการดำเนินโครงการ ซึ่งอาจพิจารณานำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อง การบูรณาการป้องกันการทุจริตของโครงการภาครัฐ (โดยการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 มาประยุกต์ใช้
เพื่อให้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet สามารถด าเนินการได้อย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติอย่างแท้จริง
6.ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มาใช้กับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet คณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาถึงความจำเป็นและความเหมาะสม ตลอดจนระยะเวลา และงบประมาณที่ต้องใช้ในการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และระยะเวลาในการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นการด าเนินโครงการแจกเงินเพียงครั้งเดียวโดยให้ใช้จ่ายภายใน 6 เดือน
7.จากข้อมูลภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ได้จากการศึกษา และตัวทวีคูณทางการคลัง รวมถึงตัวบ่งชี้ภาวะวิกฤตที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รวบรวมและประมวลข้อมูลจากงานศึกษาของธนาคารโลกและ IMF มีความเห็นตรงกันว่า ในช่วงเวลาที่ศึกษาอัตราความเจริญเติบโตของประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ เพียงแต่ชะลอตัวเท่านั้น
ดังนั้น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน รัฐบาลควรพิจารณาและให้ความสำคัญต่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เช่น การกระตุ้นการบริโภคภาคเอกชน การกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การเพิ่มทักษะให้แก่แรงงาน เป็นต้น
ในกรณีที่รัฐบาลต้องดำเนินนโยบายที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือประชาชนภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่เข้าขั้นวิกฤต ควรพิจารณากลุ่มประชาชนเป้าหมายที่เปราะบางที่สุด ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 อาทิ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน
8.หากรัฐบาลมีความจำเป็นต้องการช่วยเหลือประชาชน รัฐบาลควรช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีฐานะยากจน ที่เปราะบาง ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่านั้น โดยแจกจากแหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่เงินกู้ตามพระราชบัญญัติเงินกู้และจ่ายในรูปเงินบาทปกติในอัตราที่เหมาะสม เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของกลุ่มประชาชนที่ยากจน โดยการกระจายจ่ายเงินเป็นงวดๆ หลายงวดผ่านระบบแอปเป๋าตังที่มีประสิทธิภาพและมีฐานข้อมูลครบ สามารถทำได้รวดเร็ว
การดำเนินการกรณีนี้หากใช้แหล่งเงินงบประมาณปกติ มิใช่จากการกู้เงินตามพระราชบัญญัติเงินกู้ จะลดความเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ ขัดพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 และขัดพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ประการสำคัญไม่สร้างภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว
อ่านประกอบ :
มีอำนาจเต็มสอบใช้งบ ธ.ก.ส.! ป.ป.ช.ยันจับตาแจกเงินดิจิทัล เชื่อฝ่ายการเมืองไม่กล้าทำผิด
‘อดีต รมช.คลัง’ยื่นหนังสือถึง‘ผู้ว่าฯสตง.’ขอใช้อำนาจตามกม.ตรวจสอบ-ยับยั้ง‘ดิจิทัลวอลเลต’
ฉบับเต็ม! เปิดหนังสือ 4 หน่วยงาน ข้อห่วงใยแจก'หมื่นดิจิทัล'-‘ธปท.’หวั่นไทยถูกหั่นเครดิต
ครม.อนุมัติหลักการ‘ดิจิทัลวอลเลต’-สั่ง‘คลัง’หารือ‘กฤษฎีกา’ปมใช้เงิน‘ธ.ก.ส.’
เปิดรายละเอียดงบปี 68 เทงบกลางฯ 1.52 แสนล.เติม‘หมื่นดิจิทัล’-หั่น‘มหาดไทย’ 5.6 หมื่นล้าน
เปิดงบดุล'ธ.ก.ส.'ล่าสุด ก่อนรบ.จ่อกู้โปะ'ดิจิทัลวอลเลต'-พบค้างหนี้จำนำข้าว 2.26 แสนล้าน
‘ศิริกัญญา’ ห่วงดิจิทัลวอลเลตไม่มีรายละเอียดเพิ่ม ทำหนี้สาธารณะจะชนเพดาน 70%
'เศรษฐา' ประกาศแจกเงินหมื่น 50 ล้านคน ไตรมาส 4 ปี 67 เปิดแหล่งเงินไร้กู้
เช็ก'ฐานะการคลัง'ล่าสุด ก่อน'รบ.'เคาะแหล่งเงิน'หมื่นดิจิทัล'-'ธปท.-สศช.'เตือนลดขาดดุลงบฯ
เพิ่มรายจ่ายปีงบ 68 เป็น 3.75 ล้านล.! ครม.ไฟเขียว‘แผนการคลังระยะปานกลาง’ฉบับใหม่
‘จุลพันธ์’ยันไม่เกิน 10 เม.ย.ได้ข้อสรุป‘ดิจิทัลวอลเลต’-กางไทม์ไลน์แจก 1 หมื่นภายในปีนี้
เปิดผลศึกษาฯ‘ดิจิทัลวอลเลต’ฉบับ‘สตง.’ชี้ 3 ความเสี่ยงการคลัง เสนอใช้‘งบปกติ’แจก 1 หมื่น