'เศรษฐา' นำแถลงเงินหมื่นดิจิทัล ย้ำหมุดหมายแจกไตรมาส 4 ปี 67 ลงทะเบียนไตรมาส 3 แจก 50 ล้านคน วงเงิน 500,000 ล้านบาท ไร้เงินกู้ บริหารงบประมาณปี 67-68 เปิดหลักเกณฑ์-เงื่อนไข อายุ 16/ รายได้ต่อปีไม่เกิน 8.4 แสน /เงินฝากไม่เกิน 5 แสน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 10 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุม คณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลตว่า รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดในการฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย จนวันนี้รัฐบาลทำตามสัญญาประชาชนได้แล้ว และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ รวมถึงอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด โดยร้านค้าและประชาชนจะลงทะเบียนยืนยันตัวตนในไตรมาสที่ 3 และเงินจะถึงมือประชาชนในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 นี้
"โครงการนี้วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้มีเม็ดเงิน หมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพตลอดจนยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนที่ต้องการรับความช่วยเหลือเช่นกลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกรเป็นต้น เพื่อให้ประชาชนและชุมชนมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและพึ่งพาตนเองได้ รวมทั้งจะเป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล" นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โครงการนี้ให้สิทธิ์ประชาชน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเลต วงเงิน 500,000 ล้านบาท และกำหนดให้ใช้ในร้านค้าที่กำหนด อันเป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ทำให้ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6% โดยขึ้นอยู่กับรายละเอียดและเงื่อนไขของโครงการ
รัฐบาลจะดำเนินโครงการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 โดยกระบวนการต่างๆต้องเป็นไปกฑหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และต้องทำด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด
@แหล่งเงินมาจากการบริหารงบปี 67-68
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แหล่งเงินของโครงการทั้ง 500,000 ล้านบาท จะมาจากการบริหารจัดการผ่านกระบงนการงบประมาณทั้งหมด โดยบริหารจากงบประมาณปี 2567-2568 คู่กันไป แบ่ง 3 ส่วน ได้แก่
1. งบประมาณรายจ่ายปี 2568 วงเงิน 152,700 ล้านบาท โดยขยายกรอบวงเงินงบประมาณในปี 2568 แล้ว
2. การดำเนินการผ่านหน่วยงานของรัฐ วงเงิน 172,300 ล้านบาท คือการใช้มาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.)ดูแลกลุ่มเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคน ผ่านกลไกดังกล่าว
3. การบริหารจัดการเงินงบประมาณปี 2567 วงเงิน 175,000 ล้านบาท โดยมีเวลาที่รัฐบาลจะพิจารณาว่ารายการไหนปรับเปลี่ยนได้ หรือแม้แต่การดึงงบกลางมาใช้ หากมีวงเงินไม่พอ
ปลัดกระทรวงการคลังยืนยันว่า ไม่มีการใช้เงินสกุลอื่น หรือการใช้มาตรการอื่นแทนเงิน ยืนยันจะมีเงิน 500,000 ล้านบาททั้งก้อน
@เปิดเกณฑ์ผู้รับเงิน 50 ล้านคน
ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมให้ความเห็นชอบว่าสาเหตุที่ต้องทำ เพราะ เศรษฐกิจไทยปี 2567 จะขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพ อีกทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา และ เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากในระดับประเทศไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์ การฟื้นฟูของรายได้ประชาชนที่มีความเหลื่อมล้ำจากยุคหลังโควิด 19 ปัญหาหนี้ครัวเรือน และภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ซึ่งบั่นทอนด้านกำลังซื้อของประชาชน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า
ดังนั้น รัฐบาลจงมีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการ เพื่อเพิ่มเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ให้กระจายตัวไปสู่ท้องถิ่นและชุมชน โดยมีขอบเขตและเงื่อนไข ที่เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจในปัจจุบันควบคู่กับการระมัดระวังและการป้องกันความเสี่ยงทางด้านการคลังรวมถึงเป็นแนวทางในการลดผลกระทบดังกล่าวเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนโดยรวมตลอดจนการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด
โดยมีแนวทางการดำเนินโครงการและรายละเอียดเงื่อนไขดังนี้
กลุ่มเป้าหมาย ประชาชนจำนวน 50 ล้านคน หลัเกณฑ์คือ อายุเกิน 16 ปี, ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมิน 840,000 บาท/ปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารและสถาบันการเงินรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท
การใช้จ่ายแบ่ง 2 กลุ่ม กลุ่มแรก การใช้จ่ายระหว่างประชาชนและร้านค้า โดยใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ อละใช้กับร้านค้าขนาดเล็กจาสที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น และกลุ่มที่สอง การใช้จ่ายระหว่างร้านค้าและร้านค้า จะไม่มีการกำหนดเงื่อนไขในเรื่องเชิงพื้นที่และขนาดของร้านค้าที่จะมีการแลกเปลี่ยน โดยการใช้จ่ายในระดับนี้จะมีหลายรอบ โดยการใช้จ่ายรอบที่ 1 จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนและร้านค้าขนาดเล็ก
สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการได้ ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการและออนไลน์ รวมถึงสิ่งที่กระทรวงพาณิชย์จะกำหนดต่อไป
การใช้จ่าย จะใช้ระบบที่พัฒนาขึ้นเองโดย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิตอลร่วมกับกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีเป้าหมายเป็น Super App ของรัฐบาล โดยออกแบบให้ใช้จ่ายกับธนาคารอื่น
คุณสมบัติของร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการ จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี 3 ประเภท ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีนิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร คือต้องประกอบอาชีพค้าขาย
ส่วนการถอนเงินสด จะถอนทันทีไม่ได้หลังประชาชนใช้จ่าย จะถอนได้หลังมีการใช้จ่ายรอบที่ 2
ระยะเวลา ประชาชนร้านค้าเข้าร่วมโครงการได้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2567 และใช้จ่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567
@ตั้ง 2 อนุกรรมการ ชงครม.เห็นชอบ เม.ย.นี้
และเพื่อป้องกันการทุจริต คณะกรรมการตั้งอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อรไขโครงการ โดยมีรองผบ.ตร.เป็นประธาน มีผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนการกระทำผิดทางเทคโนโลยี เป็นกรรมการ
รวมถึงได้ตั้งคณะอนุกรรมการกำกับหารดำเนินโครงการนี้ โดยตนนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นประธาน เพื่อกำหนดเงื่อนไข รายละเอียดโครงการอละระบบให้สอดคล้องตามระเบียบ กฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประสานงานและประชาสัมพันธ์ด้วย
"ที่ประชุมเห็นชอบรายละเอียดทุกประเด็น และให้กระทรวงการคลัง นำมติที่ได้ความเห็นชอบเสนอครม.ภายในเดือนเม.ย.นี้" นายจุลพันธ์ระบุ
ผู้สื่อข่ามถามว่า มาตรการที่ออกมาปิดจากความตั้งใจตอนหาเสียงอย่างไร นายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นเรื่องของระยะเวลา แน่นอนรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน ตอนแรกจะออกต้นปีนี้ก็ดีเลย์ไปปลายปี ก็ฟังเสียงทุกเสียงที่แนะนำ ก็พยายามตั้งคณะกรรมการดูอย่างดีและละเอียด เพื่อให้โครงการโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ผลประโยชน์ตกกับประชาชน
เมื่อถามว่า การเปลี่ยนมาใช้เงินของ ธกส.โดยไม่กู้ จะตั้งงบใช้คืนอย่างไร นายลวรณกล่าวว่า เป็นไปตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ จากการตรวจสอบ ธกส.ทำได้ สภาคล่องก็มีพอ แต่ถึงเวลาจริงๆคงต้องรองบประมาณปี 2568 ออกมาก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เงินที่จะแจกเข้ารอบเดียวใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ตอบว่า เข้าครั้งเดียว ส่วนร้านค้าที่จะเบิกเงินได้ในครั้งที่ 2 คืออะไรนั้น ก็คือการที่ร้านค้าขนาดเล็กนำไปซื้อสินค้าจากร้านขนาดใหญ่อีกทอดหนึ่ง หลังจากประชาชนมาใช้จ่ายรอบแรก
@ผู้ว่าธปท.ไม่มา ไม่มีประเด็น
ส่วนการที่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าธปท.ไม่มาร่วมประชุม จะเป็นประเด็นอะไรหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า ไม่น่าเป็นประเด็นอะไร เพราะมีการส่งตัวแทนมา ไม่มีประเด็นอะไร
ด้านนายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า ก็รับทราบว่าผู้ว่าธปท.ติดภารกิจ ก็รับทราบ และเป็นไปตามกฎหมายมีการส่งตัวแทนมา เป็นไปอย่างชอบธรรม ถูกต้อง
เมื่อถามอีกว่า ที่บอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2-1.6% มีผลในปีไหน นายจุลพันธ์กล่าวว่า น่าจะปี 2568 เป็นหลัก ส่วนโครงการนี้จะช่วยให้ปี 2568 โตใกล้เป้าหมายของรัฐบาบหรือไม่ รมช.คลังตอบว่า แน่นอน เพราะนอกจากนโยบายนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีอีกหลายโครงการที่รัฐบาลจะออกมาสร้างกำลังซื้อ สร้างการจับจ่ายใช้สอยต่อไปอีก
@ไม่รวมร้านค้าขนาดใหญ่
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ร้านค้าขนาดเล็กได้รวมมินิมาร์ทอย่างเซเว่นอีเลฟเว่นและแม็คโครไว้หรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า จะมีการลงรายละเอียดอีกรอบ แต่แม็คโครและห้างสรรพสินค้าจะไม่รวมอยู่ในเงื่อนไขนี้
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า ร้านค้าที่ที่ไม่เข้าร่วมโครงการในรอบแรกจะประกอบไปด้วย ห้างสรรพสินค้าห้างค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ และซุปเปอร์มาร์เก็ต โดยร้านค้าที่จะอยู่ในกลุ่มเป้าหมายการใช้จ่ายรอบแรกคือ ร้านค้าปลีกทุกประเภทและร้านสะดวกซื้อแบบ stand alone และแบบที่ตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมัน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าตามมาตรา 28 พรบวินัยการเงินการคลัง กรอบเดิม 32% ตอนนี้ใช้ไป 31.79% คณะกรรมการวินัยการเงินการคลังได้ขยายกรอบขึ้นไปแล้วใช่หรือไม่ นายเผ่าภูมิบอกว่า จะไม่มีการขยายกรอบและจะไม่มีการขยายกรอบในส่วนของงบประมาณปี 2567 กรอบก็จะกว้างขึ้น และทั้งงบประมาณปี 2568 บังคับใช้กรอบที่มีก็จะกว้างขึ้นไปอีก ดังนั้น ตัวมาตรา 28 อาจจะปรับลงต่ำกว่า 30% ได้
เมื่อถามอีกว่า นายกรัฐมนตรีเคยบอกว่าจัดตั้งกองทุนเพิ่มขีดความสามารถวงเงิน 100,000 ล้านบาทตอนนี้ยังคงเดิมหรือไม่และจะเอาเงินจากไหนมาใส่ นายจุลพันธ์ระบุว่า รัฐบาลจะเติมเงินลงไปในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอยู่แล้ว เพราะกองทุนนี้เป็นหัวใจสำคัญในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการแล้วในปี 67 ส่วนหนึ่ง และจะเพิ่มเติมเข้าไปในกองทุน ในปีถัดๆไปอีก
นายเศรษฐากล่าวเสริมอีกว่า ยืนยันว่าไม่ได้บั่นทอนเรื่องของการลดขีดความสามารถทางการแข่งขัน เงินตรงนี้ยังมีอยู่