‘บีทีเอส’ ร่อนเอกสารข่าวโต้ ‘รฟม.’ หลังประกาศให้ BEM ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ‘ขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์)’ ยืนยันข้อเสนอขอรัฐอุดหนุนสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ 9 พันล้าน ทำได้จริง ย้ำการประมูลส่อไม่สุจริต-กีดกันการแข่งขัน
........................................
จากกรณีที่คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้พิจารณาผลการประเมินซองข้อเสนอซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน ผลปรากฏว่า บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการประเมินสูงสุด
ทั้งนี้ ในลำดับถัดไป การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะดำเนินการเชิญ BEM มาเจรจาต่อรอง ตามขั้นตอนที่ระบุในเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และ พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 ต่อไป นั้น (อ่านประกอบ : ‘บอร์ดคัดเลือกฯ’เคาะ BEM ชนะประมูลรถไฟฟ้า‘สายสีส้ม’-ผู้ว่าฯรฟม.ยกเลิกแถลงข่าวกระทันหัน)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ย. ฝ่ายสื่อสารองค์กร บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ BTSC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS เผยแพร่เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ โดยระบุว่า ตามที่ BTSC ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทนของบริษัทและพันธมิตรที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 และ รฟม. เมื่อช่วงปี 2563
โดยขอรับเงินสนับสนุนค่างานโยธา คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (NPV) เป็นจำนวนรวม 79,820.40 ล้านบาท และจ่ายเงินตอบแทนให้ รฟม. คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (NPV) เป็นจำนวนรวม 70,144.98 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ และพันธมิตรจึงขอเงินสนับสนุนจากภาครัฐ จำนวนรวมเพียง 9,676 ล้านบาท
ต่อมา รฟม. ได้ออกข่าวประชาสัมพันธ์ ฉบับที่ 59/2565 เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2565 โดยระบุว่า แม้ BTSC จะนำข้อมูลด้านการลงทุนและผลตอบแทนในการยื่นข้อเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เมื่อปี 2563 มาแสดง แต่ข้อมูลดังกล่าวไม่สามารถนำตัวเลขมาเปรียบเทียบกับผลการยื่นข้อเสนอในการคัดเลือกเอกชนปัจจุบันได้ เพราะไม่ทราบว่าข้อเสนอด้านคุณสมบัติ และข้อเสนอด้านเทคนิค จะผ่านเกณฑ์การพิจารณาหรือไม่
รวมทั้งมีความเป็นไปได้ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือเพียงใด จึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่าข้อเสนอของ BTSC จะเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐจริงตามที่ได้ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน และยังตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขดังกล่าวของ BTSC มีความแตกต่างจากผลการศึกษาที่ รฟม. นำเสนอขออนุมัติโครงการต่อคณะรัฐมนตรีไว้เป็นจำนวนมาก เพราะผลการศึกษาก็ได้ใช้สมมติฐานทางการเงินตาม MRT Assessment Standardization ที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นสมมติฐานที่น่าเชื่อถือ และใช้ในทุกโครงการของ รฟม. อีกทั้งยังยืนยันว่าการประมูลโครงการนี้มีลักษณะเปิดกว้างให้เอกชนเข้าร่วม
บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า เหตุที่ต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะเห็นว่าการประมูลนี้ไม่สุจริต ชี้ให้เห็นพฤติการณ์ต่างๆ ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไม่โปร่งใส และกีดกัน โดยบริษัทฯ ต้องการเห็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีการประมูลที่โปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. เคยจัดการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมาแล้วในปี 2563 ต่อมาเมื่อเอกชนได้ซื้อซองข้อเสนอแล้ว คณะกรรมการคัดเลือกฯ กลับแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือกเอกชน จนทำให้บริษัทฯ ต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเป็นคดีแรก และเมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการบังคับไม่ให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ ใช้เอกสารการคัดเลือกเอกชนที่แก้ไขดังกล่าว
แทนที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะปฏิบัติตามคำสั่งศาล กลับมีมติยกเลิกการประมูลในครั้งดังกล่าว และเปิดประมูลโครงการครั้งใหม่เมื่อกลางปี 2565 โดยปรับเปลี่ยนคุณสมบัติและเงื่อนไขของผู้มีสิทธิเข้ายื่นข้อเสนอให้แตกต่างไปจากเดิม จนทำให้บริษัทฯ และพันธมิตร ซึ่งเป็นเอกชนที่เคยมีคุณสมบัติและสามารถเข้าประมูลได้ในครั้งที่ผ่านมา กลับไม่สามารถเข้าประมูลในครั้งนี้ได้
บริษัทฯ เห็นว่า เป็นการกระทำที่มีเจตนากีดกันบริษัทฯ และพันธมิตรไม่ให้มีโอกาสเข้าแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมและยังอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคารายหนึ่งรายใด ซึ่งขัดต่อวัตถุประสงค์ของโครงการ และเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และคำพิพากษาศาลปกครอง บริษัทฯ จึงฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนประกาศเชิญชวนฯ และเอกสารการคัดเลือกเอกชนฉบับใหม่ คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองกลาง
ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะแล้ว จะเห็นได้อย่างชัดเจนจนปราศจากข้อสงสัยว่า ข้อเสนอของบริษัทฯ และพันธมิตรเป็นข้อเสนอที่ ทำให้ภาครัฐสามารถประหยัดเงินลงทุนและไม่เป็นภาระทางการคลังของประเทศเกินจำเป็น และ/หรือ ได้รับประโยชน์สูงสุด ในขณะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก และเป็นข้อเสนอที่ทำให้ ภาระค่าใช้จ่ายทางการเงินของภาครัฐในภาพรวมอยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยลดผลกระทบต่อการจัดสรรเงินงบประมาณสำหรับการลงทุนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต
และบริษัทฯ และพันธมิตร ขอยืนยันว่า “ตัวเลขตามข้อเสนอดังกล่าว เป็นข้อเสนอที่ทำได้จริง” เนื่องจากบริษัทฯ และพันธมิตรมีประสบการณ์ยาวนานและประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจการให้บริการเดินรถไฟฟ้ามาโดยตลอด และมั่นใจว่าผลประโยชน์ที่ภาครัฐได้รับจะสูงกว่าของเอกชนที่ยื่นข้อเสนอทั้ง 2 ราย จำนวนหลายหมื่นล้านบาท
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม แท้จริงแล้วไม่ได้มีการเปิดกว้างแบบที่ รฟม. กล่าวอ้าง เนื่องจากเอกชนที่ยื่นข้อเสนอจำนวน 2 รายนั้น มีเอกชน 1 รายที่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายไม่ให้เข้าร่วมและ/หรือได้รับคัดเลือกเป็นคู่สัญญาร่วมลงทุนในโครงการร่วมลงทุนได้ ในขณะที่เอกชนที่เหลืออยู่อีก 1 รายก็คือ เอกชนที่ รฟม. เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 2 นั่นเอง
แต่แม้กระนั้น คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ก็ยังเดินหน้าพิจารณาซองข้อเสนอด้านเทคนิคของเอกชนที่ขาดคุณสมบัติดังกล่าว และหลังจากที่ใช้เวลาพิจารณาเพียงประมาณ 1 สัปดาห์ (ซึ่งน่าจะเป็นการพิจารณาซองข้อเสนอด้านเทคนิคที่รวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์การประมูลโครงการร่วมลงทุนที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้) คณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ก็ยังให้เอกชนรายที่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายดังกล่าวผ่านการพิจารณาซองข้อเสนอด้านคุณสมบัติและด้านเทคนิคโดยไม่สนใจข้อทักท้วงใด ๆ อันเป็นการกระทำที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาพฤติกรรมที่ผ่านมาของคณะกรรมการคัดเลือกฯ และ รฟม. ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหลักเกณฑ์การคัดเลือก (ซึ่งไม่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว) การยกเลิกการประมูล การกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นประมูลครั้งใหม่ให้แตกต่างไปจากเดิม
การเปิดเผยตัวเลขข้อเสนอของบริษัทฯ จึงเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่าการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในครั้งนี้ ผู้เกี่ยวข้องมีเจตนาที่ไม่สุจริตอย่างชัดเจน เพราะหากไม่กำหนดเงื่อนไขที่เป็นการกีดกัน บริษัทฯ และพันธมิตรผู้ชนะการประมูลในครั้งนี้ จะสามารถประหยัดงบประมาณของรัฐบาลได้หลายหมื่นล้านบาท จึงเป็นคำถามว่า หาก รฟม.ประกาศให้ผู้ชนะการประมูลเป็นไปตามตัวเลขที่ปรากฎ วงเงินงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทที่รัฐบาลต้องสูญเสีย “ใครจะรับผิดชอบ”
ขณะที่ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ว่า เงินก้อนใหญ่ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชนกำลังจะล่องลอยไป 6.8 หมื่นล้านบาท จากการประมูลในครั้งนี้
สำหรับข้อความที่นายสามารถโพสต์เฟซบุ๊ก มีดังนี้
“6.8 หมื่นล้าน ที่ล่องลอยไป !!!
ช็อกแทบหมดสติ ! ไปตามๆ กัน เมื่อ BTSC แฉให้เห็นชัดๆ ว่าต้องการรับเงินสนับสนุนจาก รฟม. ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกแค่ 9.6 พันล้านเท่านั้น ต่ำกว่า BEM ผู้ชนะการประมูลถึง 6.8 หมื่นล้าน น่าเสียดายยิ่งนัก ! ที่เงินก้อนใหญ่ซึ่งเป็นภาษีของพวกเรากำลังจะล่องลอยไป แล้วเราจะปล่อยให้เงินจำนวนมหาศาลหายลับไปกับสายน้ำอย่างนั้นหรือ ? บ้านนี้เมืองนี้ เรายังตามหาความเป็นธรรมในการประมูลเจออีกหรือไม่ ?
1.การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มมีเกณฑ์เลือกผู้ชนะอย่างไร ?
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตกและตะวันออก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 แต่ในระหว่างการประมูล รฟม. ได้เปลี่ยนเกณฑ์ประมูล
ทำให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาว่า เกณฑ์ประมูลเดิมชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการแก้ไขเกณฑ์ประมูลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ รฟม. ไม่เห็นด้วย จึงเดินหน้าสู้ด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ยังไม่ทันที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งลงมา รฟม. ได้ชิงล้มการประมูลไปก่อน การประมูลที่ถูกล้มไปถือว่าเป็นการประมูลครั้งที่ 1
ต่อมา รฟม. ได้เปิดประมูลใหม่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลเหมือนกับครั้งที่ 1 ดังนี้
(1) ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 1 (ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ) ซึ่ง รฟม. ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่ประกอบด้วยผู้เดินรถไฟฟ้าและผู้รับเหมา โดยได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้เดินรถไฟฟ้าให้ผ่านเกณฑ์ง่ายขึ้นกว่าการประมูลครั้งที่ 1 แต่ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้น
(2) ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านเทคนิค) ซึ่ง รฟม. ได้เพิ่มคะแนนผ่านข้อเสนอด้านเทคนิคให้สูงขึ้นกว่าการประมูลครั้งที่ 1
(3) ผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 1 และซองที่ 2 จะต้องมาแข่งกันที่ข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ใครเสนอผลประโยชน์สุทธิ (เงินตอบแทนให้ รฟม. หักด้วยเงินที่ขอรับสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม.) คิดเป็นมูลค่าในปัจจุบันสูงที่สุด จะเป็นผู้ชนะการประมูล
จึงเห็นได้ชัดว่า รฟม. มีเกณฑ์การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลโดยจะต้องพิจารณาจากผลประโยชน์สุทธิที่ รฟม. ได้รับ ไม่มีปัจจัยอื่นมาเจือปน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ รฟม. ได้ใช้ในการประมูลโครงการอื่นที่ผ่านมา
2.ใครชนะการประมูล ?
รฟม. เปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ของเอกชน 2 ราย ซึ่งเป็นเอกชนที่ผมได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องว่าจะมีเพียงเอกชน 2 รายนี้เท่านั้นที่จะยื่นประมูล ส่วน BTSC ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวจะไม่สามารถยื่นประมูลได้
แต่ รฟม. ได้ชี้แจงว่าการประมูลครั้งที่ 2 รฟม. ได้เปิดกว้างให้เอกชนจำนวนมากรายสามารถเข้าร่วมประมูลได้ ในกรณีที่ยื่นข้อเสนอเป็นกลุ่มนิติบุคคล จะมีผู้นำกลุ่มนิติบุคคลไทยอย่างน้อย 4-5 ราย และต่างชาติอีกจำนวนมาก แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ? มีผู้ยื่นข้อเสนอแค่ 2 รายเท่านั้น ! อีกทั้ง 1 ใน 2 รายที่ยื่นข้อเสนอยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติที่ไม่น่าจะผ่านการพิจารณาข้อเสนอด้านคุณสมบัติ แต่ รฟม. ก็ให้ผ่านมาแล้ว
ผลการเปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) มีดังนี้
(1) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 78,287.95 ล้านบาท นั่นหมายความว่า BEM เสนอผลตอบแทนให้ รฟม. น้อยกว่าเงินที่ขอรับสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. ทำให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM จำนวน 78,287.95 ล้านบาท
(2) ITD Group ซึ่งประกอบด้วย ITD และ Incheon Transit Corporation หรือ ITC ผู้เดินรถไฟฟ้าจากเกาหลี เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 102,635.66 ล้านบาท นั่นหมายความว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ ITD Group จำนวน 102,635.66 ล้านบาท
จากผลประโยชน์สุทธิดังกล่าวส่งผลให้ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจากเสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. มากกว่า ITD Group หรือ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM น้อยกว่าให้ ITD Group นั่นเอง
3.BTSC เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. เท่าไหร่ ?
ในการประมูลครั้งที่ 1 ซึ่งถูกล้มไป BTSC ได้เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 9,675.42 ล้านบาท นั่นหมายความว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BTSC จำนวน 9,675.42 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชนะการประมูลในการประมูลครั้งที่ 2 คือ BEM พบว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM มากกว่าให้แก่ BTSC ถึง 68,612.53 ล้านบาท ! (78,287.95-9,675.42)
อาจเป็นที่สงสัยว่า ข้อเสนอของ BTSC ในการประมูลครั้งที่ 1 สามารถนำมาเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ BEM ในการประมูลครั้งที่ 2 ได้หรือ ? ผมขอตอบว่าได้ เพราะราคากลางค่าก่อสร้างในการประมูลทั้ง 2 ครั้ง เท่ากัน คือ 96,012 ล้านบาท รวมทั้งระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 6 ปี และระยะเวลาเดินรถ 30 ปี เหมือนกัน
อาจเป็นที่สงสัยอีกว่า ทำไม BTSC จึงไม่เข้าร่วมประมูลครั้งที่ 2 ผมขอตอบว่า BTSC ไม่สามารถเข้าร่วมประมูลได้ เพราะไม่สามารถหาผู้รับเหมามาเป็นผู้ร่วมยื่นข้อเสนอได้ เนื่องจากมีการปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องประกอบด้วยผู้เดินรถไฟฟ้าและผู้รับเหมา
ผมได้ตั้งข้อสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า ในการประมูลครั้งที่ 2 นั้น รฟม. ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้เดินรถไฟฟ้าให้ผ่านเกณฑ์ง่ายขึ้น แต่ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้น ทำไม รฟม. จึงทำเช่นนั้น ?
4.ทำไม BTSC จึงกล้าขอรับเงินสนับสนุนแค่ 9.6 พันล้าน เท่านั้น ?
เมื่อดูไส้ในข้อเสนอของ BTSC พบว่า BTSC เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม. 70,144.98 ล้านบาท และขอรับเงินสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. 79,820.40 ล้านบาท หรือเสนอผลประโยชน์สุทธิให้แก่ รฟม. ติดลบ 9,675.42 ล้านบาท (70,144.98-79,820.40) นั่นหมายความว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BTSC จำนวน 9,675.42 ล้านบาท
ตัวเลขที่เสนอโดย BTSC ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตัวเลขเงินที่ขอรับการสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. จำนวน 79,820.40 ล้านบาท ที่น่าสนใจก็เพราะว่าราคากลางค่าก่อสร้างของ รฟม. สูงกว่านี้มาก นั่นคือ 96,012 ล้านบาท สูงกว่าที่ BTSC ขอรับการสนับสนุนถึง 16,191.60 ล้านบาท ! (96,012-79,820.40)
ถามว่า เป็นไปได้หรือที่ BTSC จะคิดราคากลางผิด ? ถ้าเป็นไปไม่ได้ แล้วทำไมราคากลางของ รฟม. จึงโป่งถึงขนาดนี้ ? รฟม. คิดผิดหรือ ?
5.สรุป
จากการติดตามการประมูลมาหลายโครงการ ผมเห็นว่ากรณีการประมูลที่ตรงไปตรงมา หากมีข้อสงสัยเกิดขึ้นผู้เกี่ยวข้องกับการประมูลจะชี้แจงกี่ครั้งก็ชี้แจงได้เหมือนเดิม แต่กรณีการประมูลที่ไม่ชอบมาพากล ผู้เกี่ยวข้องกับการประมูลจะชี้แจงเท่าไหร่ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะมันย้อนแย้ง !
ผมยังมีความหวังว่า บ้านนี้เมืองนี้ เรายังตามหาความเป็นธรรมในการประมูลเจอ แม้จะริบหรี่ก็ตาม ! ภาวนาขออย่าให้เป็นยุคการประมูลแบบ “รู้ตัวผู้ชนะก่อนเปิดซอง” เลย เจ้าประคู้ณ !
วังเวงจริงๆ ครับ”
อ่านประกอบ :
‘บอร์ดคัดเลือกฯ’เคาะ BEM ชนะประมูลรถไฟฟ้า‘สายสีส้ม’-ผู้ว่าฯรฟม.ยกเลิกแถลงข่าวกระทันหัน
BEM พร้อมก่อสร้าง ‘สายสีส้ม’ เมิน BTS โชว์ราคาต่ำกว่า
‘รฟม.’ประกาศ‘BEM-ITD’ผ่าน‘ซองเทคนิค’ประมูลสายสีส้มฯ-‘สามารถ’ท้วงบางเจ้าขาดคุณสมบัติ
‘ศาลปค.’สั่งยกคำร้อง‘BTSC’ขอระงับประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม-‘รฟม.’เดินหน้าเปิดซองข้อเสนอ
โต้นัว!‘สามารถ’ยันวิจารณ์รถไฟฟ้า‘สายสีส้ม’สุจริต หลัง‘รฟม.’กล่าวหาใช้ดุลพินิจบิดเบือน
แนะ‘รฟม.’ชะลอเปิดซองรถไฟฟ้า‘สายสีส้ม’ รอ‘ศาลปค.สูงสุด’ชี้ล้มประมูล‘รอบแรก’ชอบหรือไม่
มาแค่ 2 เจ้า! ‘BEM-อิตาเลียนไทย’ ยื่นซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม-กลุ่ม‘บีทีเอส’ไม่ร่วม
'รฟม.'โต้'บีทีเอส'ยันกติกาประมูลรถไฟฟ้า'สายสีส้ม'เปิดกว้าง-ไม่เอื้อประโยชน์เอกชนรายใด
พลิกคำพิพากษาศาลปค.! ยก 3 ปม ก่อนชี้‘รฟม.’ใช้ดุลพินิจไม่ชอบ คดีล้มประมูลสายสีส้ม ปี 64
ใช้ดุลพินิจมิชอบ!‘ศาล ปค.’สั่งเพิกถอนประกาศฯล้มประมูล‘สายสีส้ม’-‘รฟม.’จ่อยื่นอุทธรณ์
‘ศาลปค.กลาง’ นัดชี้ขาดคดี ‘บีทีเอส’ ฟ้อง ‘รฟม.’ ล้มประมูลรถไฟฟ้า ‘สายสีส้ม’ โดยมิชอบ
เบื้องลึก!ศึกประมูล‘สายสีส้ม’ เขียนกติกาล็อก‘รับเหมา’? ‘ศักดิ์สยาม’ปัดกีดกันเอกชนบางเจ้า