
‘ราชกิจจานุเบกษา’ แพร่ พ.ร.ฎ.กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง ‘รถยนต์-รถจักรยานยนต์’ อยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฯ ให้อำนาจ ‘ธปท.’ กำหนด ‘ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ’ ออกหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจฯ
.........................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ เผยแพร่พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ศ.2568 และให้ พ.ร.ฎ.ดังกล่าว มีบังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สำหรับสาระสำคัญของ พ.ร.ฎ.กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ศ.2568 เช่น
มาตรา 7 ให้ผู้ประกอบธุรกิจประกาศข้อมูลในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและค่าบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น รวมทั้งข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจนั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานของผู้ประกอบธุรกิจ และในสื่อใดๆ เพื่อให้ประชาชนและลูกค้าซึ่งมาติดต่อหรือใช้บริการทราบข้อมูลดังกล่าว และให้รายงานข้อมูลดังกล่าวต่อธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
มาตรา 8 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) การทำนิติกรรมหรือสัญญากับลูกค้าในการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีทุนทรัพย์หรือมูลค่าตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ไม่ว่าจะเป็นในเนื้อหาสาระ วิธีการคำนวณผลประโยชน์หรือแบบสัญญา
(2) ข้อที่ต้องปฏิบัติหากนิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นนั้นให้สิทธิแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่จะเปลี่ยนแปลงสัญญาได้ฝ่ายเดียว
(3) การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผู้ประกอบธุรกิจ
(4) การดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง
มาตรา 9 ให้ผู้ประกอบธุรกิจแจ้งและแสดงวิธีการและรายละเอียดในการคำนวณอัตราค่าบริการรายปีให้ประชาชนและลูกค้าทราบ
อัตราค่าบริการรายปีตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บจากลูกค้าต่อปีในการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่ง ซึ่งรวมถึงดอกเบี้ยและค่าบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น
ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดวิธีการคำนวณอัตราค่าบริการรายปีให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติได้
มาตรา 10 ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติในเรื่อง ดังต่อไปนี้
(1) ดอกเบี้ยที่อาจเรียกได้
(2) ค่าบริการที่อาจเรียกได้
(3) เงินมัดจำที่อาจเรียกได้
(4) หลักประกันเป็นทรัพย์สินที่อาจเรียกได้
(5) ผลประโยชน์ที่อาจเรียกได้จากการทำธุรกรรม
(6) เบี้ยปรับที่อาจเรียกได้
บรรดาเงิน ทรัพย์สิน หรือสิ่งอื่นที่อาจคิดคำนวณได้เป็นเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจ พนักงานหรือลูกจ้างของผู้ประกอบธุรกิจนั้นได้รับเมืองจาการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจ ให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยหรือค่าบริการ แล้วแต่กรณี เว้นแต่ค่าบริการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดตาม (2) มิให้ถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกได้ตาม (1)
การกำหนดตามวรรคหนึ่ง อาจกำหนดตามประเภทของธุรกิจ ลูกค้า สัญญา หรือกิจการที่ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียก หรือกำหนดวิธีการคำนวณและระยะเวลาการจ่ายหรือเรียกเก็บก็ได้
มาตรา 11 เพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการให้เช่าซื้อหรือการให้เช่าแบบลีสซิ่งให้ผู้ประกอบธุรกิจถือปฏิบัติเพิ่มเติมได้
ประกาศตามวรรคหนึ่ง อาจกำหนดตามประเภทของธุรกิจ ลูกค้า หรือสัญญาก็ได้
มาตรา 12 ผู้ประกอบธุรกิจจะใช้บริการจากบุคคลภายนอกในการประกอบธุรกิจก็ได้ ในการนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การใช้บริการจากบุคคลภายนอกด้วยก็ได้
มาตรา 13 ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำบัญชีเพื่อแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริง โดยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดโดยสถาบันวิชาชีพที่หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นชอบ
มาตรา 14 ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจส่งงบการเงิน รายงาน หรือข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจไม่ว่าในรูปสื่อใดๆ หรือแสดงเอกสารใดตามระยะเวลาหรือเป็นครั้งคราวตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด รวมทั้งให้ชี้แจงเพื่ออธิบายหรือขยายความรายงานหรือข้อมูลหรือเอกสารนั้นด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้กรรมการ หุ้นส่วน พนักงาน ลูกจ้าง ผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ประกอบธุรกิจ หรือผู้สอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจ มาให้ถ้อยคำแสดงข้อมูล บัญชี เอกสารและหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการของผู้ประกอบธุรกิจภายในระยะเวลาที่กำหนดได้
ผู้ประกอบธุรกิจต้องทำงบการเงิน รายงาน ข้อมูล เอกสาร หรือคำชี้แจงที่ส่งหรือแสดงตามวรรคหนึ่งให้ครบถ้วนและถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง
มาตรา 15 เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดเก็บข้อมูล บัญชี เอกสาร ดวงตรา หรือหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับกิจการ สินทรัพย์และหนี้สิน ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด
“เหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นธุรกิจทางการเงินประเภทหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อที่เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับประชาชนและมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและต่อประชาชนผู้ใช้บริการในวงกว้าง ประกอบกับปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าวเป็นการเฉพาะ
สมควรกำหนดให้การประกอบธุรกิจดังกล่าวอยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 เพื่อให้การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างเหมาะสม จึงจำเป็นต้องตราพระระราชกฤษฎีกานี้” หมายเหตุท้าย พ.ร.ฎ.กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 พ.ศ.2568 ระบุ
ด้าน น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับประชาชน โดยปริมาณธุรกรรมมีค่อนข้างสูง ล่าสุด ณ สิ้นปี 2567 ยอดธุรกรรมคงค้างอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ซึ่งมีนัยต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและกระทบประชาชนในวงกว้าง และประมาณ 1 ใน 3 ของยอดธุรกรรมคงค้างดังกล่าว เป็นการให้บริการโดยผู้ประกอบธุรกิจที่ยังไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลเฉพาะ
พ.ร.ฎ.กำหนดให้การประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 พ.ศ. 2568 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 และจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค.2568 เป็นต้นไป
โดยกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้ ธปท. เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นทางค้าปกติที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามกฎหมายอื่น เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่เป็นธรรมและรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน
ในระหว่างนี้ ขอให้ผู้ประกอบธุรกิจเตรียมความพร้อมในการรายงานตัวกับ ธปท. เพื่อรองรับการกำกับดูแลและถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ ธปท. ในระยะข้างหน้า โดย ธปท. จะแจ้งวันและระยะเวลาในการรายงานตัวให้ทราบต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ ธปท. ที่ https://www.bot.or.th/th/our-roles/financial-institutions/hire-purchase-leasing.html หรือสอบถามได้ทาง e-mail : [email protected] หรือ โทร. 1213
อ่านประกอบ :
ธปท.เผยร่าง พ.ร.ฏ.กำกับดูแล‘ธุรกิจเช่าซื้อรถฯ’ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ‘กฤษฎีกา’
ครม.ไฟเขียวร่าง พ.ร.ฎ.กำกับธุรกิจเช่าซื้อรถฯ ให้อำนาจ'ธปท.'กำหนด'ดอกเบี้ย-เบี้ยปรับ'
ไม่ใช่ลดต้นลดดอก! 'สคบ.'แจงยิบประกาศคุมสัญญาเช่าซื้อ'รถ-มอเตอร์ไซค์'ลดเอาเปรียบผู้บริโภค
สภาองค์กรของผู้บริโภค จี้ สคบ.แจงข้อเท็จจริง‘ประกาศเช่าซื้อรถ’ สร้างความชัดเจน
แพร่ประกาศคุมเช่าซื้อ‘รถยนต์-มอ’ไซค์’ ให้คิดดบ.10-23%-ห้ามเขียนสัญญาเอาเปรียบผู้บริโภค
รัฐย้ำคุม‘ดอกเบี้ย’สินเชื่อเช่าซื้อ‘มอเตอร์ไซค์’-‘คลัง-ธปท.’เปิดงานไกล่เกลี้ยหนี้ออนไลน์
‘ธปท.’เล็งประกาศแนวนโยบายแก้ปัญหา‘หนี้ครัวเรือน’ หวังกำกับปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีคุณภาพ
‘ธปท.’เปิดรับฟังความเห็นร่าง พ.ร.ฎ.กำกับดูแลธุรกิจ‘เช่าซื้อ-ลีสซิ่ง’รถยนต์-มอเตอร์ไซค์
แกะปมเช่าซื้อ'มอเตอร์ไซค์' คิดดอกเบี้ย 50-70% ต่อปี 'สคบ.'ขยับคุมสัญญา-ชง SFI ปล่อยกู้
ชำแหละปัญหา ‘หนี้เช่าซื้อ’ กรณี ‘ลุงทองเสาว์’ ถึงเวลารัฐออกกฎคุ้มครองลูกหนี้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา