'เศรษฐพุฒิ'ส่อซ้ำรอย'กิตติรัตน์'? 'กฤษฎีกา'ชี้‘ที่ปรึกษาของนายกฯ'เป็น'ตำแหน่งการเมือง'

bot g 26 12 24 pic

วิจารณ์แซด! ปมคุณสมบัติ 'เศรษฐพุฒิ' นั่ง ‘ผู้ว่าฯธปท’ ส่อซ้ำรอย ‘กิตติรัตน์’ หลังที่ประชุม 'คณะกฤษฎีกา' 3 คณะ ชี้ตำแหน่ง ‘ที่ปรึกษาของนายกฯ' เป็น 'ตำแหน่งการเมือง'

....................................

จากกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีต รมว.คลัง ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากคณะกรรมการคัดเลือกประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ธปท. นั้น ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ธปท.

เนื่องจากนายกิตติรัตน์เคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นตำแหน่งทางการเมือง และนายกิตติรัตน์พ้นจากตำแหน่งยังไม่ถึง 1 ปี จึงมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการในคณะกรรมการ ธปท. ตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น (อ่านประกอบ : ฉบับเต็ม! บันทึกกฤษฎีกา ชี้ ‘กิตติรัตน์’ ขาดคุณสมบัติ หลุด 'ประธานบอร์ด ธปท.')

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ขณะนี้ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่เพียงแต่จะทำให้นายกิตติรัตน์ ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ธปท. เท่านั้น แต่ยังอาจทำให้นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน ขาดคุณสมบัติในดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. ตามไปได้ด้วย

ทั้งนี้ เนื่องจากในปี 2562 นายเศรษฐพุฒิ เคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามคำสั่งสำนักนายกฯที่ 55/2562 เรื่อง การแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี สั่ง ณ วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2562 ก่อนที่ในเวลาต่อมานายเศรษฐพุฒิได้ลาออกจากตำแหน่งปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพื่อไปสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้ว่าฯ ธปท. ซึ่งเปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.-10 ก.ค.2563

โดยนายเศรษฐพุฒิยื่นใบสมัครฯในวันที่ 10 ก.ค.2563 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการเปิดรับสมัครฯ และต่อมาคณะกรรมการสรรหาฯมีมติให้เสนอชื่อบุคคลที่ได้คะแนนสูงสุดและที่คะแนนใกล้เคียงกัน 2 รายชื่อ คือ นายเศรษฐพุฒิ และนายเมธี สุภาพงษ์ ให้กระทรวงการคลัง เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. ซึ่งต่อมาวันที่ 29 ก.ค.2563 ครม.มีมติแต่งตั้งนายเศรษฐพุฒิ เป็นผู้ว่าฯ ธปท. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2563

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า กรณีการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ ธปท. ของนายเศรษฐพุฒิ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นั้น หากมีการยื่นเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่านายเศรษฐพุฒิ อาจต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าฯธปท. เช่นเดียวกับกรณีของนายกิตติรัตน์ เนื่องจาก พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 28/17 บัญญัติว่า

“ผู้ว่าการต้องมีสัญชาติไทยและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้

(1) มีอายุเกินหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเสนอชื่อเพื่อทรงแต่งตั้ง

(2) เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

(3) เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคล้มละลายทุจริต

(4) เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ

(5) เป็นพนักงานหรือลูกจ้าง

(6) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

(7) เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมือง เว้นแต่จะได้พ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี

(8) เป็นกรรมการหรือดำรงตำแหน่งใดในสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น เว้นแต่เป็นการดำรงตำแหน่งเนื่องจากมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ

(9) เป็นกรรมการหรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียอย่างมีนัยสำคัญในนิติบุคคลซึ่งมีประโยชน์ใต้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของ ธปท.”

อ่านประกอบ :

เบื้องหลัง'กฤษฎีกา'เสียงข้างมาก ชี้'กิตติรัตน์'ขาดคุณสมบัติ'ประธานบอร์ดธปท.'