"...ถ้าวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ การเมืองสามารถส่งคนเข้ามายึดครองตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้ จะเป็นการจุดชนวนที่จะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ นึกไม่ออกเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อประเทศไทยไม่เหลือหน่วยงานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สามารถยึดมั่นในหลักการ คัดค้านนโยบายผิดๆ ของฝ่ายการเมืองได้..."
แม้ว่าข่าวการสรรหาประธาน คณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยหรือแบงก์ชาติเงียบหายไปในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ฝั่งการเมืองยังเคลื่อนไหวต่อเนื่องตามแผนที่จะเข้ายึดแบงก์ชาติ หลายสายข่าวรายงานตรงกันว่าในวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ คณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติจะถูกกดดันให้เลือก กิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ หลังจากได้เคลียร์คุณสมบัติเรียบร้อย ไม่ขัดกับกฎหมายแล้ว
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยวางแผนยึดครองหน่วยงานทางเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศ
เมื่อตอนเข้ามาเป็นรัฐบาลก็รีบตั้งประธาน คณะกรรมการ สภาพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จากทีมเศรษฐกิจของพรรค ซึ่งตอนนี้เป็นที่ปรึกษา น.ส. แพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ด้วย
ข้าราชการผู้ใหญ่ในกระทรวงการคลังก็ถูกข่มจนอ่อนแอ ไม่กล้าขัดนโยบายประชานิยมหาเสียงที่ทำไม่ได้จริงแบบดิจิทัลวอลเล็ต จนต้องแปลงรูปมาเป็นเอาเงินภาษีกว่าแสนล้านโปรยแจกประชาชน
ยังไม่รวมการแต่งตั้งอธิบดีกรมเก็บภาษีใหญ่ล่าสุดที่เอาลูกผู้ใหญ่ในพรรคข้ามหัวคนมาเป็น ยังกับจะให้มาคอยดูแลจัดการงานใหญ่ให้ตระกูล
เหลือเพียงแบงก์ชาติเท่านั้นที่ยังเข้าไปควบคุมกับบั่นทอนให้อ่อนแอไม่ได้ จึงเดินหน้าวางแผนส่งประธานบอร์ดและกรรมการชุดใหม่ที่เป็นสมุนการเมือง เข้าไปครอบงำ
เป้าหมายคงไม่ใช่เพียงแค่ให้แบงก์ชาติหยุดคัดค้านนโยบายเอาเงินภาษีมาแจกหาเสียงแบบประชานิยม หรือเร่งลดดอกเบี้ยเร็วๆ เท่านั้น แต่แบงก์ชาติยังดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศ (ที่หลวงตามหาบัวเรียกว่าคลังหลวง) สูงถึง 270,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 9 ล้านล้านบาท‼️
นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังกำกับดูแลธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารกรุงไทยด้วย
จำได้ไหมว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยพยายามจะเอาเงิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.)มาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และรัฐบาลพรรคเพื่อไทยสมัยก่อนก็ใช้ ธกส. สนับสนุนโครงการรับจำนำข้าวทุกเม็ดจนเกิดความเสียหายหลายแสนล้านบาท (ปัจจุบันก็ยังใช้หนี้ไม่หมด) และกดดันให้แบงก์กรุงไทยและ ธนาคารเพื่อการส่งออก( Exim Bank )ให้สินเชื่อเอื้อประโยชน์การเมือง จนมีเรื่องราวอยู่หลายคดี‼️
การที่กระทรวงการคลังเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ แสดงถึงยุทธศาสตร์ยึดครองและบั่นทอนแบงก์ชาติชัดเจนมาก
สมัยที่นายกิตติรัตน์ เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (จนมาเป็นประธานที่ปรึกษานายกเศรษฐา ) ออกมาอัดผู้ว่าแบงก์ชาติทุกวัน พูดแต่ว่าอยากปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ อยากเอาทุนสำรองระหว่างประเทศออกไปบริหาร ยังไม่รวมการโอนหนี้สาธารณะจากกระทรวงการคลังมาให้แบงก์ชาติรับภาระด้วย
นายกิตติรัตน์ อาจจะไม่ขาดคุณสมบัติที่เขียนไว้ในกฎหมาย (เพราะลาออกจากรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมาแล้วเกินหนึ่งปี) แต่สังคมรู้กันดีว่านายกิตติรัตน์เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังผลักดันสารพัดนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนรัฐบาลปัจจุบัน เคยเป็นทั้งประธานที่ปรึกษาของนายกเศรษฐา และรองประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจของพรรค
นอกจากนี้ กิตติรัตน์ยังเป็นเจ้าของวลี "โกหกสีขาวไม่ใช่การโกหก"
กลัวจริงๆ ว่าถ้าเข้ามามีอำนาจในแบงก์ชาติ อาจจะมีสารพัดโกหกสีขาวเอาทุนสำรองระหว่างประเทศไปใช้ หรือข้อมูลเศรษฐกิจไทยถูกบิดเบือน
ไม่อยากคิดด้วยว่าปีหน้า ผู้ว่าแบงก์ชาติคนปัจจุบันครบเทอม จะมีคนใหม่เข้ามา ถ้าการเมืองส่งผู้ว่าใหม่มาได้อีก และประธานบอร์ดครอบงำได้ ก็คงจะเกิดหายนะต่อเศรษฐกิจไทยหรือไม่
อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ ธาริษา วัฒนเกส ถึงกับต้องออกโรงเตือนจิตสำนึกของคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ "คาดหวังคณะกรรมการสรรหาทำหน้าที่สำคัญนี้ด้วยหลักการ คงไม่มีท่านใดอยากจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบในการทำให้เศรษฐกิจไทยพลิกผันไปสู่ก้าวแรกของความหายนะ"
ถ้าวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ การเมืองสามารถส่งคนเข้ามายึดครองตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้ จะเป็นการจุดชนวนที่จะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ นึกไม่ออกเลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เมื่อประเทศไทยไม่เหลือหน่วยงานเศรษฐกิจหลักของประเทศที่สามารถยึดมั่นในหลักการ คัดค้านนโยบายผิดๆ ของฝ่ายการเมืองได้
เราจะปล่อยให้ชนวนวิกฤตเศรษฐกิจถูกจุดได้โดยง่ายจริงๆ หรือ
อ่านประกอบ : ประธานบอร์ดแบงก์ชาติกับระบบเศรษฐกิจการเงินไทย
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://www.freepik.com , https://db.sac.or.th