ผอ.อิศรา ไขปริศนาผลสอบฉบับเต็มคดี 'บอส' เทปลับเสียงห้องเปลี่ยนความเร็วมี 2 วัน

picprdstsgtgtg9 9 63

"...ผมเสนอว่าเมื่อตอนที่แบ่งสำนวนเป็นส่วนๆเสร็จ ใครรับผิดชอบส่วนไหนอย่างไร อยากจะให้เชิญจะกี่หน่วยงานก็ตามแต่ เชิญมาเลย แล้วทุกหน่วยงานจะต้องให้สัญญากับประชาชนว่าคุณจะต้องสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็ว แล้วก็ต้องรายงาน ผลการสอบสวนให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ไม่ใช่ส่งกันเงียบๆ แล้วถือโอกาสที่นายกรัฐมนตรีพูดตรงนี้แถลงข้อเท็จจริงเลยว่า ใครรับผิดชอบส่วนไหน..."

..................................

หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ผ่านมา นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ร่วมตอบคำถามและแสดงความเห็นผ่านรายการตอบโจทย์ ตอน ไขปริศนา ‘ผลสอบฉบับเต็ม’ คดี ‘บอส อยู่วิทยา’ ซึ่งออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับคดีดังกล่าว

@เสนอทุกหน่วยงานสัญญากับประชาชนจะทำคดีถึงที่สุด

นาทีที่ 08.30 น. สิ่งที่ท่านนายกรัฐมนตรีพูดวันนี้ (8 ก.ย.) คือ ให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เป็นคนแจกลูก สิ่งที่เราอยากจะเห็น หรืออยากจะนำเสนอก็คือว่า ไม่ควรจะแจกลูกกันเงียบๆ มันมีคน 8 กลุ่มที่คณะกรรมการชุด นายวิชา มหาคุณ เสนอให้มีการสอบเพิ่มเติม เช่น ข้าราชการตำรวจ อัยการ บุคคลภายนอก รวมถึงสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตรงนี้ผมคิดว่าไม่ควรที่จะส่งเรื่องกันเงียบๆ

นาทีที่ 09.08 น. เมื่อ ป.ป.ท.แจกลูกแล้ว ผมเสนอว่าเมื่อตอนที่แบ่งสำนวนเป็นส่วนๆเสร็จ ใครรับผิดชอบส่วนไหนอย่างไร อยากจะให้เชิญจะกี่หน่วยงานก็ตามแต่ เชิญมาเลย แล้วทุกหน่วยงานจะต้องให้สัญญากับประชาชนว่าคุณจะต้องสอบสวนเรื่องนี้โดยเร็ว แล้วก็ต้องรายงาน ผลการสอบสวนให้ประชาชนทราบเป็นระยะ ไม่ใช่ส่งกันเงียบๆ แล้วถือโอกาสที่นายกรัฐมนตรีพูดตรงนี้แถลงข้อเท็จจริงเลยว่า ใครรับผิดชอบส่วนไหน

นาทีที่ 10.15 น. ต้องเข้าใจว่าบางเรื่องเรายังไม่รู้เลยว่าผิดหรือไม่ เรื่องอะไร องค์ประกอบความผิดคดีอาญาครบหรือไม่ หากผิดเป็นการสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อให้บุคคลที่ต้องรับผิดพ้นผิด ถือเป็นคดีอาญา แต่ต้องพูดให้ชัด ไม่ใช่ว่าส่งไปแล้ว ตอบไม่ได้ว่าผิดอะไร มาตราไหน ข้อไหน ตรงนี้ต้องแถลงให้ชัด จะให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นักกฎหมายมือหนึ่งมานั่งหัวโต๊ะแจกลูกให้ทุกหน่วยงานแถลงก็ได้ เพื่อเป็นสัญญากับประชาชนว่าเราจะไม่เบี้ยวนะ เราจะทำงานจริงจัง นี่คือสิ่งที่ผมอยากเสนอ

@เทปลับเสียงห้องเปลี่ยนความเร็วมี 2 วัน

นาทีที่ 14.10 น. ข้อมูลใหม่อันหนึ่ง จริงๆ แล้ว เทปบันทึกเสียงไม่ได้มีแค่ 1 วัน แต่มีเทปวันที่ 29 ก.พ.2559 ชุดที่มีการพูดถึงว่าอัยการทำงานที่ไหนอย่างไร แต่จะมีเทปบันทึกอีกวันคือวันที่ 1 มี.ค.2559 เท่าที่ทราบข้อมูล เพราะการประชุมวันนั้นมันไม่เสร็จ ส่วนข้อเท็จจริงต้องให้นายวิชายืนยัน โดยวันที่ 29 ก.พ.2559 มีการประชุมถึง 22.00 น. วันนั้นมีบุคคลซึ่งอ้างว่าไม่อยู่ในห้อง ไปต่างประเทศก็มาอยู่ด้วย และเวลา 22.00 น.ยังไม่จบ วันที่ 1 มี.ค. 2559 ก็มาประชุมต่อ และที่ให้กำหนดวันเป็นวันที่ 26 ก.พ.2559 ผมเข้าใจว่าเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 1 มี.ค. 2559

@ห่วงปิดข้อมูล-คดีไปไม่ถึงไหน

นาทีที่ 20.15 น. เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทั้งใหญ่ ทั้งเล็ก ทั้งบิ๊ก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนที่พ้นราชการไปแล้วเท่านั้น แต่คนที่กำลังจะพ้นราชการ เช่น การสั่งย้ายผู้บังคับการกองการต่างประเทศคือใครยังไม่รู้เลย ซึ่งใหญ่มาก และคนที่กำลังเกษียณและจะถูกแต่งตั้งเข้ามาอีกหลายคน กระทบอีกจำนวนมาก หากเราปล่อยคดีนี้เป็นเงื่อนงำ อาจจะมีการเจรจา เพื่อปิดคดีรอบที่สองก็ได้ ไม่ให้ไปถึงตัวบุคคลที่มีการอ้างถึง

@ อสส.-ตร.ต้องยืนยันกับประชาชนจะนำตัว ‘บอส’ กลับไทยให้ได้

นาทีที่ 21.58 น. อันที่สองที่เราพูดถึงกันน้อยมาก สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกลางของ พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาในการนำตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมา ต้องมายืนยันว่าไม่ใช่แค่ออกหมายจับนายวรยุทธ แล้วจบ ต้องยืนยันกับประชาชนว่าจะต้องใช้ความพยายามกับประชาชนจนถึงที่สุด ในระยะเวลาคดีตามอายุความ 7 ปี ต้องนำตัวกลับมาจริงจัง ที่ผ่านมาเมื่อเราดูกฎหมายนี้ตั้งแต่ปี 2535 น้อยคนมากแทบจะนับได้ เช่น นายราเกซ สักเสนา ที่แทบจะหมดอายุความเกือบ 10 ปี คนที่สองที่นึกได้คือเณรคำ ตรงนี้ถ้า อสส. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องออกมายืนยันว่า จะใช้ความพยายามถึงที่สุดที่จะนำตัวนายวรยุทธ กลับมาดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่แค่ออกหมายจับแล้วจบ เรื่องนี้คนพูดถึงน้อยมาก นายกรัฐมนตรีต้องไปจี้ สตช. จี้ อสส.

@ชงปฏิรูป-เปิดเผยข้อมูลบางส่วนในกระบวนการสอบสวน

นาทีที่ 27.49 น. จริงๆ แล้วเราสามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสอบสวนในกระบวนการยุติธรรมได้บางส่วน ถ้าเกี่ยวกับสำนวนบางครั้งเปิดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการเปิดเผยกระบวนการ ขั้นตอนในการสอบสวน ในการสั่งสอบเพิ่มเติม เช่น คดีนายวรยุทธ เราไม่มีทางรู้เลย ชนตั้งแต่ปี 2555 กระทั่งปี 2560 ยังไม่ฟ้อง มีการสั่งสอบเพิ่มหลายครั้ง ไม่มีใครรู้ จนกระทั่งเกิดเหตุที่ จ.พระนครศรีอยุธยา กับคดีเสี่ยเบนซ์ชนจนมีผู้เสียชีวิต 2 ศพ ทำให้คนกลับมานึกถึงนายวรยุทธจนพบว่ามีการสั่งสอบเพิ่ม และผู้ต้องหาหนีไป ตรงนี้ถ้ามีการเปิดเผยข้อมูลก่อนหน้านี้ก็จะทำให้รู้ว่าไม่มีการดองคดี

นาทีที่ 28.55 น. คดีที่สั่งถึงที่สุดแล้วในชั้นอัยการ เช่น คดีที่ถึงที่สุดแล้วสั่งไม่ฟ้อง ควรที่จะต้องเปิดเผย เพื่อจะได้ตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของอัยการ ว่าอัยการที่สั่งไม่ฟ้องใช้ดุลพินิจแบบไหน จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก หรือแม้แต่การยื่นฎีกา หรืออุทธรณ์ในคดีสำคัญๆ ต้องเปิดเผยความเห็นว่า เหตุผลที่คุณสั่งไม่อุทธรณ์หรือไม่ฎีกาด้วยเหตุผลอะไร จำได้หรือไม่ว่ามีคดีไม่ยื่นอุทธรณ์ นายพานทองแท้ ชินวัตร ในคดีฟอกเงิน ที่มีการให้สั่งสอบว่า ทำไมนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุดจึงสั่งไม่อุทธรณ์ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่เห็นเลยว่าเหตุผลคืออะไร ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า สั่งไปแล้วก็หาย แต่ถ้าเปิดเผยกระบวนการเหล่านี้ หรือแม้แต่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ (ป.ป.ช.) กฎหมายกำหนดว่า หากสั่งไม่ฟ้องต้องเปิดเผยเหตุผล หรือ มาตรา 36 (2) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ที่เมื่อแจ้งข้อกล่าหาแล้ว ให้เปิดเผยข้อมูล แต่ก็ผ่านมา 2 ปี ก็ทราบว่ากำลังดำเนินการอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลแต่อย่างใด หรือแม้แต่การชี้มูลความผิดไปแล้ว ก็ต้องเปิดเผยทุกคดี แต่มาถึงวันีนี้ก็ยังไม่ได้เปิดเผยเป็นส่วนใหญ่ หรือแม้แต่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอาญาทุจริตหรือศาลอุทธรณ์ ป.วิอาญา ก็บอกว่าการพิจารณาคดีและการอ่านคำพิพากษาเป็นไปโดยเปิดเผย แต่ว่าแนวทางของศาลบอกว่าขอได้เฉพาะคู่ความเท่านั้น ตรงนี้ผมก็ งง ว่า ทำไมคดีทุจริต ศาลชั้นต้นเปิดไม่ได้และศาลอุทธรณ์ไม่เปิด ต้องขอได้เฉพาะคู่ความ ทั้งที่ทุกคนควรจะไปขอหรือคัดสำเนาเหล่านี้ได้ เพื่อให้อำนวยความสะดวกต่อการตรวจสอบ