‘เศรษฐพุฒิ’ ชี้โควิดระลอก 3 กระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดอาจต้องรอถึงไตรมาส 1 ปี 66 เศรษฐกิจไทยจึงจะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด-19 หนุนผู้ประกอบการรายใหญ่ช่วยเหลือคู่ค้า SMEs กว่า 1.8 ล้านราย
.....................
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในการสัมมนาออนไลน์ ‘ประสานพลังเพื่อคู่ค้า เดินหน้าฟื้นฟูธุรกิจ’ ตอนหนึ่งว่า การแพร่ระบาดของโควิด 19 นับเป็นวิกฤติสาธารณสุขที่ส่งผลในวงกว้าง และได้ทดสอบความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจ โดยเฉพาะสำหรับ SMEs และรายย่อย มาตลอดระยะเวลาเกือบปีครึ่ง
“เศรษฐกิจไทยในปี 2563 หดตัวเกือบจะมากที่สุดในภูมิภาค จากการพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบรุนแรง อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกสามและการกระจายวัคซีนที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลา ซึ่งอาจต้องรอถึงไตรมาสแรกของปี 2566 กว่าจะกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า การระบาดที่เกิดขึ้นหลายระลอกและมาตรการที่ออกมาควบคุม ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสะดุดเป็นช่วงๆ ส่งผลต่อไปยังกำลังซื้อและกิจกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค ธุรกิจในภาคการค้าและบริการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้รับผลซ้ำเติมต่อเนื่อง
“ความรุนแรงของผลกระทบและความทนทานของธุรกิจต้องวัดกันที่สายป่านเป็นสำคัญ บางธุรกิจที่สายป่านสั้น ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว หลายธุรกิจขาดรายได้ กระทบสภาพคล่องทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกตินี้ ธุรกิจ SMEs จึงต้องการความช่วยเหลือเยียวยาโดยเร่งด่วน” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐรวมถึง ธปท. ได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งภาครัฐที่เน้นการเยียวยารายได้และกระตุ้นรายจ่ายของประชาชน ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังรายได้ของผู้ประกอบการ
ในส่วนของ ธปท. ได้เร่งออกมาตรการช่วยเหลือบรรเทาภาระหนี้แบบครบวงจร เพื่อให้ลูกหนี้ที่เดือดร้อนมีทางเลือกตัวช่วยที่เหมาะสมและทันการณ์ ตั้งแต่การพักหรือชะลอการชำระหนี้ออกไป การปรับโครงสร้างหนี้ เช่น ลดการชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ย รวมทั้งการคำนวณอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระให้เป็นธรรม
นอกจากปัญหาภาระหนี้เดิม ยังมีมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ ธปท. ผ่านการให้สินเชื่อ soft loan เพื่อใช้เยียวยาและเป็นเงินหมุนเวียน ซึ่งสินเชื่อภายใต้ พ.ร.ก. soft loan เดิม อาจมีข้อจำกัดในการให้ความช่วยเหลือ
มาตรการช่วยเหลือเดิมจึงไม่เพียงพอ ภาครัฐจึงยกระดับ (step up) ความเข้มข้นของมาตรการเพื่อให้ช่วยเหลือธุรกิจ SMEs ซึ่งล่าสุด ธปท. ได้ร่วมกับกระทรวงการคลังออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ โดยได้ปลดล็อกข้อจำกัดของ พ.ร.ก. soft loan เดิม ให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น คือ
1.ขยายขอบเขตของลูกหนี้ให้รวมผู้ที่ไม่เคยมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินมาก่อน
2.ขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือให้ยาวขึ้น จากเดิม 2 ปี เป็น 5 ปี ให้สอดคล้องกับการที่ธุรกิจต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
3.ขยายวงเงินให้เพียงพอรองรับความต้องการของลูกหนี้ จากเดิมที่ร้อยละ 20 ของยอดคงค้างสินเชื่อที่เบิกใช้ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อ
4.กำหนดอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมและเอื้อต่อการปล่อยสินเชื่อ แต่เฉลี่ยแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี โดยดอกเบี้ยในช่วง 2 ปีแรกจะอยู่ที่ร้อยละ 2 ต่อปี และลูกหนี้จะได้รับยกเว้นค่าดอกเบี้ยในช่วง 6 เดือนแรก
5.เพิ่มกลไกค้ำประกันโดย บสย. และเพิ่มสัดส่วนการค้ำประกันความเสียหายของกลไกดังกล่าว จากปกติ 30% เป็น 40% ของความเสียหายที่จะเกิดขึ้น โดยออกแบบให้กลุ่ม SMEs รายเล็ก ได้รับการค้ำประกันในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากส่วนใหญ่มีสภาพคล่องไม่มากหรือมีสายป่านสั้น และต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นตัว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีความสนใจรับความช่วยเหลือจากมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูนี้ ท่านสามารถติดต่อสถาบันการเงินที่ท่านเป็นลูกค้าอยู่ได้ และในการสัมมนาวันนี้ ท่านจะได้รับฟังเพิ่มเติมถึงแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการจากสถาบันการเงินต่าง ๆ
“แม้จะได้ขยายเงื่อนไขของความช่วยเหลือในมาตรการให้ครอบคลุมขึ้นแล้ว แต่สิ่งสำคัญกว่า คือ การบริหารจัดการมาตรการ (Execution) และการให้ลูกหนี้เข้าถึงมาตรการได้มากขึ้น ที่ผ่านมา มีข้อจำกัด หรือ gap ที่ทำให้ SMEs หลายรายไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ คือ 1.ธุรกิจ SMEs มีความเสี่ยงในช่วงที่เศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง 2.สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงของ SMEs ได้ยาก เพราะขาดข้อมูล และ 3.ยังขาดคนกลางที่จะช่วยชี้เป้า SMEs ที่มีศักยภาพและจะกลับมาฟื้นตัวได้ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างตรงจุด” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เมื่อมองไปข้างหน้า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะต้องใช้เวลา ทำให้ต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องสภาพคล่องของ SMEs ไม่ให้ลุกลามไปกว่านี้ ซึ่งทั้ง 4 ภาคส่วน ได้แก่ ภาครัฐ สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ และ SMEs ต้องทำงานร่วมกัน และยกระดับบทบาทของตนในการช่วยให้ SMEs ได้รับสภาพคล่องอย่างทันการณ์ คือ
1.ภาครัฐและ ธปท. มีบทบาทในการช่วยลดความเสี่ยงภาพรวมของ SMEs โดยได้เตรียมความพร้อมและเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการฟื้นฟู โดยได้ขยายเงื่อนไขและเพิ่มกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในการรองรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามที่ได้เรียนข้างต้นแล้ว
2.สถาบันการเงิน มีบทบาทในการประสานงานและเชื่อมต่อข้อมูลจากผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ และปรับแนวทางการประเมินความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ
3.ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ มีบทบาทสำคัญในการประสานความช่วยเหลือระหว่างสถาบันการเงินกับคู่ค้ารายย่อย รวมทั้งสนับสนุนข้อมูลของคู่ค้าที่เดิมยากที่จะเข้าถึงให้กับสถาบันการเงิน เพื่อประกอบการประเมินสินเชื่อและความเสี่ยงให้ได้ภาพครบถ้วนขึ้น
4.สำหรับธุรกิจ SMEs ควรปรับตัวเตรียมพร้อมเพื่อให้อยู่รอดและมีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนสภาพคล่อง โดยอาจยกระดับการจัดการธุรกิจ เช่น การจัดการเรื่องการเงินและบัญชีให้ได้มาตรฐาน รวมถึงนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยบริหารจัดการต้นทุน กำไร และ stock สินค้าได้ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับข้อมูลฐานะการเงินของ SMEs และเพิ่มความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการพิจารณาความเสี่ยงด้วย
“ผมอยากจะขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ใช้แนวทางนี้ในการขยายผลออกไปเพื่อช่วยคู่ค้ารายย่อยของท่าน ซึ่งจะทำให้ SMEs กว่า 1.8 ล้านราย ที่จ้างงานกว่า 7.5 ล้านคน และเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ มีโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อสูงขึ้น และแม้อาจไม่สามารถช่วยได้ทุกคน แต่การร่วมกันทำงานของทุกฝ่ายอย่างเต็มที่จะช่วยธุรกิจ SMEs ได้มากที่สุด และเป็นประโยชน์กับธุรกิจในภาพรวม” นายเศรษฐพุฒิกล่าว
อ่านประกอบ :
ผู้ว่าธปท. แจงสภา : 'พ.ร.ก.ซอฟต์โลน' จำเป็น-ตั้งเป้า 6 เดือน ปล่อยกู้ 1 แสนล้าน
กำชับแบงก์ช่วยลูกหนี้เชิงรุก! ธปท.เผยอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูแล้ว 1.6 หมื่นล้าน
สินเชื่อแบงก์โต 3.8%-หนี้เสียทรงตัว 3.1%! ธปท.เผยกู้ ‘บ้าน-บัตรเครดิต’ ขยายตัวเกิน 6%
ฉีดวัคซีนเร็วช่วยฟื้นศก.! 'แบงก์ชาติ' มองจีดีพีปีนี้โต 2%-หวังภาคส่งออกเพิ่มจ้างงาน
พักต้น-ลดดอก-คืนรถได้! ธปท.ประกาศมาตรการช่วยเหลือ 'ลูกหนี้รายย่อย' 4 กลุ่ม
คาดจีดีพีปีนี้ดีสุดโต 2%! กนง.คงดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%-วัคซีนพระเอกฟื้นเศรษฐกิจ
เซ่นโควิดระลอก 3! ‘ธปท.’ เล็งหั่นจีดีพีโตต่ำ 3%-เผยตัวเลขส่งออกมี.ค.พุ่ง 15.8%
โควิดระลอก 3 เขย่าเศรษฐกิจไทย-กระทบเปิดประเทศ ‘วัคซีนทั่วหน้า’ คือ ทางออก
เปิดรายงานกนง. : เศรษฐกิจไทยเสี่ยงโตต่ำคาด-โควิดซ้ำเติมเหลื่อมล้ำรายได้เลวร้ายลง
หั่นจีดีพีปี 64! กนง.คาดโตต่ำกว่า 3.2%-มติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบาย 0.5%
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/