‘พนักงานอัยการ’ สั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีทุจริต STARK ล็อตแรก 7 ราย ส่วน ‘วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ’ ยังไม่สั่งฟ้อง เพราะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม ด้าน ‘ปปง.’ เผยจากการสืบสวนฯพบ ‘ชนินทร์ เย็นสุดใจ’ โยกเงินไปอังกฤษ 8 พันล้าน
......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีทุจริตใน บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK จำนวน 7 ราย ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานฉ้อโกงประชาชนฯ ข้อหายักยอกทรัพย์และข้อหาฟอกเงิน และนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ส่งศาลอาญา โดยศาลฯได้ประทับรับฟ้องคดีทุจริตใน STARK เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.90/2567
ทั้งนี้ ภายหลังประทับรับฟ้องแล้ว นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องหลักทรัพย์เป็นเงินสด 10 ล้านบาท และน.ส.นาตยา ปราบเพชร จำเลยที่ 7 ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 เเสนบาท ขอปล่อยชั่วคราว ส่วนอีก 5 ราย เป็นนิติบุคคล ไม่ต้องยื่นประกัน
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์เเล้ว คดีนี้ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการแห่งคดีแล้ว ข้อหามีอัตราโทษสูง การกระทำของจำเลยที่ 1 และ 7 ที่ถูกกล่าวหา มีลักษณะสร้างความเสียหายต่อเศรษกิจและสังคมโดยรวมมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และ 7 จะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวยกคำร้อง
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัว นายศรัทธา และน.ส.นาตยา ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพเเละทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป
สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย ที่พนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้อง ประกอบด้วย
1.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ
2.บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ และนายปริญญา จั่นสัญจัย กรรมการผู้มีอำนาจ
3.บริษัท เฟิลปส์ คอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ
4.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด โดยนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการผู้มีอำนาจ
5.บริษัท ไทย เคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยนายอรรถพล วัชระไพโรจน์ กรรมการผู้มีอำนาจ
6.บริษัท เอเชีย แปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยนายกิจจา คล้ายวิมติ และนายอภิชาติ ตั้งเอกจิต กรรมการผู้มีอำนาจ
7.น.ส.นาตยา ปราบเพชร
ส่วนผู้ต้องหาอีก 4 ราย ได้แก่ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ,นางสาวยสบวร อำมฤต ,นายชนินทร์ เย็นสุดใจ และนายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม นั้น 2 รายแรก คือ นายวนรัชต์ และนางสาวยสบวร ที่เดินทางเข้ามาพบพนักงานอัยการในวันนี้ (12 ม.ค.) พนักงานอัยการยังไม่มีคำสั่งฟ้อง เพราะยังต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติม และอีก 2 ราย ไม่ได้เข้ามาพบพนักงานอัยการ คือ รายนายชนินทร์ ที่อยู่ระหว่างหลบหนี และนายกิตติศักดิ์ ที่อ้างว่าป่วย
ขณะที่นายชินวัฒน์ อัศวโภคี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีความเห็นให้สั่งฟ้องนั้น พนักงานอัยการฯ มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ถึง
ก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีทุจริต STARK ให้กับพนักงานอัยการ โดยในสำนวนของดีเอสไอ มีผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย ประกอบด้วย 1.นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ซึ่งได้หลบหนีและศาลมีหมายจับ 2.นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ 3.นายชินวัฒน์ อัศวโภคี 4.นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ 5.นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม 6.บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น 7.บริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด
8.บริษัท อดิสรสงขลา จำกัด 9.บริษัท ไทยเคเบิ้ล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 10.บริษัท เอเชียแปซิฟิก ดริลลิ่ง เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 11.นางสาวยสบวร อำมฤต เเละ 12.น.ส.นาตยา ปราบเพชร
@เปิดข้อหาส่งฟ้องล็อตแรก ‘ผู้ต้องหา’ 7 ราย
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า สำหรับข้อหาที่พนักงานอัยการฯได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย คือ นายศรัทธา จันทรเศรษฐเลิศ กับพวก ต่อศาลอาญา ได้แก่ ฐานความผิดร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์หรือร่างหนังสือชี้ชวนที่ยื่นตามมาตรา 65 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ในสาระสำคัญ
มีหน้าที่เปิดเผยเอกสารต่อผู้ถือหุ้นหรือประชาชนทั่วไปตามที่บัญญัติในหมวด 3/1การบริหารกิจการของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ,ร่วมกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ, เป็นนิติบุคคลกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคล นั้น ต้องรับโทษตามที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดตามมาตรา 281/1แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
เป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทกระทำโดยทุจริต ไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความซื่อสัตย์สุจริตแห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายหรือทำให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตาม พ.ร.บ.นี้ โดยทุจริต ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามหรือทำให้ประชาชนผู้ถูกหลอกลวง หรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ
เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด ตาม พ.ร.บ.นี้ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าวหรือทรัพย์สินที่นิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย กระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆ โดยทุจริตจนเป็นเหตุให้เกิดความ เสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของนิติบุคคลนั้น
เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของนิติบุคคลดังกล่าว หรือซึ่งนิติบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ร่วมกันเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต
เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใด ซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคลใดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯกระทำการหรือไม่กระทำการเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่นอันเป็นการเสียหายแก่นิติบุคคลนั้น
เป็นกรรมการผู้จัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใดกระทำหรือยินยอมให้กระทำการ 1.ทำให้เสียหาย ทำลาย เปลี่ยนแปลง ตัดทอน หรือปลอมบัญชีเอกสาร หรือหลักประกันของนิติบุคคลดังกล่าว 2.ลงข้อความเท็จหรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของนิติบุคคลหรือที่เกี่ยวกับนิติบุคคลนั้น 3.ทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นปัจจุบันหรือไม่ตรงต่อความเป็นจริง ถ้ากระทำหรือยินยอมให้กระทำเพื่อลวงให้นิติบุคคลดังกล่าวหรือผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์อันควรได้ หรือลวงบุคคลใดๆ กระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่กรรมการ ผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการดำเนินงานของนิติบุคคลใด กระทำความผิดตามมาตรา 278 ,306 ถึงมาตรา 312 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าก่อนหรือขณะกระทำความผิด
ร่วมกันโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ,ร่วมกันยักยอก, เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของผู้อื่นหรือทรัพย์สินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยกระทำผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใดๆ โดยทุจริต จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นนั้น
สมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน, เป็นผู้สนับสนุนโดยกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดอันเป็นความผิดตาม พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ,พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,86,91,343,352,353
ทั้งนี้ พนักงานอัยการฯขอศาลได้พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอศาลได้สั่งให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันคืนเงินที่ฉ้อโกงไปจำนวนกว่า 14,778 ล้านบาทที่ยังไม่ใด้ คืนให้แก่ผู้ถือหุ้น 4,692 ราย และผู้ลงทุนสถาบันจำนวน 12 ราย ผู้เสียหาย ,ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนเงินที่ยักยอกไปจำนวน 741,172,250 บาท ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ STARK ปรับจำเลยที่ 1,2 เป็นเงินสองเท่าของราคาขายของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่จำเลยที่ 1,2 ได้เสนอขายโดยไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท
และปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงินสองเท่าของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหรือประโยชน์ที่ได้รับโดยไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท
@ข้องใจไม่สั่งฟ้อง ‘มือกฎหมาย’ STARK คนสำคัญ
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมาย ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เสียหาย ‘กลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค’ ระบุ วันนี้อัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยในคดีอาญาทั้งหมด 7 ราย คือ นายศรัทธา ผู้บริหารฝ่ายการเงิน กับพวก แต่มีตัวละครเพิ่มขึ้นมา คือ นางสาวนาตยา แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ ชื่อผู้ต้องหารายหนึ่ง ซึ่งเป็นมือกฎหมาย บริษัท สตาร์ค คือ นายชินวัฒน์ อัศวโภคี หายไป ต้องฝากสื่อช่วยตามว่าเหตุใดชื่อมือฎหมายสำคัญทีมสตาร์คถึงหาย แต่มีชื่อน.ส.นาตยาโผล่เข้ามา
ส่วนของคนที่ยังไม่ได้สั่งฟ้องวันนี้ มี 4 ราย โดย 2 ราย คือ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ และนางสาวยสบวร อำมฤต ซึ่ง 2 คนนี้ มีบทบาทสำคัญในคดีนั้น อัยการบอกว่า ยังไม่ฟ้องเพราะยังต้องสอบสวนเพิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ฟ้อง และทางอัยการได้ส่งสัญญาณว่า น่าจะฟ้องด้วย แต่ขอสอบสวนพยานโดยสั่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอสอบเพิ่ม
และอีก 2 ราย ที่ไม่ฟ้องในวันนี้ คือ นายชนินทร์ เย็นสุดใจ และนายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม โดยนายชนินทร์ หลบหนีไปแล้ว ก็หวังว่าสื่อมวลชนจะช่วยติดตามว่าอัยการ กระทรวงการต่างประเทศและตำรวจไทย ได้ประสานไปยังประเทศต่างๆเเล้วหรือไม่ เพราะประชาชนร้อนใจอยากจะรู้ว่าจับกุมตัวได้หรือไม่ ส่วนอีกราย คือ นายกิตติศักดิ์ จิตต์ประเสริฐงาม ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ที่อ้างว่าป่วย
“นายกิตติศักดิ์ เป็นคนที่รู้เรื่องยอดขาย ยอดโอนไปจ่ายคนไหน ถือเป็นบุคคลสำคัญ เเต่วันนี้อัยการท่านคงยังไม่ถึงขั้นขอให้ศาลออกหมายจับ แต่ก็คงให้พนักงานสอบสวนติดตามมา หากติดต่อไม่ได้หรือหายตัว ทางเจ้าหน้าที่ก็อาจจะดำเนินการในการตามจับกุมเช่นกัน” นายวีรพัฒน์ กล่าว
นายวีรพัฒน์ ระบุว่า อย่างน้อยที่สุดวันนี้ ต้องขอบคุณทางอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ที่พยายามทำสำนวน ซึ่งใครก็ตามที่ยังไม่ฟ้องขอให้ทำสำนวนและรีบฟ้องหากพยานหลักฐานพร้อมแล้ว เข้าใจว่าทางอัยการและพนักงานสอบสวนก็เล็งเห็นว่า ยังมีบุคคลอื่นๆที่ยังไม่ปรากฏชื่อ เช่น ที่ปรึกษาด้านการบัญชี สำนักงานบัญชี ผู้เซ็นงบการเงิน คนเหล่านี้ควรจะต้องได้รับการตรวจสอบโดยศาล ด้วยก็หวังว่าจะมีการยื่นแจ้งข้อกล่าวหาและยื่นฟ้องบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อไป
นายวีรพัฒน์ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปเราจะเดินหน้าเข้าไปเอาพยานหลักฐานในคดีอาญาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในคดีแพ่งโดยเราจะฟ้องเร็วที่สุดเมื่อพยานหลักฐานครบซึ่งผู้เสียหายสามารถมาร่วมกับเราได้เสมอสามารถ เสิร์ช Google หาคำว่า ‘กลุ่มรวมพลังหุ้นกู้สตาร์ค’ LINE แอดไทยสตาร์ค
“วันนี้ผู้เสียหายที่ไปสังเกตการณ์ได้เจอคุณวนรัชต์ และคุณยสบวร มาด้วยตัวเองทั้ง 2 ท่าน อัยการยังไม่ฟ้อง เพราะต้องการสั่งให้มีการสอบสวนของประเด็นทั้ง 2 ท่านเพิ่ม ก็หมายความว่าอัยการให้ความสำคัญนะ อัยการไม่ได้ปล่อยปละละเลยเพียงแต่ว่า ผมถามอัยการว่าจะอีกนานไหม กว่าท่านจะสรุปได้ ท่านตอบว่าอีกไม่นานหรอก เพราะว่าให้ทางดีเอสไอไปทำหน้าที่ตรงนี้แล้ว ก็ฝากสื่อมวลชนช่วยติดตาม เพราะประชาชนร้อนใจมาก” นายวีรพัฒน์ กล่าว
@ปปง.พบ ‘ชนินทร์’ โยกเงินไปอังกฤษ 8 พันล.
ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวในระหว่างการเปิดโครงการบูรณาการการปฏิบัติงานตามกฎหมายฟอกเงินและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ตอนหนึ่งว่า ต่อไปการยึดทรัพย์ว่า รถ ปืนเงินสด ทองคำ อัญมณี มีแนวโน้มจะลดลง เนื่องจากกฎหมายฟอกเงินเอามาใช้ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่ง 20ปีมานี้ คนร้ายมีพัฒนาการและดูทีวีเห็นว่า คนอื่นโดน ปปง. ยึดโดนตำรวจยึดอะไรได้บ้าง
เพราะฉะนั้น แนวโน้มในการเก็บรักษาทรัพย์ในการฟอกเงินที่ได้จากการกระทำผิดมาในอนาคตจากสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Physical Asset) มาเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ซึ่งกฎหมายเราเองยังเขียนไม่ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนเงินหรือทรัพย์สินที่มีค่ากลายเป็นคริปโทเคอร์เรนซี แล้วออก E wallet (กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์) ออกไปต่างประเทศ เราจะทำอย่างไร โดยเฉพาะคดีทุจริตใน บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น
“คดีทุจริตใน บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น โกงเงินไปกว่า 2 หมื่นล้านบาท จากข้อมูลทางการสืบสวนสอบสวนที่เรามี เชื่อว่านายชนินทร์ โยกเงินไปอยู่ที่อังกฤษอีกประมาณ 8,000 ล้านบาท แต่เส้นทางการเงินมันไม่ได้โอนจากธนาคารไทยพาณิชย์ไปยังธนาคารเเบงค์ออฟลอนดอน มันไม่ใช่เเบบนั้น มันมีการขนย้ายถ่ายเท ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ที่มาที่ไปได้ แต่ปลายทาง อยู่ดีๆเขามีเงิน 8 พันล้านบาท ที่อังกฤษได้เสวยสุข
ในทางกฎหมาย ถ้า ปปง. ต้องการตาม มันกลายเป็นกองคดีระหว่างประเทศของอัยการ มันกลายเป็นตำรวจต่างประเทศมันกลายเป็นหน่วยงานอื่น ซึ่งเงินของคนไทยที่ถูกโกงไป เราจะเอากลับมาทำอย่างไร ในขั้นตอนที่มันสั้น และมีประสิทธิภาพ ตรงนี้อาจจะต้องมานั่งระดมความเห็นเพราะว่าการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ตอนนี้กำลังจะเข้าสภานิติบัญญัติในหลักการโอเค แต่ว่าปลีกย่อยจะต้องแปลญัตติในชั้นกรรมาธิการ
ถ้าได้ข้อคิดเห็นหรือข้อมูลเป็นประโยชน์จากอัยการ มันจะทำให้เราสามารถไปชี้แจงกับกระบวนการนิติบัญญัติแล้วเขียนกฎหมายให้สมบูรณ์ออกมาแล้วจะเป็น ปปง.หรืออัยการคดีพิเศษก็สามารถใช้กฎหมายนี้บังคับใช้กับคนร้าย เเละทรัพย์สินที่อยู่ในกระบวนการของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ตรงนี้ก็ต้องรบกวนช่วยเหลือ
เพราะว่าความเห็นบางเรื่องก็ต้องมองว่าอัยการสำนักงานคดีพิเศษส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์ค่อนข้างเยอะในขณะเดียวกัน ปปง.เองก็ทำงานในกึ่งแพ่ง บางทีมุมมองหลายมุมมองที่เราอาจจะมองไม่เห็นแต่อัยการมองเห็นก็ให้คำชี้แนะเพื่อเรานำมาเป็นข้อมูลและนำไปใช้ได้ต่อไป” พล.ต.ต.เอกรักษ์กล่าว
อ่านประกอบ :
ก.ล.ต.กล่าวโทษ‘ชนินทร์-ศรัทธา-ยสบวร’ต่อ‘ดีเอสไอ’ ร่วมกันใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น STARK
‘อธิบดีอัยการคดีพิเศษ’เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ‘คณะทำงานฯ’ พิจารณาคดีทุจริต STARK แล้ว
‘สำนักงานคดีพิเศษ’ตั้ง‘ทีมอัยการ’พิจารณาคดี STARK-นัดผู้ต้องหาฟังคำสั่ง 12 ม.ค.ปีหน้า
‘ดีเอสไอ’ส่ง‘อัยการ’ฟ้อง 11 ผู้ต้องหาคดี STARK แล้ว-ประสาน‘ปปง.’ยึดทรัพย์‘หมื่นล้าน’
DSI พบหลักฐานเส้นเงิน คดีทุจริตหุ้น STARK โอนหมื่นล้านเข้ากลุ่มบริษัทตัวเอง
DSI คาดสรุปสำนวนคดี STARK ส่งอัยการสิ้นเดือนนี้-เรียก28‘ว่าที่ผู้ต้องหา’ให้การปมหุ้นMORE
ก.ล.ต.ขยายผลตรวจสอบเพิ่ม ปมแพร่ข่าวอันเป็นเท็จ-ใช้ข้อมูลภายในซื้อขายหุ้น STARK
ปปง.ยึด-อายัดทรัพย์มูลค่ากว่า 1.4 พันล. 'เครือข่ายทุน มิน หลัด-หมูเถื่อน-หุ้น STARK'
ก.ล.ต.สั่ง STARK ตรวจสอบเพิ่ม หลัง‘ผู้สอบบัญชี’ระบุยังไม่ได้ข้อมูลที่‘ถูกต้อง-ครบถ้วน’
ก.ล.ต.ไฟเขียว STARK ขยายเวลานำส่งรายงานผลตรวจสอบ ‘special audit’ เป็น 29 ก.ย.นี้
สอบพยานแล้ว 70 ปาก! DSI แจงความคืบหน้าคดีหุ้น STARK-อายัดบัญชี‘ชนินทร์’ได้อีก 220 ล้าน
‘สภาผู้บริโภค’เสนอ‘ก.ล.ต.’ตั้งทีมเฉพาะกิจแก้ปัญหา-เยียวยาผู้เสียหายหุ้นกู้ STARK
ผู้ถือหน่วยลงทุน LTF-RMF ร้อง‘ก.ล.ต.’ สอบสวน‘บลจ.’ลงทุนหุ้น STARK ทำเสียหาย 3.5 พันล้าน