‘ธปท.’ เล็งบังคับใช้เกณฑ์ ‘ภาระหนี้ต่อรายได้’ ต้องไม่เกิน 60-70% เริ่ม 1 ม.ค.68 เดินออกประกาศแนวทาง ‘responsible lending’ ต้นปี 67 ลุยปรับโครงสร้าง 'หนี้เรื้อรัง' ปิดจบได้ภายใน 5 ปี
......................................
เมื่อวันที่ 21 ก.ค. นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทยอยฟื้นตัวชัดเจน ส่งผลให้รายได้ของลูกหนี้เริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ทยอยปรับนโยบายต่างๆให้เข้าสู่ภาวะปกติและเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนในช่วงไตรมาส 1/2566 ซึ่งอยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 90.6% ต่อจีดีพี นั้น ถือเป็นระดับค่อนสูงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่มีความยั่งยืน คือ ไม่เกิน 80% ต่อจีดีพี ดังนั้น ธปท.จึงจำเป็นต้องออกมาตรการเพื่อดูแลหนี้ครัวเรือนให้ตรงจุดและยั่งยืน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหนี้สินครัวเรือนจะอยู่ในระดับสูงต่อไป และเป็นตัวฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน และลุกลามไปสู่ปัญหาสังคมต่อไป
นายรณดล ระบุว่า สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนอย่างยั่งยืนนั้น จะมีการออกมาตรการดูแลหนี้ใน 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มหนี้เสีย โดยจะหาวิธีการที่ทำให้สามารถแก้ไขหนี้เสียได้ 2.กลุ่มหนี้เรื้อรัง เพื่อทำให้ลูกหนี้มีทางเลือกในการปิดจบหนี้ได้ 3.กลุ่มหนี้ใหม่ โดยจะออกมาตรการที่ทำให้การสินเชื่อใหม่มีคุณภาพ ไม่กลายเป็นปัญหาในอนาคต และ 4.หนี้นอกระบบ โดยการทำให้ลูกหนี้นอกระบบมีโอกาสเข้ามากู้ในระบบได้มากขึ้น
“มาตรการสำคัญที่แบงก์ชาติจะเร่งดำเนินการ คือ คือ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) ตลอดจนการดูแลหนี้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการดูแลหนี้เรื้อรัง และยังเสริมด้วยอีก 2 มาตรการ คือ มาตรการเกี่ยวกับการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (risk-based pricing) และการกำหนดกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (debt service ratio: DSR) ซึ่งทุกมาตรการได้ผ่านการหารือและรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว” นายรณดล ระบุ
ทั้งนี้ นายรณดล ไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจนว่า เมื่อ ธปท.ได้ดำเนินการตามมาตรการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนแล้ว จะทำให้หนี้ครัวเรือนลดลงมาเป็นเท่าไหร่ และต้องใช้เวลากี่ปีกว่าหนี้ครัวเรือนจะลดลงสู่ระดับ 80% ต่อจีดีพี เพียงแต่ระบุว่า ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลงมาสู่ระดับ 80% ต่อจีดีพีนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เนื่องจากมีหนี้หลายส่วนที่อยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของ ธปท.
“ถ้าเราต้องการให้ไปสู่จุดนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน รวมถึงแบงก์ชาติเองที่ต้องหาแนวทางที่เป็นองค์รวม และแก้ไขบริบททั้งหมด ดังนั้น ถ้าถามว่าจะถึง 80% ต่อจีดีพี โดยเร็วหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งหมดที่พูดถึง ถามว่าต้องใช้เวลาไหม ก็คงต้องใช้เวลา แต่ไม่อยากให้เนิ่นนานในการร่วมมือกันของทุกภาคส่วน” นายรณดล กล่าว
@คาดเกณฑ์‘ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ’ 1 ม.ค.67
ด้าน น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า มาตรการแก้ปัญหาหนี้สินครัวเรือนอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) และ 2.การดูแลหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt)
โดยกรอบหลักการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมนั้น เจ้าหนี้ต้องให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรมแก่ลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ เมื่อหนี้มีปัญหา และเมื่อจะขายหรือโอนหนี้ออกไป ได้แก่
ก่อนเป็นหนี้หรือกำลังจะเป็นหนี้ เจ้าหนี้จะต้องให้ข้อมูลเพื่อกระตุกพฤติกรรมและส่งเสริมให้ลูกหนี้จ่ายชำระหนี้ให้ตรงเวลา และเจ้าหนี้ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมกับลูกหนี้อย่างชัดเจน เป็นต้น เช่น ก่อนครบกำหนดเวลาชำระหนี้บัตรเครดิต เจ้าหนี้จะส่ง SMS ไปลูกหนี้ว่า มีหนี้ที่ยังไม่ได้จ่ายชำระเท่าไหร่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหนี้บางรายได้เริ่มทำไปแล้ว
ส่วนเรื่องการโฆษณานั้น ธปท.อยากเห็นการโฆษณาที่มีข้อมูลถูกต้อง ชัดเจน และเปรียบเทียบได้ โดยการเสนอขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ เจ้าหนี้ต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วน และไม่กระตุ้นให้ลูกหนี้เป็นหนี้เกินตัว รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องเหมาะสมกับลูกค้าและเงื่อนไข เช่น หากเป็นการกู้เพื่อนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค สัญญาต้องไม่ยาวเกินไป ขณะที่การพิจารณาปล่อยกู้ ต้องมองด้วยว่า ลูกหนี้จ่ายไหวและมีเงินเหลือพอดำรงชีพ
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ ธปท.จะกำหนดในระยะต่อไป คือ เจ้าหนี้ต้องแสดงจำนวนดอกเบี้ยให้ชัดเจนว่า หากชำระขั้นต่ำจำนวนดอกเบี้ยเป็นเท่าไหร่ และหากชำระสูงจำนวนดอกเบี้ยเป็นเท่าไหร่ เพื่อให้ลูกหนี้มีข้อมูลเปรียบเทียบ และต้องแสดงอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปีด้วย เพราะบางครั้งการบอกว่าดอกเบี้ย 2% ต่อเดือน คนจะรู้สึกว่าน้อย แต่หากเทียบกับดอกเบี้ย 24% ต่อปี จริงๆแล้ว คือ เท่ากัน รวมทั้งต้องกำหนดค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขต่างๆให้ชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อปล่อยกู้ไปแล้ว ลูกหนี้มีปัญหาชำระหนี้ เจ้าหนี้จะต้องมีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ให้เป็นหนี้เสีย และเมื่อลูกหนี้เป็นหนี้เสียแล้ว ก่อนจะฟ้องดำเนินคดีและโอนขายหนี้ เจ้าหนี้จะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง และเมื่อมีการโอนขายหนี้ออกไปข้างนอก เจ้าหนี้ต้องแจ้งสิทธิและข้อมูลสำคัญแก่ลูกหนี้ ไกล่เกลี่ยหนี้ ตลอดจนผู้รับโอนหนี้ต้องกำหนดเงื่อนไขการชำระหนี้อย่างเหมาะสม
@ดันปรับโครงสร้าง‘หนี้เรื้อรัง’ให้ปิดจบได้ภายใน 5 ปี
น.ส.สุวรรณี กล่าวต่อว่า ในส่วนการดูแลหนี้เรื้อรังนั้น เจ้าหนี้ต้องดูแลลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง (Severe Persistent Debt) โดยจะต้องให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียน (revolving personal loan) ที่มีรายได้น้อย คือ เป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจ ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 20,000 บาท/เดือน หรือเป็นลูกหนี้ของ Non-banks อื่นๆ ซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท/เดือน หากเป็นหนี้มานาน 5 ปี และมีการจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น
โดยเจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการปรับสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไข Persistent Debt คือ จะต้องปิดจบหนี้ได้ภายใน 5 ปี กำหนดอัตราดอกเบี้ย EIR ไม่เกิน 15% ต่อปี ลดลงจากสัญญาเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 25% ต่อปี และมีเงินเหลือพอดำรงชีพ ขณะที่ลูกหนี้ที่เข้าร่วมการปรับโครงสร้างหนี้ (opt-in) ต้องปิดวงเงิน revolving ดังกล่าวเพื่อไม่ก่อหนี้เพิ่ม และจะมีการรายงานประวัติข้อมูลเครดิตว่าลูกหนี้ได้ปรับโครงสร้างหนี้
“เจ้าหนี้ได้รับดอกเบี้ยจากลูกหนี้ตามสัญญาเดิมไม่เกิน 25% ต่อปี มาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปีแล้ว ดังนั้น 5 ปีหลัง ขอให้ลดมาเป็น 15% เพื่อให้ลูกหนี้จ่ายหนี้ได้ เพราะถ้าไม่มีการลดดอกเบี้ยให้เลย ถ้าจะปิดหนี้ได้ จะต้องมีการเพิ่มเงินงวดให้สูงขึ้น ซึ่งถ้าลูกหนี้เพิ่มไม่ได้ก็เป็นปัญหาอีก” น.ส.สุวรรณี กล่าวและว่า "สำหรับลูกหนี้ที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรังจากข้อมูลเบื้องต้นน่ามีหลักหลายแสนบัญชี"
น.ส.สุวรรณี ยกตัวอย่างการปรับโครงสร้างหนี้กลุ่มหนี้เรื้อรังว่า หากลูกหนี้กู้เงิน revolving จำนวน 15,000 บาท และจ่ายชำระเพียง 3% ของยอดคงค้าง จะต้องใช้เวลาปิดหนี้ 18 ปี และเสียดอกเบี้ยรวม 29,000 บาท แต่หากลูกหนี้เป็นหนี้มาแล้ว 5 ปี และจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น เมื่อลูกหนี้เข้าโครงการปรับโครงสร้างหนี้ โดยเลือกจ่ายหนี้เดือนละ 280 บาท ลูกหนี้จะปิดจบหนี้ได้ใน 3.5 ปี และเสียดอกเบี้ยทั้งหมด 17,500 บาท หรือประหยัดดอกเบี้ยได้ 11,500 บาท
ส่วนกรณีเป็นลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลประเภทหมุนเวียน ที่มีสัญญาณว่าจะเป็นหนี้เรื้อรัง (General Persistent Debt) คือ เป็นหนี้มาแล้ว 3 ปี และจ่ายดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น เจ้าหนี้จะต้องได้รับข้อความแจ้งเตือนลูกหนี้ว่า มีสัญญาณเป็นหนี้เรื้อรัง ปิดจบไม่ได้ และต้องให้คำแนะนำลูกหนี้ให้จ่ายชำระหนี้รายเดือนให้มากขึ้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ยและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ธปท.จะเผยแพร่ Consultation Paper การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ในช่วงไตรมาส 3/2566 และจะให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2567 ส่วนมาตรการปรับสร้างหนี้ภายใต้เงื่อนไข Persistent Debt นั้น จะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย.2567
@ออกเกณฑ์ใหม่กำหนด‘อัตราดอกเบี้ย’ตามความเสี่ยงลูกหนี้
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า ธปท.ยังมีมาตรการเสริมในการดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือนอีก 2 มาตรการ คือ 1.การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (risk-based pricing: RBP) คือ ทำให้คนที่มีความเสี่ยงสูงเกินเพดาน สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ โดยต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่าเพดานที่กำหนดไว้ แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวจะถูกกว่าดอกเบี้ยหนี้นอกระบบที่สูงถึง 100-300% ต่อปี ขณะที่คนที่มีความเสี่ยงต่ำ ควรจ่ายดอกเบี้ยถูกลง ไม่ใช่ว่าต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงชนเพดาน
“ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงเกินเพดาน ต้องออกไปกู้นอกระบบด้วยดอกเบี้ยที่แพง ถ้าเราขยับเพดานดอกเบี้ยขึ้นไปได้อีกนิดหนึ่ง ก็จะดึงคนที่เคยลอยอยู่ข้างบน ซึ่งเป็นคนที่มีความเสี่ยงสูงบางส่วน แต่มีความสามารถในการชำระหนี้ ให้ลงมาอยู่ใต้เพดานใหม่ได้ คือ เสี่ยงสูง แต่ยังกู้ได้ และเราก็หวังว่าด้วยเกณฑ์ตัวใหม่ เราจะดึงคนที่เคยอยู่ติดเพดาน แต่จริงๆแล้วเสี่ยงน้อย เช่น มีประวัติชำระหนี้ดีมาตลอด ให้สามารถจ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำลงได้” น.ส.สุวรรณี กล่าว
น.ส.สุวรรณี ระบุว่า ผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการ risk-based pricing ต้องเข้ามาร่วมทดสอบในโครงการ Sandbox ก่อน โดย ธปท.จะออก Consultation Paper เพื่อทำความเข้าใจ และเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องได้ในช่วงไตรมาส 3/2566 จากนั้นจะทยอยออกหลักเกณฑ์ต่างๆในช่วงไตรมาส 4/2566 โดย ธปท.จะเปิดให้ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ และให้ผู้ประกอบการเข้ามาร่วมทดสอบได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2567
“การทดสอบใน Sandbox จะใช้ระยะเวลา 1-2 ปี และที่ต้องนาน เพราะเราต้องดูรอบวงจรว่า หนี้ที่ปล่อยไป สุดท้ายแล้ว เสียมากขึ้นหรือเปล่า เป็นประโยชน์กับลูกหนี้จริงหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่จะออกจาก Sandbox และให้ให้บริการในวงกว้างได้ จะต้องมีระบบประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้ที่น่าเชื่อถือ เสนออัตราดอกเบี้ยที่สอดคล้องกับความเสี่ยงของลูกหนี้ได้อย่างแท้จริง และเห็นชัดว่ากลุ่มความเสี่ยงต่ำได้ดอกเบี้ยน้อยกว่าเพดาน เป็นต้น” น.ส.สุวรรณี กล่าว
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า หากการทดสอบใน Sandbox พบว่า ลูกหนี้ไม่มีการกระจายตัว คือ ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำก็เสียดอกเบี้ยเท่ากับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ธปท.จะยุติการทดสอบ และเจ้าหนี้รายนั้นๆ ต้องกลับไปอยู่ในเพดานดอกเบี้ยเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
@คุม‘ภาระหนี้ต่อรายได้’ไม่เกิน 60-70% เริ่มใช้ 1 ม.ค.68
2.การกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (debt service ratio: DSR) โดย ธปท.มีความจำเป็นที่จะกำหนดให้เกณฑ์ DSR เข้าไปอยู่ในมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของแต่ละสถาบันการเงิน เนื่องจากครัวเรือนไทยมีปัญหาหนี้เกินตัว โดยรายได้ของครัวเรือนเกินกว่าครึ่งต้องนำไปจ่ายหนี้ และกว่า 50% ของภาระหนี้ของครัวเรือน เป็นหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งมีส่วนทำให้หนี้ครัวเรือนขยายตัวสูง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นหนี้เรื้อรัง
“เราพบว่า DSR ระดับที่สูงๆ ส่งผลทำให้อัตราการผิดนัดหรือการเป็น NPL ของลูกหนี้กลุ่มนั้น เร่งตัวสูงขึ้นจริงๆ เราจึงต้องการให้เจ้าหนี้ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ โดยคำนึงถึงรายได้และภาระหนี้ในปัจจุบัน และเมื่อให้สินเชื่อไปแล้ว ลูกหนี้ยังต้องมีเงินเหลือพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วย” น.ส.สุวรรณี กล่าว
น.ส.สุวรรณี กล่าวว่า หลักเกณฑ์การกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) จะแบ่งเป็น 2 เฟส คือ เฟสแรก จะเริ่มที่สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อส่วนบุคคลที่ปล่อยโดย SFIs สินเชื่อสวัสดิการ MOU และวงเงินเบิกเกินบัญชีเพื่อการอุปโภคบริโภค ส่วนเฟสสอง จะเพิ่มสินเชื่ออื่นๆ ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้านแลกเงิน สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ จักรยานยนต์ สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อ Digital p-loan และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
สำหรับการกำหนด DSR นั้น จะเป็นไปตามรายได้ของลูกหนี้ คือ กรณีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/เดือน DSR หลังรวมภาระหนี้ใหม่ต้องไม่เกิน 60% และกรณีรายได้มากกว่า 30,000 บาท/เดือน DSR หลังรวมภาระหนี้ใหม่ต้องไม่เกิน 70% ซึ่งที่มาของการกำหนด DSR ไม่เกิน 60% และไม่เกิน 70% ดังกล่าว มาจากข้อมูลที่ ธปท.ขอให้แบงก์และ Non-banks ส่งข้อมูลรายสัญญามาให้ ธปท.ดู ซึ่งพบว่ากลุ่มที่มี DSR สูงเกินระดับที่กำหนดไว้ จะมีการเร่งตัวของ NPL สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหนี้ประเมินว่าลูกหนี้มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ แม้ DSR จะสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด เจ้าหนี้สามารถพิจารณาปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้ แต่ DSR หลังรวมภาระหนี้ใหม่ต้องไม่เกิน 90% และสินเชื่อที่ปล่อยให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ต้องมียอดไม่เกิน 15% ของสินเชื่อปล่อยใหม่
ทั้งนี้ การบังคับใช้มาตรการ DSR จะต้องใช้ในช่วงที่เศรษฐกิจมีความเข้มแข็งเพียงพอ ดังนั้น เบื้องต้น ธปท. มีแผนจะบังคับใช้มาตรการ DSR ในวันที่ 1 ม.ค.2568 เพื่อให้ประชาชนและผู้ให้บริการมีเวลาในการปรับตัว แต่จะมีการประเมินสถานการณ์และบริบททางเศรษฐกิจในขณะนั้นอีกครั้ง
อ่านประกอบ :
‘ธปท.’เดินหน้า 3 แนวทางแก้‘หนี้ครัวเรือน’-ชี้สินเชื่อรถ‘จัดชั้น SM’แค่ 10% ที่เป็น NPL
หนี้ทะลุ 90.6%ต่อGDP! ธปท.ปรับข้อมูล‘หนี้ครัวเรือน’ใหม่คลุม 4 กลุ่ม ยอดเพิ่ม 7.7 แสนล.
'ธปท.' เล็งออกเกณฑ์คุม 'สินเชื่อใหม่' ไตรมาส 3-ตั้งเป้ากดหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ต่ำ 80%
‘ธปท.’เผยหนี้สินครัวเรือนไทยไตรมาส 3/65 แตะ 14.9 ล้านล.-สัดส่วนต่อจีดีพีลดเหลือ 86.8%
‘ผู้ว่าฯธปท.’ย้ำปี 66 ศก.ไทยโตเกิน 3% แม้โลกเสี่ยง-ดูแลปล่อยสินเชื่อใหม่ลด‘หนี้ครัวเรือน’
กลับสู่ความยั่งยืน!‘ธปท.’เล็งออกมาตรการคุม‘หนี้ครัวเรือน’-ไตรมาส 2 หนี้ทะยาน 14.7 ล้านล.
‘ธปท.’เล็งประกาศแนวนโยบายแก้ปัญหา‘หนี้ครัวเรือน’ หวังกำกับปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีคุณภาพ