‘ชูวิทย์’ บุก ‘คมนาคม’ ตั้งโต๊ะแฉล้อกสเปกรถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.4 แสนล้าน 5 ข้อ ‘ล็อกผู้เดินรถไฟฟ้าแค่ในไทย-แก้เกณฑ์ประมูล-เปิดใช้ดุลยพินิจแทนราคา-กระบวนการยุติธรรมไม่ชอบพามากล-ล็อกเงื่อนไขต้องสร้างรางและอุโมงค์ที่มีคู่สัญญากับรัฐไทย’ ก่อนไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่ศูนย์ร้องเรียน ทำเนียบรัฐบาล
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย เดินทางมายังกระทรวงคมนาคม เพื่อเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวโครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 35.9 กม. วงเงินประมาณ 140,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ ขณะนี้ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นเอกชนที่เสนอเงินตอบแทนที่ผู้ยื่นข้อเสนอจะให้แก่ รฟม. หักลบด้วยจำนวนเงินสนับสนุนค่างานโยธาที่ผู้ยื่นข้อเสนอจะขอรับจาก รฟม.ต่ำสุดที่ 78,287.95 ล้านบาท
โดยฝั่งกระทรวงคมนาคมได้นำนายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และนางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาคอยรับเอกสาร ซึ่งนายชูวิทย์ปฏิเสธที่จะให้ให้เอกสารกับทั้ง 2 คน แต่จะไปยื่นกับศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาลแทน และได้ฝากน้ำยาบ้วนปากให้นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม แต่ตัวแทนกระทรวงทั้ง 2 คน ไม่ได้รับไว้
ต่อมา นายชูวิทย์ กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม แบ่งได้ 2 ช่วง ได้แก่ส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ระยะทาง 22.5 กม. ซึ่งก่อสร้างไปแล้ว 90% และส่วนตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ระยะทาง 13.4 กม. ซึ่งยังประมูลกันอยู่
สำหรับเบื้องหลังของการประมูลที่ล่าช้า เกิดจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายศักดิ์สยามคือ นาย น. และนายทุนตู้กดน้ำชื่อดัง ไปพบกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่มีเครือบริษัท ค. เป็นเจ้าของ โดยมีนายทุนรับเหมาบางแห่งอยู่ด้วย เพื่อตกลงอะไรบางอย่างกัน จากนั้น ก็เกิดการล็อกสเปกขึ้น ซึ่งมีทั้งหมด 5 ล็อก
ล็อกแรกนั้น ในเงื่อนไการประมูล ระบุผู้รับเหมาเปิดกว้างทั่วโลก แต่เรื่องระบบรางและการเดินรถ เปิดให้เฉพาะในไทย ซึ่งการเดินรถไฟฟ้า บริษัทที่มีคุณสมบัติ มีเพียง 2 บริษัทคือ BEM และบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) เท่านั้น
ล็อกครั้งที่ 2 แก้เกณฑ์ กำหนดคุณสมบัติในงานระบบเดินรถและราง เปิดกว้างให้ทั่วโลกเข้ามาประมูล แต่งานรับเหมาเปิดให้เฉพาะในไทย และเพิ่มเงื่อนไขว่า ต้องมีประสบการณ์ในการก่อสร้างรางและอุโมงค์ ซึ่งจะต้องก่อสร้างแล้วเสร็จกับรัฐด้วย ซึ่งมีเพียง 2 บริษัทที่เข้าเกณฑ์คือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ กับ บมจ.ช.การช่าง ส่วน BTS ที่จับคู่กับ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จึงขาดคุณสมบัติ ร่วมประมูลไม่ได้
ล็อกที่ 3 เปิดให้มีการใช้ดุลยพินิจ
ล็อกที่ 4 กระบวนการไม่ชอบมาพากลในกระบวนการยุติธรรม ที่อาจจะมีผลกับการประมูลโครงการ
ล็อกที่ 5 จากการระบุคุณสมบัติ ต้องมีประสบการณ์ในการก่อสร้างรางและอุโมงค์ที่มีอยู่ 2 บริษัท โดยในเวลาต่อมา อิตาเลี่ยนไทยขาดคุณสมบัติ เนื่องจากนายเปรมชัย กรรณสูต ในฐานะผู้บริหารสูงสุดถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก เป็นเวลา 2 ปี 14 เดือนโดยไม่รอลงอาญาในคดีล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
“ผมเป็นประชาชน ผมมีสิทธิ์ ใครจะฟ้องผม ฟ้องไปเลย ขอให้ฟ้องจริง อย่าปากเหม็น ตอนเลือกตั้งระวังให้ดี ผมจะถล่มเละ พอผมส่งข้อมูลให้สภา ก็หาว่าเป็นฝ่ายค้าน พอเข้าทำเนียบฯ ก็หาว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล ผมปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ผมไม่ได้เข้าข้างใคร แต่มันมี 2 เจ้าเอง โดยที่เจ้าหนึ่งเอาเงินจากประชาชนเยอะที่สุด โดยให้อีกเจ้าเป็นคู่เปรียบเทียบ” นายชูวิทย์กล่าวตอนหนึ่ง
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีออกมาระบุว่า มีการจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคารที่สิงคโปร์นั้น จะไปยื่นกับนายกรัฐมนตรีด้วยหรือไม่ นายชูวิทย์ระบุว่า โครงการนี้ยังไม่เริ่ม แต่คิดไหมว่า จะต้องมีการคุยกัน และตนไม่ได้บอกว่า จะมีการให้ทั้งหมด 30,000 ล้านบาท และขอไม่เปิดเผยถึงเลขที่บัญชีและเจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าว
เมื่อถามอีกว่า การออกมาแฉตรงนี้ คาดหวังให้มีการยกเลิกการประมูล เพื่อกลับไปสู่หลักเกณฑ์การประมูลที่ถูกต้องหรือไม่ นายชูวิทย์ ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่คนกำหนดกฎเกณฑ์ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จาก ใช้ราคาต่ำสุด เป็นใช้ดุลยพินิจ ตรงนี้คือหัวใจว่า ดุลยพินินจของกรรมการแต่ละคน มันวิ่งเต้นได้ ทำไมไม่ใช่เกณฑ์ราคาเหมือนเดิม เมื่อมีคุณสมบัติหลักเกณฑ์แล้ว ทำไมไม่ดูราคา การใช้ดุลยพินิจมันใช้ได้หรือไม่ แล้วเงินที่ทอนกันตกกับใคร ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้ เงินตกกับใคร ตนไม่ทราบ
ขณะที่การพิจารณายื่นเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.นั้น นายชูวิทย์ มอง่วา ปัจจุบัน ป.ป.ช. ถูกล่ามโซ่ไว้โดยผู้มีอำนาจปัจจุบัน เพื่อต่อรองทางการเมือง ระบบการเมืองมีอยู่แค่นี้
ต่อมา นายชูวิทย์เดินทางไปยังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งในหนังสือที่นายชูวิทย์ทำถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีรายละเอียด ดังนี้ (ตามภาพด้านล่าง)
อ่านประกอบ
- ‘ศักดิ์สยาม’ สอน ‘ชูวิทย์’ รถไฟฟ้าสายสีส้ม อย่าพูดลอยๆ ต้องมีหลักฐานชัดๆ
- ‘ชูวิทย์’ แฉสายสีส้มมีพิรุธ ‘เงินทอน-กระบวนการยุติธรรม’ รฟม.โต้โปร่งใสทุกขั้นตอน
- ส่อผิดกม.ฮั้ว! ฝ่ายค้านฯยื่น‘ป.ป.ช.’ไต่สวน‘บิ๊กตู่-ศักดิ์สยาม’กรณีประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ
- ‘รฟม.’ โต้ ‘คีรี’ ยันประมูลรถไฟฟ้า ‘สายสีส้มฯ’ โปร่งใส-ย้ำข้อเสนอ BTS ไม่น่าเชื่อถือ
- อย่าให้เกินไป! ‘คีรี’จี้‘บิ๊กตู่’ทบทวนประมูล‘สายสีส้มฯ’-ชี้ปัญหาคอร์รัปชันไทยรุนแรงมาก
- ปากพูดแต่ไม่ทำจริง! ACT ชี้ภาคการเมืองต้นตอ‘คอร์รัปชัน’-BTS ยกประมูล‘สายสีส้มฯ’สุดแปลก
- ‘ศักดิ์สยาม’ชี้ ‘สายสีส้ม’ รอศาลตัดสินจบทุกคดี โยน ‘รฟม.’ ตอบรับโอน ‘สายสีเขียว’
- ยัน'โปร่งใส-ตรวจสอบได้'! 'รฟม.' แจง 5 ประเด็น ปมคัดค้านผลประมูลรถไฟฟ้า 'สายสีส้มฯ'
- ‘เวทีสาธารณะฯ’ จี้รัฐบาลตรวจสอบประมูล ‘สายสีส้ม’-ตั้งคำถามปม ‘ส่วนต่าง’ 6.8 หมื่นล้าน
- รฟม.โต้ ACT ยันประมูล‘สายสีส้ม’เปิดกว้าง-ชี้ส่วนต่างผลปย.รัฐ 6.8 หมื่นล.ไม่น่าเชื่อถือ
- เสนอผลปย.ต่างกัน 6.8 หมื่นล.! ACT ออกแถลงการณ์ ร้อง‘บิ๊กตู่’สอบประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ
- BTS ยันข้อเสนอขอรัฐอุดหนุนรถไฟฟ้า 'สายสีส้ม' 9 พันล. ทำได้จริง-ย้ำประมูลส่อไม่สุจริต
- ‘บอร์ดคัดเลือกฯ’เคาะ BEM ชนะประมูลรถไฟฟ้า‘สายสีส้ม’-ผู้ว่าฯรฟม.ยกเลิกแถลงข่าวกระทันหัน