“…ผู้ฟ้องคดีอีกสถานะหนึ่ง คือ นายทะเบียนได้รับทราบความเดือดร้อน และความคับข้องใจของประชาชนที่ได้รับใบสั่งที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ถูกต้องจำนวนมาก ซึ่งผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลได้เผชิญสืบข้อเท็จจริงได้จากสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ แต่ด้วยความที่ประชาชนไม่มีความรู้ในข้อกฎหมายและไม่ประสงค์จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ จึงทำให้ต้องจำยอมชำระค่าปรับ…”
.......................................
สืบเนื่องจากกรณีที่ ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2114/2566 หมายเลขแดงที่ อ.50/2568 ซึ่งเป็นคดีที่ สุภา โชติงาม หรือจอมพันธ์ ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ตร. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2)
กรณีออกประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาให้เพิกถอนประกาศฯทั้ง 2 ฉบับ โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา นั้น (อ่านประกอบ : ไม่แจ้งสิทธิฯ-ใช้ดุลพินิจขัดกม.!‘ศาลปค.สูงสุด’สั่งเพิกถอนประกาศฯ‘แบบใบสั่ง-ค่าปรับจราจร’)
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำเสนอรายละเอียดของ ‘คำวินิจฉัย’ ของศาลปกครองสูงสุด ในคดีดังกล่าว มีดังนี้
@ประกาศ‘แบบใบสั่งฯ’ ขัดรัฐธรรมนูญ เหตุไม่แจ้งสิทธิโต้แย้ง
คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 รวม 2 ประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ... โดยที่ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิด และบทกำหนดโทษแก่บุคคลให้ต้องรับผิดในทางอาญา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างวินัยในการใช้รถใช้ถนน กำหนดมาตรการเพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ชีวิตร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนในการจราจร
รวมทั้งกำหนดหน้าที่และอำนาจของเจ้าพนักงานจราจรไว้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบกเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว บัญญัติให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานจราจรในการใช้ดุลพินิจ ที่จะว่ากล่าวตักเตือน
หรือออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ ในกรณีที่พบว่าผู้นั้นฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่เป็นความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนและมีโทษปรับ
ประกอบกับการออกใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจรมีลักษณะเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ขับขี่ เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถ เพื่อให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหา พร้อมแจ้งจำนวนค่าปรับเพื่อให้ชำระภายในเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง เมื่อผู้ขับขี่ เจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถได้รับใบสั่งตามมาตรา 140 และได้ชำระค่าปรับครบถ้วนให้คดีเป็นอันเลิกกัน ตามมาตรา 141 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน
แต่โดยที่ในคดีอาญา นั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้
เมื่อ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับความผิดและบทกำหนดโทษแก่บุคคลให้ต้องรับผิดในทางอาญา การดำเนินการตามกฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 25 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประกอบกับการเปรียบเทียบปรับ หมายความว่า การที่ผู้กระทำผิดยินยอมชำระเงินตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด เพราะได้กระทำผิด ก่อนที่ศาลจะพิจารณา และผลการเปรียบเทียบมีผลทำให้คดีเลิกกันตามมาตรา 37หรือสิทธินำคดีมาฟ้องระงับไปตามมาตรา 39 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แต่ทั้งนี้ ความยินยอมนั้นจะต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ หลังจากได้ทราบถึงข้อหาความผิดที่ตนได้กระทำ และจำนวนค่าปรับที่จะต้องชำระ รวมถึงสิทธิที่จะสามารถไม่ปฏิบัติตามใบสั่ง และโต้แย้งหรือนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลด้วย แต่จงใจสละเสียเองซึงสิทธิหรือโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาของศาล และยอมเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบของพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชำระเงินตามจำนวนที่เปรียบเทียบเพื่อให้คดีเลิกกัน
เมื่อพิจารณาแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 แล้ว จะเห็นได้ว่า แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว
มีข้อความเกี่ยวกับข้อมูลผู้ขับขี่และรถ ฐานความผิดหรือข้อหา และการกระทำอันเป็นเหตุแห่งการกล่าวหา ผู้ออกใบสั่งและจำนวนค่าปรับ โดยกำหนดให้ผู้ขับขี่ เจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถที่ได้รับใบสั่งไปชำระค่าปรับภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบสั่ง
และด้านหลังใบสั่งได้ระบุวิธีการชำระค่าปรับ และคำเตือน เช่น การไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นความผิดตามมาตรา 155 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยไม่มีการระบุให้ทราบถึงสิทธิในการโต้แย้ง เพื่อนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลตามกระบวนวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป
เมื่อการออกใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจร มีลักษณะเป็นการแจ้งข้อกล่าวหา การที่แบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 ไม่มีข้อความแจ้งสิทธิการปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งกระทำความผิดตามใบสั่งไว้
แม้จะไม่ทำให้สิทธิในการปฏิเสธหรือโต้แย้งหรือแก้ข้อกล่าวหาของผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถที่ได้รับใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรนั้น จะเสียไปตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อุทธรณ์ก็ตาม
แต่สิทธิในการปฏิเสธหรือโต้แย้งที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กล่าวอ้างตามมาตรา 141/1 วรรคหนึ่ง (2) (ง) แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 นั้น เป็นกรณีที่เจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ ได้รับแจ้งจากนายทะเบียนรับชำระภาษีประจำปีสำหรับรถคันนั้น
และเห็นว่าตนมิได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรหรือกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถ จึงเป็นกรณีที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ ได้รับใบสั่งจราจรแล้ว อันเป็นสิทธิในการโต้แย้งคนละขั้นตอน
การออกประกาศกำหนดแบบใบสั่งดังกล่าว โดยไม่มีข้อความคำเตือนการปฏิเสธความผิดตามใบสั่ง แต่กลับปรากฎคำเตือนว่าจะต้องชำระภายในกำหนด หากมิได้ชำระภายในกำหนดโดยโดยไม่มีเหตุอันสมควร อาจต้องรับผิดและต้องรับโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ตามมาตรา 155 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวอีกกระทงหนึ่งนั้น
ย่อมทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจได้ว่า ตนเป็นผู้มีความผิด และมีหน้าที่หรืออยู่ในบังคับต้องชำระค่าปรับตามใบสั่งดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่อาจปฏิเสธ โต้แย้ง หรือดำเนินการในประการอื่นได้ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อสิทธิที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองคุ้มครองไว้ตามมาตรา 29 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูแห่งราชอาณาจักรไทย จึงไม่อาจปฏิบัติต่อผู้รับใบสั่ง เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดได้
กรณีจึงเห็นได้ว่า การกำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 โดยมิได้มีการแจ้งให้ทราบถึงสิทธิการปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งการกระทำความผิดทั้งยังมีข้อความคำเตือนหากไม่ชำระตามกำหนดต้องรับโทษ
อันมีลักษณะเป็นการยืนยันว่า ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ ซึ่งได้รับใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร เป็นผู้มีความผิด โดยผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถ หรือผู้ครอบครองรถ ซึ่งได้รับใบสั่งยังมิได้มีการรับสารภาพตามข้อกล่าวหา และ แสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบและชำระค่าปรับตามใบสั่ง อันจะทำให้คดีเป็นอันเลิกกัน ตามมาตรา 141 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 แต่อย่างใด อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงฟังไม่ขึ้น
ดังนั้น ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 ที่กำหนดแบบใบสั่ง โดยมิได้แจ้งให้ทราบถึงสิทธิการปฏิเสธหรืออุทธรณ์โต้แย้งการกระทำความผิด มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป โดยไม่ได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ
จึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 29 วรรคสอง และใช้บังคับมิได้ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 จึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@กำหนด‘ค่าปรับ’ไม่ชอบ ‘ผบ.ตร.’ใช้ดุลพินิจแทนเจ้าพนักงาน
ประเด็นที่สอง ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2562 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า .... การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ได้ออกประกาศพิพาท โดยข้อ 3 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า กำหนดจำนวนค่าปรับเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นไปตามบัญชีแนบท้ายประกาศนี้ และวรรคสอง กำหนดว่า บรรดาประกาศข้อกำหนด หรือคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในประกาศนี้ หรือซึ่งขัดหรือแย้งกับประกาศนี้ ให้ใช้ประกาศนี้แทน
โดยบัญชีแนบท้ายประกาศดังกล่าว ได้กำหนดจำนวนค่าปรับเกี่ยวกับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ไว้เป็นการล่วงหน้า ในอัตราคงที่แน่นอนตายตัว
ทั้งที่มาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ได้บัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานจราจร ในกรณีที่พบเห็นผู้กระทำความผิดหรือฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายด้วยตนเอง หรือโดยการใช้เครื่องมือ กรณีความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว หรือมีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนและมีโทษปรับ ให้ดำเนินการว่ากล่าวตักเตือนหรือออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้
แต่โดยที่การกำหนดจำนวนค่าปรับ ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มิได้มีลักษณะเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจว่า กรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 หรือกฎหมายอื่นเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง
การกระทำของผู้ขับขี่ดังกล่าว สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะว่ากล่าวตักเตือน เช่น กรณีมีเหตุจำเป็น หรือเป็นการกระทำความผิดครั้งแรก หรือการกระทำของผู้ขับขี่สมควรที่เจ้าพนักงานจราจรจะออกใบสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับหรือไม่และเป็นจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้เป็นจำนวนเท่าใด หรือแม้แต่กรณีที่ไม่พบด้วยตนเอง หรือเป็นการใช้เครื่องอุปกรณ์ต่างๆ เจ้าพนักงานจราจร ย่อมมีดุลพินิจดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ออกประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจร หรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น อันเป็นการขัดหรือแย้งกับมาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2566
แม้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จะมีอำนาจในการกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ตามมาตรา 140 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว และจำนวนค่าปรับที่กำหนดจะไม่เกินจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดก็ตาม แต่อำนาจเช่นว่านั้นจะต้องเป็นการกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจในการเปรียบเทียบปรับได้ มิใช่เป็นการกำหนดจำนวนค่าปรับที่มีลักษณะคงที่และแน่นอน
ดังนั้น ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 จึงขัดหรือแย้งกับมาตรา 140 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 อันเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการออกประกาศพิพาทดังกล่าว
ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 จึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
@ตร.ออกประกาศฉบับใหม่ แต่ยังเนื้อหาที่ขัดต่อกฎหมาย
แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุดข้อเท็จจริงปรากฏตามคำแถลงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ว่า ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563
ถูกยกเลิก โดยประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2566 เป็นต้นมา
คดีจึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า เหตุแห่งการฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 หมดสิ้นไปแล้วหรือไม่
และศาลปกครองสูงสุดมีอำนาจเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถ หรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 หรือไม่ เพียงใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า .... ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 140 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 โดยเนื้อหาของประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว
มีลักษณะเช่นเดียวกันกับประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563
เพียงแต่กำหนดจำนวนค่าปรับสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร พ.ศ.2522 ล่วงหน้าในอัตราคงที่จำนวนเท่าเดิมตามประกาศหรือที่สูงขึ้นจากอัตราเดิม ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และกำหนดจำนวนค่าปรับสำหรับความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทาง ที่มีโทษปรับสถานเดียว
และยังเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับกับผู้กระทำความผิดแทนเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าพนักงานในตำแหน่งอื่น ซึ่งศาลวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการออกกฎโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดังนั้น ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 ที่ออกมาภายหลังจึงเป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
กรณีไม่อาจถือได้ว่าเหตุแห่งการฟ้องคดีเพื่อขอให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 หมดสิ้นไป ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กล่าวอ้าง
แต่โดยที่ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 ได้ถูกยกเลิกไป โดยผลของประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2563
ศาลจึงไม่จำเป็นต้องกำหนดคำบังคับให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 แต่อย่างใด
และการที่ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 เป็นกฎที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ถือเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลปกครองสูงสุดสามารถยกขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งได้ และมีอำนาจเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวได้ ตามข้อ 92 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด
@สั่งเพิกถอนประกาศฯ 2 ฉบับหลังพ้นระยะเวลา 180 วัน
เมื่อคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจนัยแล้วว่า ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 เป็นกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
กรณีจึงมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า ศาลจำต้องกำหนดคำบังคับเกี่ยวกับการเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่เมื่อใด
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ...แม้ว่าคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดจะวินิจฉัยว่าประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิพาทดังกล่าวจะไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่โดยที่เจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้ให้เหตุผลว่า ปัจจุบันการเกิดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่ผู้ขับขี่ขาดวินัยในการใช้รถใช้ถนน และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก
กรณีจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนในการจราจรและประโยชน์สาธารณะ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิพาทในคดีนี้ จึงถือเป็นเครื่องมือหรือมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานจราจร ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ประกอบกับปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ โดยการกำหนดรูปแบบใบสั่งให้มีข้อความคำเตือนดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาก่อน และกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบได้ ให้มีลักษณะที่เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจให้เป็นไปตามมาตรา 140 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522
ในการว่ากล่าวตักเตือน หรือใช้ดลพินิจในการกำหนดจำนวนค่าปรับไม่เกินจำนวนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กำหนดตามมาตรา 140 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้
เช่น กรณีตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 ลำดับที่ 133 ฐานความผิดไม่ขับรถด้วยอัตราความเร็วตามที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้ง
จำนวนค่าปรับควรกำหนดเป็นครั้งที่ 1 ว่ากล่าวตักเตือน หรือใช้ดุลพินิจที่จะไม่ว่ากล่าวตักเตือน แต่สมควรใช้ดุลพินิจปรับครั้งนี้ไม่เกินจำนวนเท่าใด และหากกระทำความผิดครั้งต่อไปจะปรับเป็นจำนวนเท่าใด รวมถึงการกระทำความผิดหลายครั้งในฐานความผิดเดียวกันภายในวันเดียวกัน ควรมีการกำหนดเป็นประการใด เพื่อให้เจ้าพนักงานจราจรสามารถใช้ดุลพินิจในการว่ากล่าวตักเตือนหรือเปรียบเทียบปรับตามสมควรแต่ละกรณีได้
ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 140 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.เดียวกัน ในการกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบและแบบของใบสั่งอยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้น อีกทั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยังสามารถดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าวได้อยู่แล้ว
ดังนั้น จึงยังไม่สมควรพิพากษาให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงกงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ.2563 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566 โดยให้มีผลทันที หรือให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะและการบังคับใช้กฎหมาย
“การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศดังกล่าว และยกฟ้องในส่วนที่ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วยบางส่วน
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2566 ลงวันที่ 23 มี.ค.2566
โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก” คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.2114/2566 หมายเลขแดงที่ อ.50/2568 ลงวันที่ 20 ม.ค.2568 ระบุ
@‘สุภา โชติงาม’ชี้พฤติการณ์‘ตร.’มีเจตรนาแอบแฝงบีบจ่ายค่าปรับ
อนึ่ง ในคดีนี้ ผู้ฟ้องคดี (สุภา โชติงาม) ได้ชี้แจงต่อศาลปกครองสูงสุด ว่า ผู้ฟ้องคดี มิได้รู้จักผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองหรือรู้สึกไม่พึงพอใจ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 หรือบุคลากรที่เป็นข้าราชการตำรวจหรือองค์กรตำรวจแต่อย่างใด
แต่เหตุผลที่ได้ยื่นฟ้องเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ลงวันที่ 20 ก.ค.2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับที่เปรียบเทียบสำหรับควาบความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2562 รวมจำนวนสองฉบับ นั้น
ผู้ฟ้องคดีได้เห็นถึงการเสนอร่างกฎหมายที่มีนัยซ่อนเร้น ขัดต่อหลักนิติธรรม และกระบวนการนิติธรรมทางอาญาตั้งแต่ขั้นตอน การเสนอให้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2560 ลงวันที่ 21 มี.ค.2560 และ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562 ตลอดจนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสองฉบับ
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้มีความพยายามที่จะเสนอกฎหมาย เพื่อให้เกิดมาตรการบังคับค่าปรับให้ได้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่พยายามเสนอแก้ไขกฎหมายจราจรทางบก เพื่อให้นำมาตรการบังคับค่าปรับ โดยให้นายทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก งดรับชำระภาษีประจำปีไว้ จนกว่าจะได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่ามีการชำระค่าปรับเรียบร้อยแล้ว
แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการในสภาวะปกติไม่เห็นพ้องด้วย หากจะกระทำได้ ก็แต่เพียงเพิ่มช่องทางการชำระค่าปรับ โดยให้กรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานชำระค่าปรับแทนผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) อีกช่องทางหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหมายถึงได้มีการปฏิบัติตามหลักการแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาครบถ้วนแล้ว คือ ผู้ถูกกล่าวหารับทราบข้อกล่าวหาและยินยอมชำระค่าปรับด้วยความสมัครใจ
แต่เมื่อครั้งการบริหารราชการแผ่นดิน โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้เสนอให้ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 14/2560 ลงวันที่ 21 มี.ค.2560 โดยนำหลักการเกี่ยวกับการ งดออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีมาบีบบังคับประชาชนให้ต้องยินยอมชำระค่าปรับไปพร้อมกับการชำระภาษีประจำปี
และต่อมาได้มีการเสนอให้มี พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2562 ซึ่งกำหนดหลักการสำคัญที่มีนัยซ่อนเร้น คือ การยกเลิกการเรียกเก็บใบอนุญาตขับรถ ซึ่งให้เหตุผลว่า เพื่อให้ผู้กระทำความผิดยังสามารถขับรถต่อไปได้
โดยมีเจตนาแอบแฝงที่จะนำหลักการเชื่อมโยงข้อมูลค่าปรับตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้กรมการขนส่งทางบกรับชำระค่าปรับแทน ซึ่งหากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ต้องการให้ผู้ขับขี่มีการเคารพฎจราจรและปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน
มาตรการการเรียกเก็บใบอนุญาตขับรถ ย่อมเป็นมาตรการที่ได้ผลยิ่งกว่าการเปรียบเทียบปรับ ทำให้ผู้ขับขี่เกิดความเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด และทำให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ซึ่งหากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากเจ้าพนักงานจราจรหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านการจราจร
ย่อมได้รับทราบข้อมูลว่า การยกเลิกการเรียกเก็บใบอนุญาตขับรถ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมผู้ขับขี่ ทำให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายมากขึ้นจนปัจจุบันยากที่จะควบคุม และเพื่อวัตถุประสงค์ให้มีการชำระค่าปรับตามใบสั่งมากขึ้น อันจะทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รับส่วนแบ่งเงินสินบนรางวัล
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงได้มีการออกอนุบัญญัติ ได้แก่ ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้งสองฉบับที่ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องเพิกถอน โดยแบบใบสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ ได้ตัดข้อความในส่วนของการแจ้งสิทธิและปฏิเสธข้อกล่าวหาออก พร้อมกับออกประกาศเพื่อกำหนดอัตราค่าปรับที่แน่นอนตายตัว ตัดอำนาจการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ทำให้อัตราค่าปรับเป็นจำนวนเดียวกันทั้งประเทศ
และมีการเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้นายทะเบียนงดออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี ซึ่งหากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยังคงให้แบบใบสั่งมีข้อความแจ้งสิทธิ และให้โอกาสประชาชนผู้รับใบสั่งได้ทราบและโต้แย้งได้โดยสะดวกและมีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมทำให้มาตรการเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งเพื่อการบังคับชำระค่าปรับของผู้ถูกฟ้องคดี จะไม่สัมฤทธิ์ตามที่ตั้งเป้าประสงค์ไว้
พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ในขณะที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้อง เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญาเช่นเดียวกับกฎหมายทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ.2522 ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมายดังกล่าวได้มีการปฏิบัติเป็นไปตามกระบวนการ ขั้นตอน และระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
โดยที่มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและในฐานะหน่วยงานของรัฐ จึงต้องยึดถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
ผู้ฟ้องคดีอีกสถานะหนึ่ง คือ นายทะเบียนได้รับทราบความเดือดร้อน และความคับข้องใจของประชาชนที่ได้รับใบสั่งที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ถูกต้องจำนวนมาก ซึ่งผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลได้เผชิญสืบข้อเท็จจริงได้จากสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ แต่ด้วยความที่ประชาชนไม่มีความรู้ในข้อกฎหมายและไม่ประสงค์จะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการดำเนินการ จึงทำให้ต้องจำยอมชำระค่าปรับ
นอกจากนี้ การประชาสัมพันธ์การโต้แย้งใบสั่งแทบจะไม่สามารถสื่อสารไปยังประชาชนได้ เนื่องจากดำเนินการเพียงจำนวนไม่กี่ครั้ง ไม่สามารถเข้าถึงและสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนได้
กรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อ้างว่า การไม่มีข้อความในส่วนบันทึกของผู้ต้องหาและพนักงานสอบสวน มิได้ทำให้สิทธิในการปฏิเสธหรือโต้แย้งข้อกล่าวหาของผู้ขับขี่ เจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถต้องเสียไป นั้น เนื่องจากตามหลักการปฏิบัติราชการที่ดีและหลักการของกฎหมายรัฐธรรมไม่ว่าทางอาญาหรือวินัยหรือการใช้สิทธิทางศาล จำต้องมีการแจ้งสิทธิให้ผู้รับคำสั่งได้ทราบ เพื่อให้สามารถต่อสู้คดีได้เต็มที่และเป็นธรรม
และจากเนื้อหาในแบบใบสั่งที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกำหนดขึ้น เมื่ออ่านแล้วย่อมเข้าใจว่า ตนมีหน้าที่ต้องชำระค่าปรับตามอัตราที่กำหนดเท่านั้น แม้ประสงค์จะโต้แย้งคัดค้านก็ไม่อาจทราบได้ว่า จะต้องติดต่อไปยังเจ้าพนักงานท่านใด ที่ใด
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แถลงต่อศาลว่า พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 เป็นกฎหมายพิเศษที่มีบทบัญญัติเป็นการเฉพาะในการแจ้งข้อกล่าวหา จึงไม่อาจรับฟังได้ เนื่องจากหลักการให้ความเป็นธรรมทางอาญาไม่อาจถูกยกเว้นได้
อีกทั้งโดยเจตนารมณ์แห่งกฎหมายจราจรทางบกโดยแท้ บัญญัติขึ้นเพื่อให้อำนาจเจ้าพนักงานในการควบคุมวินัยจราจร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้รถ ใช้ถนน มิได้มีเจตนารมณ์ที่มุ่งหมายแต่จะลงโทษ
ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ชี้แจงทางสถานีวิทยุนั้น ผู้ฟ้องคดีในขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักกฎหมายได้เข้าร่วมการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งปัจจุบันได้ประกาศบังคับใช้เป็น พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2562
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้เป็นผู้แทนชี้แจงต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาและได้อธิบายแนวคิดในการดำเนินการในกรณีต่างๆที่เกี่ยวข้องในประเด็นแห่งคดีนี้ให้ผู้ฟ้องคดีฟังว่า การกำหนดอัตราค่าปรับเพื่อให้ทุกข้อหาความผิด ไม่ว่าจะกระทำที่ใดจะถูกลงโทษในอัตราเดียวกัน จะทำให้เกิดความเป็นธรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีไม่อาจเห็นพ้องด้วย เนื่องจากแม้จะเป็นความผิดข้อหาเดียวกันแต่พฤติการณ์แห่งการกระทำอาจมีความแตกต่างกัน
อีกทั้งยังต้องพิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจ ท้องที่ที่กระทำ การกระทำผิดซ้ำ และองค์ประกอบและปัจจัยอื่นๆ เมื่อมีการออกประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาตพิพาท พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งเป็นผู้แทน ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองในขณะนั้น และเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานจราจรได้ชี้แจงผ่านสื่อมวลชน
จึงเป็นกรณีที่เห็นได้ชัดแจ้งว่าประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติดังกล่าว มีเจตนารมณ์ที่ต้องการตัดอำนาจการใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานจราจร ปัจจุบันการกำหนดอัตราค่าปรับในใบสั่งยังใช้เกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในประกาศพิพาท ไม่มีการใช้ดุลพินิจพิจารณาของพนักงานเจ้าหน้าที่แต่ประการใด โดยเรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ง่ายเป็นการทั่วไป
กฎหมายจราจรทางบกมีวัตถุประสงค์ในการควบคุมและสร้างวินัยในการขับขี่และการใช้รถใช้ถนน แต่ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การฝ่าฝืนกฎจราจรหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจรมีจำนวนมาก อัตราการชำระค่าปรับจำนวนเกือบร้อยละ 100 ที่กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บเป็นดัชนีชี้วัดว่า การบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองขาดประสิทธิภาพ
จำนวนเงินค่าปรับที่กรมการขนส่งทางบกจัดเก็บให้แก่หน่วยงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ณ ปัจจุบันเป็นจำนวนเงินกว่า 200 ล้านบาท ไม่ได้ถูกนำกลับไปใช้ในการเพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพราะการออกแบบกฎหมายที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และมีนัยแอบแฝงเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ
หลักการกฎหมายที่ดีจึงถูกยกเลิกทิ้งเสีย ขาดความเอาจริงเอาจังในการจับกุมในข้อหาความผิดที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย ลดจำนวนเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกและควบคุมการจราจร แต่วิธีติดตั้งกล้องออกใบสั่งเฉพาะความผิดง่ายๆ ซ้ำๆ เพื่อให้ได้รับค่าปรับจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีการวินิจฉัยว่า มาตรการเชื่อมโยงข้อมูลใบสั่งเพื่อการบังคับชำระค่าปรับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้นายทะเบียนงดออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี หากไม่มีการชำระค่าปรับตามใบสั่ง นั้น เป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากประเด็นดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในคำขอของผู้ฟ้องคดี
เหล่านี้เป็นคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในคดีการ ‘กำหนดแบบใบสั่งและค่าปรับจราจร’ ล่าสุด ซึ่งศาลฯพิพากษาได้เพิกถอนประกาศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั้ง 2 ฉบับ โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
อ่านประกอบ :
ไม่แจ้งสิทธิฯ-ใช้ดุลพินิจขัดกม.!‘ศาลปค.สูงสุด’สั่งเพิกถอนประกาศฯ‘แบบใบสั่ง-ค่าปรับจราจร’
ไม่ทำตามกม.ให้ครบถ้วน! ศาลฯสั่ง‘ขบ.’ชดใช้ 3 พัน ชะลอออกป้ายเสียภาษี‘ผู้ขับขี่’ค้างค่าปรับ
‘สุภา โชติงาม’ ฟ้อง สตช. MOU ขนส่งค่าปรับจราจรไม่ชอบกม. ศาลนัดฟัง 19 พ.ย.นี้
‘ไม่จ่ายค่าปรับ-ปฏิเสธข้อกล่าวหา’ให้ส่งฟ้องศาล! ‘ตร.’แพร่แนวทางออก‘ใบสั่งจราจร’ใหม่
‘บิ๊กโจ๊ก’รื้อเกณฑ์ออก‘ใบสั่งฯ’ใหม่ ให้สิทธิผู้ขับขี่โต้แย้ง-จ่ายค่าปรับเหมาะสมพฤติการณ์
เปิดตัว‘สุภา โชติงาม’ผู้ฟ้อง‘ตร.’ จน’ศาล ปค.’สั่งเพิกถอนประกาศฯ‘ค่าปรับจราจร-แบบใบสั่ง’
ตร.จ่ออุทธรณ์คดีเพิกถอนประกาศฯ'ค่าปรับจราจร-แบบใบสั่ง'-'บิ๊กโจ๊ก'สั่งจนท.ปฏิบัติตามเดิม
ผู้ขับขี่ไม่เสียสิทธิปฏิเสธ! ความเห็นแย้ง‘ตุลาการเสียงข้างน้อย’คดีถอนประกาศฯ‘แบบใบสั่งฯ’
ตัดอำนาจจนท.-ไม่แจ้งสิทธิโต้แย้ง! พลิกคดี‘ศาล ปค.’สั่งถอนประกาศฯ‘ค่าปรับจราจร-แบบใบสั่ง’
ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ ก.ค.63!‘ศาล ปค.’สั่งเพิกถอนประกาศฯกำหนด‘ค่าปรับจราจร-แบบใบสั่ง’