"...คณะกรรมการฯ แสดงความกังวลและหารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงมีความเปราะบางทั้งมิติด้านการจ้างงานและด้านรายได้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า แม้ล่าสุดภาคธุรกิจบางส่วนจะเริ่มกลับมาทำการได้หลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 แต่การจ้างงานและรายได้ของแรงงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภาวะปกติมาก..."
...............
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2563 สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 6/2563 วันที่ 23 ก.ย.2563
กรรมการที่เข้าร่วมประชุม : นายวิรไท สันติประภพ (ประธาน) ,นายเมธี สุภาพงษ์ (รองประธาน) ,นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ,นายคณิศ แสงสุพรรณ ,นายสุภัค ศิวะรักษ์ ,นายสมชัย จิตสุชน
ภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้เครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดในหลายประเทศ จะทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ระดับของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมในหลายประเทศยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 มาก เศรษฐกิจอุตสาหกรรมหลักและเอเชีย (ไม่รวมจีน) มีแนวโน้มหดตัวในปีนี้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจเอเชียที่มีแนวโน้มหดตัวมากกว่าคาดจากการแพร่ระบาดที่ยังรุนแรงในหลายประเทศและการระบาดระลอกใหม่ในบางประเทศที่ทำให้ทางการต้องประกาศใช้มาตรการควบคุมการระบาดอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ทางการประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มหลีกเลี่ยงมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดเพื่อลดทอนผลกระทบทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มขยายตัวได้เล็กน้อยจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยปรับดีขึ้นต่อเนื่องหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด นโยบายการเงินของประเทศต่าง ๆ ผ่อนคลายต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำเป็นเวลานานขึ้นจากการปรับกรอบนโยบายโดยใช้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเป็นเป้าหมาย (flexible average inflation targeting) ธนาคารกลางประเทศอุตสาหกรรมหลักคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่ำพร้อมกับคงมาตรการเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน (asset purchases) ขณะที่ธนาคารกลางในภูมิภาคหลายแห่งคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ
เศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีโอกาสที่จะขยายตัวต่ำกว่าคาด จาก (1) การระบาดของ COVID-19 ที่อาจรุนแรงขึ้นจนทำให้หลายประเทศกลับมาดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวดอีกครั้ง (2) ความเปราะบางของเสถียรภาพระบบการเงินโลก จากความเสี่ยงที่ตราสารหนี้ภาคเอกชนมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นหรือ
ตราสารหนี้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (3) นโยบายกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่อาจกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
คณะกรรมการฯ อภิปรายเพิ่มเติมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และประเมินว่าความต่อเนื่องของการฟื้นตัวยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก โดยกิจกรรมทางเศรษฐกิจล่าสุดที่กลับมาขยายตัวได้บ้างหลังจากที่หดตัวรุนแรงในไตรมาสที่ 2 ส่วนสำคัญมาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ การใช้จ่ายเพื่อชดเชยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงักในช่วงก่อนหน้า และการใช้จ่ายเพื่อรองรับบริบทใหม่ภายใต้การระบาดของ COVID-19 อาทิ การทำงานจากที่บ้าน
ขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจที่จะสนับสนุนให้การบริโภคขยายตัวอย่างต่อเนื่องยังคงอ่อนแออยู่มาก โดยเฉพาะการว่างงานที่อาจฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ติดตามประเด็นดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย
ภาวะตลาดการเงิน
ความผันผวนในตลาดการเงินโลกทรงตัวจากการประชุมครั้งก่อน โดยนักลงทุนยังรอดูพัฒนาการของเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทั้งการเจรจาการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงระมัดระวังในการเลือกประเภทสินทรัพย์และกลุ่มประเทศที่กลับเข้าไปลงทุน สะท้อนจากปริมาณเงินทุนที่ไหลกลับเข้าตลาดตราสารหนี้และตราสารทุนแตกต่างกันในแต่ละประเทศของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (emerging markets: EMs)
ด้านราคาสินทรัพย์ส่วนใหญ่ทรงตัวจากการประชุมครั้งก่อน ยกเว้นตราสารทุนในกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการปรับฐานราคาลงหลังจากที่เร่งไปมากในช่วงก่อนหน้า รวมถึงความกังวลของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากประเด็นความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน สำหรับภาวะตลาดการเงินของไทย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทรงตัวในระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลเริ่มปรับลดลงบ้างในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี ด้านสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวน้อยลง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการสินเชื่อของภาครัฐและการเลื่อนกำหนดชำระหนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าสภาพคล่องโดยรวมในระบบการเงินยังอยู่ในระดับสูง แต่ต้องเร่งดำเนินการให้กระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทอ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. และเงินสกุลภูมิภาคส่วนใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยภายในประเทศ อาทิ การพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่ในประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการประกาศลาออกจากตำแหน่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและการชุมนุมประท้วงทางการเมือง รวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักรที่ยังไม่ได้ข้อยุติในหลายประเด็น และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่รุนแรงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
สำหรับดัชนีค่าเงินบาท (nominal effective exchange rate: NEER) โดยรวมปรับอ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อน คณะกรรมการฯ เห็นว่าหากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดการเงินและตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม โดยเฉพาะการเร่งสร้างสมดุลของเงินทุนเคลื่อนย้าย โดยเอื้อให้ภาคเอกชนสามารถทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศได้สะดวกขึ้นและสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เสรีขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและเสถียรภาพระบบการเงิน
เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ในไทยและการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก อย่างไรก็ตาม กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดมาก การส่งออกสินค้า มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในหลายหมวดสินค้า โดยการฟื้นตัวยังอยู่ในระดับต่ำและช้ากว่าเศรษฐกิจภูมิภาค เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าในหมวดที่ฟื้นตัวช้า (เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน) สูงกว่าภูมิภาคโดยเปรียบเทียบ
การส่งออกบริการ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดจากการระบาดระลอกใหม่ในบางประเทศ และมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง การบริโภคภาคเอกชน ทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด แต่ประเมินว่าการบริโภคภาคเอกชนยังคงเปราะบางจากหลายปัจจัย อาทิ รายได้ของครัวเรือนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าตามสภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงอ่อนแอ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงขึ้น การลงทุนภาคเอกชน มีแนวโน้มหดตัวสูงจากกำลังการผลิตส่วนเกินที่มีอยู่มากและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนในระยะข้างหน้ายังมีแรงสนับสนุนอยู่บ้างจากแผนการย้ายฐานการผลิตมาไทยในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และโครงสร้างพื้นฐานรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีแนวโน้มดำเนินการได้ต่อเนื่อง การใช้จ่ายภาครัฐ เป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จากการเบิกจ่ายภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดฯ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นภาครัฐในปี 2563 มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมจากการเลื่อนเบิกจ่ายแผนงานเยียวยาและแผนงานฟื้นฟูโดยเม็ดเงินบางส่วนจะเลื่อนการเบิกจ่ายไปในปี 2564
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มดีขึ้นเล็กน้อยจากประมาณการรอบก่อน โดยคาดว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 7.8 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงกว่าประมาณการเดิม โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.6 ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้าน อาทิ เศรษฐกิจโลกที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าคาด ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมหากภาครัฐไม่สามารถดำเนินมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้
คณะกรรมการฯ อภิปรายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มแตกต่างกันมากระหว่างภาคเศรษฐกิจ ภูมิภาค และผู้ประกอบการแต่ละกลุ่ม และเห็นว่าแนวโน้มการฟื้นตัวที่แตกต่างกันในหลายมิติจะมีนัยต่อมาตรการภาครัฐที่จำเป็นต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุดและทันการณ์มากขึ้น
อาทิ การเร่งสนับสนุนการจ้างงานและการพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อรองรับแรงงานที่อาจถูกกระทบจากอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าและมีกำลังการผลิตส่วนเกินสูง การสร้างงานในต่างจังหวัดเพื่อรองรับแรงงานคืนถิ่น รวมถึงนโยบายด้านอุปทานโดยเฉพาะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนให้อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วสามารถปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังการระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบน้อยลงกว่าประมาณการเดิมจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่ขยายตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทยอยปรับสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายในปี 2564ทั้งนี้ การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง สามารถรองรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจจาก COVID-19 ได้ แต่ในระยะข้างหน้าต้องเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่แน่นอน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง
คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจให้เกิดผลในวงกว้าง และเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุดและทันการณ์ สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจ
การดำเนินนโยบายการเงิน
คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 ในประเทศและการทยอยฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวน้อยลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อย
แต่ในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงกว่าประมาณการเดิมตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ประเมินว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองปีก่อนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมจะกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาด และยังต้องระวังความเสี่ยงจากโอกาสเกิดการระบาดระลอกที่สอง
คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำควบคู่กับมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อของ ธปท. และมาตรการการคลังของรัฐบาล ได้ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นและจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หลังการระบาดคลี่คลาย ตลอดจนเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมาย และลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมอาจมีประสิทธิผลไม่มากในบริบทปัจจุบัน โดยอาจกระทบต่อการทำหน้าที่ตัวกลางทางการเงินของสถาบันการเงิน เพิ่มความเปราะบางให้กับเสถียรภาพระบบการเงินผ่านการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร รวมถึงกระทบต่อการออมของประชาชน คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้รักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ที่มีอยู่อย่างจำกัดเพื่อใช้ในจังหวะที่เหมาะสมและให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
คณะกรรมการฯ เห็นว่าแต่ละภาคส่วนต้องบูรณาการมาตรการให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ทั้งมาตรการด้านการคลังที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อที่ช่วยเสริมสภาพคล่อง โดยมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อในระยะข้างหน้าควรให้ความสำคัญกับ
(1) ดูแลให้สภาพคล่องในระบบการเงินกระจายไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบให้เกิดผลในวงกว้างมากขึ้น ผ่านการเร่งรัดสินเชื่อในโครงการต่าง ๆ รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการให้สินเชื่อการค้า (credit term) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(2) สนับสนุนให้สถาบันการเงินเร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะลูกหนี้ครัวเรือนและธุรกิจ
และ (3) เตรียมมาตรการรองรับเพิ่มเติมเพื่อลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางการเงินของภาคธุรกิจ และการสร้างกลไกเพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้มีมาตรฐานและดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น ขณะที่นโยบายการคลังจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นในระยะข้างหน้าเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เนื่องจากการฟื้นตัวจะใช้เวลาและมีความแตกต่างกันในแต่ละภาคเศรษฐกิจ ภูมิภาค และผู้ประกอบการแต่ละกลุ่ม
มาตรการภาครัฐในระยะข้างหน้าจำเป็นต้องต่อเนื่อง ตรงจุด และทันการณ์ โดยควรให้ความสำคัญกับนโยบายด้านอุปทานเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับรูปแบบการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
คณะกรรมการฯ แสดงความกังวลและหารืออย่างกว้างขวางเกี่ยวกับภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงมีความเปราะบางทั้งมิติด้านการจ้างงานและด้านรายได้ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า แม้ล่าสุดภาคธุรกิจบางส่วนจะเริ่มกลับมาทำการได้หลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 แต่การจ้างงานและรายได้ของแรงงานยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าภาวะปกติมาก ประกอบกับแรงงานส่วนหนึ่งได้ย้ายไปประกอบอาชีพในภาคเกษตรและประกอบอาชีพอิสระทำให้มีรายได้ลดลง
ทั้งนี้ แนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดแรงงานในระยะข้างหน้ายังมีความเปราะบางจาก (1) สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่อาจยืดเยื้อจนทำให้แรงงานถูกลดค่าจ้างและอาจถูกเลิกจ้างเพิ่มมากขึ้น (2) มาตรการเยียวยาและฟื้นฟูของภาครัฐที่ทยอยสิ้นสุดลง (3) การเข้าสู่ช่วงนอกฤดูการเกษตรในครึ่งแรกของปี 2564 ที่อาจทำให้ภาคเกษตรไม่สามารถรองรับแรงงานที่ย้ายมาจากนอกภาคเกษตรได้
และ (4) แรงงานบางส่วนอาจกลับเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ยากขึ้นแม้สถานการณ์ระบาดจะคลี่คลายลง โดยเฉพาะแรงงานที่มีอายุมาก กลุ่มนักศึกษาจบใหม่ รวมถึงแรงงานที่มีทักษะไม่สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังการระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง ซึ่งอาจส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ มาตรการด้านแรงงานในระยะถัดไปจึงมีความสำคัญสูง และต้องตรงจุดมากขึ้น โดยคำนึงถึงความแตกต่างในแต่ละสาขาเศรษฐกิจรวมถึงการฟื้นตัวและอุปสรรคในการปรับตัวที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่
มองไปข้างหน้า คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อเสถียรภาพระบบการเงิน และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการการคลัง มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น
อ่านประกอบ :
บอร์ดธปท.มีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ‘กนง.-กนส.’
กนง.มีมติเอกฉันท์! คงดบ.นโยบายที่ระดับ 0.5%-ปรับเป้าจีดีพีปี 63 เหลือลบ 7.8%
ลดความซ้ำซ้อน-ค่าใช้จ่าย! ธปท.ตั้งคณะทำงานปฏิรูประบบรายงานข้อมูล ‘สถาบันการเงิน’
ให้วงเงินกู้ 2 หมื่นบาท-ผ่อนไม่เกิน 6 เดือน! ธปท.ประกาศเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อออนไลน์
กำลังซื้อทยอยฟื้น! ธปท.เผยผลกระทบโควิดคลี่คลาย-ธุรกิจชะลอเลิกจ้างแรงงาน
เน้นช่วยกลุ่มถูกเลิกจ้าง-รายได้ลด! ธปท.แจงมาตรการรวมหนี้บัตรฯเป็น ‘หนี้บ้าน’ ลดภาระดบ.-ค่างวด
ธปท.ผุดมาตรการใหม่ช่วยรายย่อย! ปรับโครงสร้างหนี้บัตรฯเป็น ‘หนี้บ้าน’ ลดดอกเบี้ยเหลือ MRR
ยันแบงก์ไทยแกร่ง! ธปท.มั่นใจรับมือวิกฤติระดับรุนแรงได้-เร่งปรับโครงสร้างหนี้
วันสต็อปเซอร์วิส! ธปท.รุกปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายราย-แจ้งผลใน 30 วัน
ธปท.ตรึงหนี้เสีย! กำชับแบงก์ช่วยลูกหนี้จนกว่าโควิดจะคลี่คลาย-สิ้นไตรมาสสอง NPLs แตะ 3.09%
จีดีพีไตรมาสสองหด 12.2%! สศช.หั่นเป้าทั้งปีเป็นติดลบ 7.5%-หนี้เสียภาคบริโภคพุ่ง 23%
สั่งแก้คนว่างงาน -จี้ ขรก.อย่าเกียร์ว่าง! ‘บิ๊กตู่’มอบนโยบายครม.ใหม่-ตั้งศูนย์บริหาร ศก.
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/