กนง.มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% พร้อมปรับคาดการณ์จีดีพีปี 63 เป็นติดลบ -7.8% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 8.1% แต่ลดเป้าการขยายตัวเศรษฐกิจปี 64 เหลือ 3.6% หลังประเมินนักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าอยู่ที่เพียง 9 ล้านคน พร้อมคาดเศรษฐกิจจะใช้เวลาฟื้นตัวไม่ต่ำกว่า 2 ปี แนะรัฐใช้นโยบายการคลังช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบให้ตรงจุด
..............
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ว่า คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปี
ในการตัดสินนโยบาย คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวน้อยลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อย แต่ในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงกว่าประมาณการเดิมตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าเป็นสำคัญ โดยยังต้องระวังความเสี่ยงจากโอกาสเกิดการระบาดระลอกที่สอง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบน้อยกว่าที่ประเมินไว้ และมีแนวโน้มทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2564
เสถียรภาพระบบการเงินเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจคณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากตั้งแต่ต้นปี มาตรการการคลังของรัฐบาล รวมทั้งมาตรการการเงินและสินเชื่อที่ออกมาเพิ่มเติม ช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นและจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้หลังการระบาดคลี่คลาย เอื้อให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่กรอบเป้าหมาย และลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน
"คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมครั้งนี้ และเห็นว่าควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งหนี้ครัวเรือนและธุรกิจให้เกิดผลมากขึ้น"
เศรษฐกิจไทยในปี 2563 มีแนวโน้มหดตัวน้อยลงจากประมาณการเดิมเล็กน้อย แต่ในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงกว่าประมาณการเดิมตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้าเป็นสำคัญ ด้านอุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับดีขึ้นบ้าง ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงอ่อนแอ การจ้างงานและรายได้ยังคงเปราะบางและจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน กระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ซึ่งจะส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป
คณะกรรมการฯ คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปีก่อนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมจะกลับสู่ระดับก่อนการแพร่ระบาด อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวจะแตกต่างกันมากระหว่างภาคเศรษฐกิจและผู้ประกอบการแต่ละกลุ่ม คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าในระยะข้างหน้ามาตรการภาครัฐจำเป็นต้องตรงจุดและทันการณ์มากขึ้น โดยจะต้องเร่งสนับสนุนการจ้างงาน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
แต่ละภาคส่วนต้องบูรณาการมาตรการให้สอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ทั้งมาตรการด้านการคลังที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลัก นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง มาตรการด้านการเงินและสินเชื่อที่ช่วยเสริมสภาพคล่อง และจะต้องให้ความสำคัญกับนโยบายด้านอุปทานเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับรูปแบบการทำธุรกิจ และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับบริบทใหม่หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายลง เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2563 มีแนวโน้มติดลบน้อยกว่าประมาณการเดิม จากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ที่ขยายตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของ COVID-19 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทยอยปรับสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยอยู่ใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายในปี 2564 ทั้งนี้ การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย
ด้านภาวะการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทรงตัวในระดับต่ำ ขณะเดียวกันส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลเริ่มปรับลดลงบ้างในกลุ่มตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี ด้านสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัวจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวน้อยลง โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการสินเชื่อของภาครัฐและการเลื่อนกำหนดชำระหนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าสภาพคล่องโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งต้องเร่งดำเนินการให้กระจายตัวไปสู่ภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน แม้เงินบาทอ่อนค่าลงจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. และเงินสกุลภูมิภาคส่วนใหญ่ คณะกรรมการฯ เห็นว่าหากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นเร็วอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ จึงเห็นควรให้ติดตามสถานการณ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด รวมทั้งประเมินความจำเป็นของการดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม
ระบบการเงินมีเสถียรภาพ แม้ว่าจะเปราะบางมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง แต่ในระยะข้างหน้าต้องเตรียมพร้อมรับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ยังไม่แน่นอน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจและครัวเรือนที่ลดลง คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรผลักดันให้สถาบันการเงินเร่งปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้รายย่อยและธุรกิจให้เกิดผลในวงกว้าง และเร่งรัดการให้สินเชื่อผ่านโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ตรงจุดและทันการณ์ สอดคล้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจ
"มองไปข้างหน้า คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน และปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งจากเศรษฐกิจต่างประเทศ ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 รวมถึงประสิทธิผลของมาตรการการคลังและมาตรการด้านการเงินและสินเชื่อ เพื่อประกอบการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากจำเป็น" นายทิตนันทิ์ระบุ
(ทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส)
นายทิตนันทิ์ ยังกล่าวว่า กนง.ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 ใหม่ โดยคาดว่าเศรษฐกิจทั้งปีจะติดลบ -7.8% จากเดิมคาดว่าจะติดลบ -8.1% โดยเศรษฐกิจที่หดตัวน้อยลงจากประมาณการเดิมในเดือนมิ.ย. เนื่องจากข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2/2563 ที่ออกมานั้น หดน้อยกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงทั้งปัจจัยภายในและภายนอก เช่น การแพร่ระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศ ตลอดจนสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและต่างประเทศ
ทั้งนี้ นายทิตนันทิ์ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่า การชุมนุมทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยหรือไม่ เพียงแต่บอกว่า กนง.ได้พิจารณาปัจจัยเสี่ยงในรอบด้านทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ด้วย
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564 กนง.คาดว่าจะขยายตัวน้อยกว่าคาดไว้เดิม โดยคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวได้เพียง 3.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5% ซึ่งมีสาเหตุหลักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ กนง.คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2564 จะอยู่ที่ 9 ล้านคน จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 16.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพียง 6.7 ล้านคนเท่านั้น
ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2563 มีแนวโน้มติดลบน้อยกว่าที่คาด คือ ติดลบ -0.9% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ -1.7% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2564 มีแนวโน้มทยอยปรับสูงขึ้นใกล้เคียงกับขอบล่างของกรอบเป้าหมายในปี 2564
“ที่ประชุมกนง. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี จึงจะกลับเข้าเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หรือเท่ากับช่วงปลายปี 2562 ในขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะแตกต่างกัน โดยแต่ละกลุ่มจะฟื้นตัวไม่เหมือนกัน ดังนั้น ภาครัฐต้องดำเนินนโยบายการคลังเพื่อเข้าช่วยเหลือให้ตรงจุด ทันการณ์ รวมทั้งต้องมีมีการประสานนโยบายร่วมกัน ทั้งนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ” นายทิตนันทิ์กล่าว
นายทิตนันทิ์ ย้ำว่า ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากสถานการณ์โควิด คือ ภาคการท่องเที่ยว แต่การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน หรือแม้แต่ในพื้นที่เดียวกัน การฟื้นตัวของแต่ละกลุ่มก็จะแตกต่างกัน ดังนั้น เมื่อมีทรัพยกรมีจำกัด ภาครัฐจึงต้องเข้าช่วยเหลือให้ตรงจุด ต้องคำนึงถึงในแง่มิติ และต้องระวังว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในรอบนี้จะไม่เร็วอย่างแน่นอน
“นโยบายการคลังจะเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจะเป็นหัวใจ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ การโครงสร้างธุรกิจ และการยกระดับฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับโลกยุคหลังโควิด จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป” นายทิตนันทิ์กล่าว
อ่านประกอบ :
ลดความซ้ำซ้อน-ค่าใช้จ่าย! ธปท.ตั้งคณะทำงานปฏิรูประบบรายงานข้อมูล ‘สถาบันการเงิน’
ให้วงเงินกู้ 2 หมื่นบาท-ผ่อนไม่เกิน 6 เดือน! ธปท.ประกาศเกณฑ์ปล่อยสินเชื่อออนไลน์
กำลังซื้อทยอยฟื้น! ธปท.เผยผลกระทบโควิดคลี่คลาย-ธุรกิจชะลอเลิกจ้างแรงงาน
เน้นช่วยกลุ่มถูกเลิกจ้าง-รายได้ลด! ธปท.แจงมาตรการรวมหนี้บัตรฯเป็น ‘หนี้บ้าน’ ลดภาระดบ.-ค่างวด
ธปท.ผุดมาตรการใหม่ช่วยรายย่อย! ปรับโครงสร้างหนี้บัตรฯเป็น ‘หนี้บ้าน’ ลดดอกเบี้ยเหลือ MRR
ยันแบงก์ไทยแกร่ง! ธปท.มั่นใจรับมือวิกฤติระดับรุนแรงได้-เร่งปรับโครงสร้างหนี้
วันสต็อปเซอร์วิส! ธปท.รุกปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายราย-แจ้งผลใน 30 วัน
ธปท.ตรึงหนี้เสีย! กำชับแบงก์ช่วยลูกหนี้จนกว่าโควิดจะคลี่คลาย-สิ้นไตรมาสสอง NPLs แตะ 3.09%
จีดีพีไตรมาสสองหด 12.2%! สศช.หั่นเป้าทั้งปีเป็นติดลบ 7.5%-หนี้เสียภาคบริโภคพุ่ง 23%
สั่งแก้คนว่างงาน -จี้ ขรก.อย่าเกียร์ว่าง! ‘บิ๊กตู่’มอบนโยบายครม.ใหม่-ตั้งศูนย์บริหาร ศก.
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/