‘สบน.’ ยันประเทศไทยไม่เสี่ยง 'ล้มละลาย' ระบุหนี้ของภาครัฐ 98% เป็นการกู้เงินในประเทศ มีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.35% คาดสัดส่วน ‘ภาระดอกเบี้ยรัฐบาลต่อรายได้’ ณ สิ้นปีงบ 2565 อยู่ที่ 8%
.....................................
จากกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชำระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ ประเทศไทยเสี่ยงล้มละลายผ่านสื่อต่างๆ นั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 เม.ย. นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัวเพื่อยกระดับการพัฒนาของประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน สบน.ได้สนับสนุนโครงการลงทุนของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ผ่านการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ ในช่วงปี 2558–2564 รัฐบาลมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ 178 โครงการ วงเงินกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมทุกสาขาทั้งด้านคมนาคม สาธารณูปการ พลังงาน สังคม และการพัฒนาพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ และรัฐบาลมีแผนที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยได้จัดทำแผนการบริหารหนี้สาธารณะ(แผนฯ) ระยะปานกลาง 5 ปี (ปี 2565–2569) เพื่อรองรับทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวในอนาคต วงเงินประมาณ 840,000 ล้านบาท
ในแต่ละปี สบน. ได้จัดทำแผนฯ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่เพื่อการลงทุนและบริหารสภาพคล่อง การบริหารหนี้คงค้างเดิมเพื่อบริหารความเสี่ยง และการชำระหนี้จากงบประมาณและเงินแหล่งอื่น ซึ่งแผนฯ เป็นการดำเนินการภายใต้กลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะระยะปานกลาง (Medium Term Debt Strategy) โดยพิจารณาความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน และการปรับโครงสร้างหนี้
อีกทั้งยังต้องจัดทำภายใต้กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด โดยแผนฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีต่อไป
ในการกู้เงินแต่ละครั้ง สบน. ได้พิจารณาต้นทุนการระดมทุน วงเงินกู้ รวมถึงประเภทของตราสารหนี้ที่จะออก โดยใช้เครื่องมือการกู้เงินที่หลากหลาย และพิจารณาช่วงเวลาการกู้ให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงการแย่งชิงเม็ดเงินจากภาคเอกชน (Crowding Out Effect) ในประเทศ ป้องกันไม่ให้ตลาดการเงินเกิดความผันผวน ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม และไม่กระทบต่อความเสี่ยงในการปรับโครงสร้างหนี้ในอนาคต
โดยที่ผ่านมา สบน. กู้เงินในประเทศเป็นหลักประมาณร้อยละ 98 จึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนแต่ละปีต่ำ นอกจากนี้ มากกว่าร้อยละ 83 เป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ จึงทำให้มีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งยังมีต้นทุนการกู้เงินเฉลี่ยที่เหมาะสมที่ร้อยละ 2.35 ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่ปกตินับตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 รัฐบาลจำเป็นต้องช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร็ว ผ่านการดำเนินนโยบายการคลัง จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal space) โดยการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะเพื่อให้สามารถรองรับกรณีการกู้เงินเพิ่มเติมสำหรับดำเนินนโยบายการคลังและแผนพัฒนาฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต
หากในอนาคตสถานการณ์เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติ รัฐบาลสามารถทบทวนความเหมาะสมของเพดานหนี้สาธารณะได้ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยฯ)
ทั้งนี้ ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 คาดว่า จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 และในอีก 5 ปีข้างหน้ายังคงต่ำกว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10
การชำระหนี้ในแต่ละปี กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้รับจัดสรรงบชำระหนี้เพื่อนำไปชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ครบกำหนดชำระ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. วินัยฯ และประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐที่กำหนดให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้อย่างพอเพียง โดยกำหนดให้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ที่ร้อยละ 2.5-4.0 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และชำระดอกเบี้ยตามที่เกิดขึ้นจริงอย่างครบถ้วน ขณะที่ สบน. ไม่ได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี มาชำระหนี้แต่อย่างใด
สำหรับหนี้คงค้างที่เหลือ สบน. จะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อกระจายการชำระหนี้และลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ.2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยพิจารณาต้นทุนและความเสี่ยงเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2565 โดยเชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันและมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป
อีกทั้งคาดว่า ช่วง 2–3 ปีข้างหน้า รัฐบาลจะยังคงดำเนินนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายเพื่อส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเปราะบาง และเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจะส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ลดลง
นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำมาก ประกอบกับเงินออมภายในประเทศมีจำนวนมาก จะทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่ำลง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยยังคงความสามารถในการชำระหนี้อยู่ในระดับสูง (High Debt Affordability)
“ขอให้ทุกท่านมั่นใจว่า สบน. ได้ให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการหนี้สาธารณะ เพื่อสนับสนุนการลงทุนและดำเนินมาตรการทางการคลังภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม รวมทั้งชำระหนี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนตามกรอบวินัยทางการคลัง ซึ่งส่งผลให้ระดับความน่าเชื่อถือของประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและน่าลงทุน (Investment Grade) นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติเชื่อมั่นความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองด้านความมีเสถียรภาพและความโปร่งใสของฐานะการเงินการคลังของประเทศ และไม่อยู่ในความเสี่ยงที่จะล้มละลายแต่อย่างใด”นางแพตริเซีย กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Tawee Sodsong-พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง' เรื่อง “อัตราดอกเบี้ยหนี้สาธารณะ” เสมือนมะเร็งร้ายทางการเงินที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษา โดยระบุว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ชี้แจงดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของรัฐบาลร้อยละ 2.42 และดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 2.48
และจากรายงานหนี้สาธารณะของไทยสิ้นเดือน กุมภาพันธ์ 2565 หนี้สาธารณะของไทยมีจำนวน 9,828,268.17 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP เท่ากับร้อยละ 60.17 แยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้ จำนวน 8,720,929.74 ล้านบาท ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42 ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 211,046.48 ล้านบาทเศษต่อปี และหนี้รัฐวิสาหกิจ จำนวน 843,328.46 ล้านบาท ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.48 ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยเฉลี่ยประมาณ 20,914.53 ล้านบาทเศษต่อปี
จำนวนหนี้สาธารณะปัจจุบัน 9,828,268 ล้านบาทเศษ นั้น เป็นภาระของประเทศและประชาชนต้องเสียดอกเบี้ยทุกช่วงเวลา เฉลี่ยประมาณ 231,961 ล้านบาทเศษ/ปี หรือ 19,330 ล้านบาทเศษ/เดือน หรือ 635.5ล้านบาทเศษ/วัน หรือ 26.47 ล้านบาทเศษ/ชั่วโมง ซึ่งเมื่อรวมเงินต้นที่ครบกำหนดชำระคืนเจ้าหนี้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว รัฐบาลไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้คืนได้ เพราะงบประมาณบริหารราชการแผ่นดินที่มี ‘รายจ่ายประจำ’ มากกว่า 2.1 ล้านล้านบาทต่อปี (งบประมาณปี 2566 เป็นรายจ่ายประจำมากถึง 2,396,942.2 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.26 ของวงเงินงบประมาณ)
แนวทางการชำระหนี้เงินกู้ที่เป็นรูปธรรมชัดเจนจึงไม่มีนอกเสียจากการ “กู้หนี้ก้อนใหม่มาจ่ายคืนหนี้เงินกู้ก้อนเก่า” หรือเรียกว่า “เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ” ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่เกิดการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ เป็นการเปลี่ยนเงื่อนไขในการจ่ายหนี้ของรัฐ เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระ หรือชำระล่าช้า ซึ่งจะทำให้รัฐถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระเพิ่มขึ้นจากหนี้ปกติจึงยืดหนี้ หรือปรับอัตราดอกเบี้ยส่วนภาระดอกเบี้ยยังวิ่งไม่หยุด
ภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและในประเทศไทยกำลังส่งผลให้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลต่างประเทศให้สูงขึ้น นักลงทุนจึงอาจย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศไทยเพื่อไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รัฐบาลไทยจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาอัตราดอกเบี้ยแข่งขัน ดังนั้น ภาระดอกเบี้ยหนี้สาธารณะของไทยก็จะถูกปรับสูงขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่รัฐบาลยังคงอัตราดอกเบี้ยราคาถูกเพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้ทั้งตนเองและเอกชนรายใหญ่ แต่ประชาชนทั่วไปยังลำบากเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยรายย่อยยังคงสูงอยู่มาก
การกู้หนี้ของรัฐบาลปัจจุบันยังมีความจำเป็นต้องกู้เพราะรัฐบาลไม่สามารถหารายได้ใม่พอรายจ่ายของรัฐ อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยเติมโตช้ามาก รวมทั้งมีความจำเป็นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาความยากไร้คุณภาพชีวิตที่ต่ำกว่ามาตราฐาน ช่วยเหลือด้านสวัสดิการพื้นฐานเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
รัฐบาลตั้งงบประมาณแบบขาดดุลอย่างต่อเนื่องมาอย่างยาวนานจำเป็นต้องมีการกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณอยู่ทุกปี ๆ ละหลายแสนล้านบาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2564-2565 สูงถึง 675,000-700,000 ล้านบาท และยิ่งต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของรัฐบาลเข้าสู่ภาวะเปราะบางทางการเงิน คือ มีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่สูงขึ้นจากร้อยละ 43 ในปี 2557 จนเกินร้อยละ 60 ในปี 2565 ทำให้ในเดือนกันยายน 2564 รัฐบาลต้องขยายเพดานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่กำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 60 เป็นไม่เกินร้อยละ 70
แต่จากการศึกษาของต่างประเทศ โดย IMF ให้คำแนะนำว่า ประเทศกำลังพัฒนาควรมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ 60 เพราะถ้าเกินระดับนี้ไปแล้วอาจมีภาระหนี้มากเกินไปที่บั่นทอนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และอาจกระทบกับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลว่าก่อหนี้เกินตัวหรือไม่ นักลงทุนต่างประเทศอาจมองว่า มีความเสี่ยงมากเกินไป ฐานะทางการคลังไม่ดี เศรษฐกิจอาจไม่มีเสถียรภาพ
หนี้ของรัฐแทบทั้งหมดจะกู้เงินในประเทศ โดยผ่านเครื่องมือต่าง ๆ สามารถจำแนกฐานนักลงทุน ได้แก่
1.เครื่องมือพันธบัตรรัฐบาล และ ตั๋วเงินคงคลัง ประมาณร้อยละ 79 ที่เป็นการกู้จากนักลงทุนสถาบันผ่านตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย กองทุนรวม สถาบันการเงิน บริษัทประกันชีวิต กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักประกันสังคม และนักลงทุนต่างประเทศ
2.เครื่องมือตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญากู้ยืมเงิน ประมาณร้อยละ 15 ที่เป็นการกู้เงินโดยตรงจากสถาบันการเงิน ได้แก่ธนาคารของรัฐกับธนาคารพาณิชย์ และ
3.เครื่องมือพันธบัตรออมทรัพย์ ประมาณร้อยละ 6 ที่เป็นการกู้เงินที่ระดมทุนจากภาคประชาชนเพื่อกระจายฐานนักลงทุนและกระทรวงการคลังควรส่งเสริมการออมของภาคประชาชน เพราะดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลจะสูงกว่าดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ทั่วไป
จะเห็นว่านักลงทุนตามกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่ 2 ที่ให้จำนวนหนี้รัฐรวมกันมากถึงร้อยละ 94 นั้นแทบทั้งหมดเป็นกลุ่มธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลางใช้เงินฝากประชาชนที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25-50 สตางค์ หรือร้อยละ 0.25-0.50 เอาไปให้รัฐกู้ดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 2.42-2.48 จะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง มีความปลอดภัย ต้นทุนดูแลต่ำ
สถาบันการเงินจึงเป็น “เสือนอนกิน” ดีกว่าให้ SME หรือประชาชนกู้ ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งเมื่อรัฐบาลกู้เงินเพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเป็นการช่วยคนรวยที่ร่ำรวยอยู่แล้วให้มั่งคั่งมากขึ้น เป็นการแย่งเงินทุนจากภาคเอกชน โดยเฉพาะประชาชนและ SME ที่กำลังประสบปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน สถาบันการเงินไม่ให้กู้เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง รวมทั้งการกู้เงินภาครัฐดังกล่าว ตามสัดส่วนการกู้เงินของรัฐบาลผ่านการออกพันธบัตรในประเทศ อาจสร้างปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงินในอนาคต
การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐ ที่น่าห่วงคือในแต่ละปีงบประมาณจะใช้จ่ายเงินลงทุนล่าช้าข้ามปีงบประมาณ ไม่โปร่งใส ขาดประสิทธิภาพ ไม่คุ้มค่า และไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตของ GDP ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ขณะเดียวกันต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เดินหน้าไม่หยุด
จากข้อมูลของสำนักงบประมาณของรัฐสภา (PBO) พบว่า ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พบว่าผลการเบิกจ่ายงบประมาณ จากระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) กรมบัญชีกลาง งบประมาณจำนวน 3,285,962 ล้านบาทเศษ มีการเบิกจำนวน 3,012,156 ล้านบาทเศษ หรือคิดเป็นร้อยละ 91.67 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายรายจ่ายภาพรวม ร้อยละ 8.33 หรือมีงบประมาณคงเหลือจำนวน 273,806 แสนล้านบาทเศษ
ความล่าช้าของการใช้งบประมาณไม่ทัน แต่ “ดอกเบี้ย” ยังเดินไม่หยุดเปรียบเสมือนมะเร็งร้ายทางการเงินที่แพร่เชื้อลุกลามเข้าสู่ปวงชนที่ยากต่อการรักษาและเป็นภาระของคนในอนาคตต้องใช้หนี้และดอกเบี้ยที่เพิ่ม ที่รัฐบาลรัฐต้องจ่ายหนี้เป็นค่าดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นที่กู้มา ตัวอย่าง งบประมาณรายจ่ายปี 2565 การชำระหนี้ภาครัฐรวมจำนวน 363,269 ล้านบาท ใช้หนี้เงินต้นเพียง 100,000 ล้านบาทเท่านั้น แต่เป็นดอกเบี้ยมากถึง 263,269 ล้านบาท
รัฐบาลอยู่ในวังวน “กู้หนี้ใหม่มาใช้หนี้เก่า” (ใช้ดอกเบี้ย) ที่แทบมองไม่เห็นอนาคตว่าเมื่อไรจะใช้หนี้หมด และล่าสุดจากรายงานการเงินแผ่นดิน ที่รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 ที่การเงินแผ่นดินรัฐบาลมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายที่เป็นสัญญาณว่ารัฐบาลไทยเสี่ยงต่อการเข้าสู่ภาวะการล้มละลาย จึงเป็นห่วงการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่แทบมองไม่เห็นอนาคตที่ดีของประชาชนชาวไทยเลย
อ่านประกอบ :
รัฐซุกหนี้ 1 ล้านล.! พบไม่รวมอยู่ใน‘หนี้สาธารณะ’-‘คลัง’ห่วงภาระช่วยเหลือ‘เกษตรกร’พุ่ง
ฉบับล่าสุด! เปิดรายงาน 'ความเสี่ยงการคลัง' ภาครัฐ รายจ่ายสวัสดิการฯพุ่ง-ชงทบทวนภาษี
'อดีตผู้ว่าฯธปท.'ห่วงภาครัฐ'ขาดดุลนาน-หนี้สูง' ฝาก'แบงก์ชาติ'ต้องอิสระจากผู้มีอำนาจ
'มูดี้ส์'คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทย มอง'เศรษฐกิจมหภาค-การคลังสาธารณะ'แข็งแกร่ง
ภาระดอกเบี้ยเพิ่ม-จัดเก็บรายได้ลด! 'คลัง' แนะรัฐบาลทบทวนมาตรการ 'ยกเว้น-ลดหย่อนภาษี'
เปิดรายละเอียดงบปี 66 ‘กลาโหม’ลด 2%-กษ.เพิ่ม 1.6 หมื่นล. ค่าใช้จ่ายบุคลากรรัฐเกือบ 40%
พลิกแฟ้มครม.! เคาะคำของบปี 66 ตช.เช่ารถ 9 พันคัน 1.3 หมื่นล. ทอ.ซื้อฝูงบิน-ยธ.สร้างคุก
ครม.เคาะกรอบงบปี 66 วงเงิน 3.185 ล้านล้าน-ขาดดุล 6.95 แสนล้าน
เปิดแนวทางของบปี 66! เงินลงทุน 500 ล.ขึ้นไป ต้องประเมินความเสี่ยง ‘ทุจริตเชิงนโยบาย'
รัฐวาง 4 แนวทางกระตุ้นเบิกจ่าย ‘งบปี 65-พ.ร.ก.กู้เงินฯ’ หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิด
‘บิ๊กตู่’มอบนโยบายจัดทำงบปี 66 หนุนเศรษฐกิจฟื้น-มุ่งแก้จนแบบพุ่งเป้า-อย่าทุจริตเด็ดขาด
ปีหน้าลงทุน 1 ล้านล้าน! ‘อาคม’ มองจีดีพี 65 โต 4%-มุ่งสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจชนบท
ครม.เคาะ ‘แผนการคลังระยะปานกลาง’ ปีงบ 66-69 คาด 4 ปี รัฐบาลขาดดุลเพิ่ม 2.8 ล้านล้าน