‘ธปท.’ เผยหนี้สินครัวเรือนไทย ไตรมาส 2/64 แตะ 14.27 ล้านล้าน พบ ‘กู้ซื้อบ้าน-หนี้อุปโภคบริโภค’ เร่งตัว ขณะที่ ‘ศูนย์วิจัยกสิกรไทย’ ชี้ 'จีดีพี' โตเร็วกว่า 'หนี้' กดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดเหลือ 89.3% ต่อจีดีพี แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงไตรมาส 3
..............................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยสถิติเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนหรือหนี้สินครัวเรือน พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2564 หนี้สินครัวเรือนไทยในภาพรวมมีจำนวน 14.27 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อจีดีพี เทียบกับไตรมาส 1/2564 ที่หนี้สินครัวเรือนมีจำนวน 14.13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 90.6% ต่อจีดีพี
ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จำนวนเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือน ณ ไตรมาส 2/2564 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยมียอดหนี้คงค้าง 14.27 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อจีดีพี ชะลอลงจากระดับ 90.6% ต่อจีดีพี ในไตรมาส 1/2564 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสที่ 2/2564 เติบโตในอัตราที่มากกว่าหนี้ครัวเรือน โดยจีดีพี ณ ราคาประจำปี (Nominal GDP) เติบโต 10.7% (YoY) เทียบกับหนี้ครัวเรือนไทยที่ขยายตัว 5% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
“สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ชะลอลงในไตรมาส 2/2564 น่าจะเป็นภาวะชั่วคราว และไม่ได้หมายความว่า หนี้สินภาคครัวเรือนมีความน่ากังวลลดลง ในทางกลับกัน ยอดคงค้างหนี้สินของครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นในระหว่างไตรมาสนั้น เป็นมาตรวัดที่สะท้อนว่า ภาระหนี้ในระดับครัวเรือนยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ไม่ต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังระบุว่า หนี้สินของครัวเรือนขยับขึ้นประมาณ 1.36 แสนล้านบาทในไตรมาส 2/2564 (ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 14.14 ล้านล้านบาท มาที่ 14.27 ล้านล้านบาท) โดยหลักๆ เป็นผลมาจากการเร่งขึ้นของหนี้รายย่อย 2 ส่วน ได้แก่
1.หนี้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในส่วนที่ปล่อยโดยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยในไตรมาสที่ 2/2564 มีการปล่อยสินเชื่อใหม่สำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อบ้าน เป็นวงเงินรวมประมาณ 1.56 แสนล้านบาท โดยเฉพาะสินเชื่อสำหรับบ้านแนวราบและอาคารชุดตามลำดับ
2) หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งครัวเรือนน่าจะใช้เป็นช่องทางเพิ่มสภาพคล่องระยะสั้น เพื่อบรรเทาปัญหารายได้ไม่สมดุลกับภาระค่าใช้จ่าย
ขณะเดียวกัน วิกฤตโควิด-19 ซ้ำเติมให้สถานะทางการเงินของครัวเรือนหลายส่วนเปราะบางมากขึ้น และลูกหนี้รายย่อยของสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทยอยเข้ารับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนเม.ย. 2564
ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดของ ธปท. ณ เดือนก.ค.2564 มีจำนวนบัญชีสินเชื่อรายย่อยที่เข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินฯ 5.12 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือ 3.35 ล้านล้านบาท (เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดของปีนี้ในเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 4.77 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ฯ 3.18 ล้านล้านบาท)
"หนี้รายย่อยที่เข้ามาตรการช่วยเหลือฯ คิดเป็นสัดส่วน 23.5% ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทย ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนหนี้เข้ามาตรการเมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนดังกล่าวยังคงมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อเนื่องในระหว่างไตรมาสที่ 3/2564” ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยจะกลับมาเร่งสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2564 โดยคาดว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนอาจขยับขึ้นเข้าใกล้กรอบบนของตัวเลขประมาณการหนี้ครัวเรือน หรืออยู่ในช่วง 90-92% ต่อจีดีพี เนื่องจากครัวเรือนบางส่วนอาจก่อหนี้เพิ่มในช่วงต้นไตรมาสที่ 3/2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดรุนแรงของโควิด-19 ในประเทศ สะท้อนจากการเร่งตัวขึ้นของสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน
“คงต้องยอมรับว่า ความสามารถในการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้รายย่อยหลายกลุ่ม อาจยังไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ทันทีในภายปีนี้ ขณะที่ข้อมูลลูกหนี้รายย่อยทยอยเข้ารับมาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงินที่ยังคงเพิ่มมากขึ้น ทั้งในมิติของจำนวนบัญชีและยอดหนี้ภาระหนี้ ย้ำถึงความสำคัญของการเร่งปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยให้ภาระหนี้สอดคล้องกับสถานะทางการเงินของลูกหนี้” ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุด้วยว่า จากผลสำรวจภาวะหนี้สินและการออมของประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงไตรมาสที่ 2/2564 พบว่า ลูกหนี้ส่วนใหญ่หรือ 62.8% สนใจสมัครเข้ามาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงิน ขณะที่มาตรการช่วยเหลือจากสถาบันการเงินที่ตรงใจลูกหนี้มากที่สุด เป็นการพักชำระหนี้ (50.4%) เพราะลูกหนี้เผชิญปัญหาการขาดสภาพคล่องในระยะสั้น ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งได้ดำเนินการไปแล้วในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนมาตรการช่วยเหลือที่ลูกหนี้ในผลสำรวจฯ ให้ความสนใจในลำดับรองลงมา ได้แก่ การลดยอดผ่อน+ยืดหนี้ให้ยาวขึ้น (20.3%) ลดค่างวด (16.0%) และรวมหนี้กับสินเชื่ออื่นเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ (9.8%) ตามลำดับ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า มาตรการกลุ่มหลังๆ นี้ล้วนเป็นมาตรการที่มุ่งเป้าหมายในการช่วยปรับภาระหนี้ของลูกหนี้ ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับความสามารถในการหารายได้ในปัจจุบัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ประเด็นสำคัญหลังจากนี้ คือ การเร่งเดินหน้ามาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยหล่อเลี้ยงสภาพคล่อง และปรับโครงสร้างหนี้เพื่อประคองไม่ให้ลูกหนี้กลายเป็น NPLs โดยขณะนี้หลายหน่วยงาน ทั้ง ธปท. ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ คงอยู่ระหว่างเตรียมประเมินความเหมาะสมของมาตรการ ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจ และสถานะของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อให้สามารถเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกหนี้ได้อย่างยั่งยืน
อ่านประกอบ :
สูงสุดในรอบ 18 ปี! ธปท.เผยหนี้ครัวเรือนไทยทะยาน 14.13 ล้านล้าน แตะ 90.5% ต่อจีดีพี
‘บิ๊กตู่’ เซ็นตั้งบอร์ดแก้หนี้สินปชช.รายย่อย-‘สุพัฒนพงษ์’ ประธาน ดึง 'วิรไท' นั่งกก.
'บิ๊กตู่' ถกแก้หนี้ประชาชนรายย่อย ตั้งเป้าลดภาระดอกเบี้ย 2-3% ต่อปี
ว่างงานพุ่ง 7.6 แสนคน ชั่วโมงทำงานลดลง หนี้ครัวเรือนยังสูงขึ้นกว่า 14 ล้านล้านบาท
กู้แบงก์-รูดบัตร 1.2 แสนล.! ดันหนี้ครัวเรือนไตรมาส 3/63 แตะ 13.76 ล้านล้าน
โควิดซ้ำเติมหนี้ครัวเรือนพุ่ง! ‘ผู้ว่าฯธปท.’ ห่วงฉุดการฟื้นตัวศก.-เร่งสร้างภูมิคุ้มกันการเงิน
นโยบายการเงินแค่กองหลัง! ผู้ว่าธปท.คนใหม่ กาง 5 โจทย์ฟื้นเศรษฐกิจ-เกาะติดม็อบ
ดร.เศรษฐพุฒิ : สาดกระสุนไปโดยขาดความแม่นยำ...อาจกลายเป็นผลลบ
ต่อพักหนี้อีก 6 เดือนเป็นรายๆ! ธปท.ขีดเส้น ‘แบงก์-SME’ เจรจาปรับเงื่อนไขชำระหนี้ถึงสิ้นปี
หนี้ครัวเรือนพุ่ง 83.8% ! แบงก์ชาติชี้เหตุ ‘จีดีพีหดตัว-พักชำระหนี้’
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/