
"...การให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ทำให้การเจ็บป่วยดูมีความรุนแรง และการให้สัมภาษณ์นักข่าวในกรณีที่เป็นประเด็นใหญ่ทางสังคมนั้น ควรมีความระมัดระวังและไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ นอกจากนี้ การกระทำผิดดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคม กระบวนการยุติธรรม และความเชื่อมั่นในวิชาชีพแพทย์แต่อย่างใด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อวิชาชีพแพทย์และสังคมในวงกว้าง..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เป็นรายละเอียดฉบับเต็ม หนังสือตอบกลับถึงนายวัชระ เพชรทอง เรื่องแจ้งมติคณะกรรมการแพทยสภาเกี่ยวกับกรณีการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร ลงวันที่ 20 มิ.ย. 2568 ซึ่งในเนื้อหามีการพิจารณามติการลงโทษแพทย์จำนวน 4 ราย โดยมี 1 ราย ที่ถูกยกคำร้อง อีก 3 ราย ถูกลงโทษตักเตือน กับพักใช้ใบอนุญาต เป็นรายบุคคล
โดยในส่วน นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้ถูกร้องที่ 1 มีมติให้ยกข้อกล่าวโทษ
ส่วน แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติให้ว่ากล่าวตัดเตือน พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ถูกร้องที่ 3 พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ผู้ถูกร้องที่ 4 มีมติให้พักใช้ใบอนุญาตฯเป็นเวลา 3 และ 6 เดือน ตามลำดับ มีผลบังคะับใช้ 1 ต.ค. 2568
*****************************
นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป คือ รายละเอียดในหนังสือจากแพทยสภา ถึง นายวัชระ เพชรทอง เรื่อง แจ้งมติคณะกรรมการแพทยสภา
ตามที่ ท่านได้ยื่นคำร้องขอต่อแพทยสภา ขอให้ตรวจสอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ในคำร้องที่ 235,256/2566 และ 23/2567 เกี่ยวกับกรณีเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ผู้ป่วยชายรายทักษิณ ชินวัตร เข้ารับการรักษาในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ต่อมาวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ถูกส่งตัวการรักษาไปโรงพยาบาลตำรวจ และจนกระทั่งผู้ป่วยได้เดินทางออกจากโรงพยาบาลตำรวจกลับมายังบ้านพัก เนื่องจากได้รับการพักโทษตามประกาศกรมราชทัณฑ์ฯ
โดยผู้ป่วยได้รับการพักโทษ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งตั้งแต่ผู้ป่วยได้ป่วยไข้อหจนถึงวันที่ได้รับการพักโทษ ผู้ป่วยถูกควบคุมตัวและรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลตำรวจมาโดยตลอด กลายเป็นข้อสังเกตของประชาชนถึงการทำหน้าที่ของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเจ็บป่วยจริงหรือไม่
แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ออกใบวินิจฉัยโรคและรับรองให้ผู้ป่วยไปพักรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งผู้ร้องที่ 2 ได้ระบุว่าต้องการให้ตรวจสอบแพทย์ 4 ท่าน คือ แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภาพันธุ์ พล.ต.ท.นายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ พล.ต.ท.นายแพทย์ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ และนายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข แพทยสภาจึงได้ดำเนินการตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 ความละเอียดทราบแล้วนั้น
คณะกรรมการแพทยสภาในการประชุม ครั้งที่ 10/2567 วันที่ 10 ตุลาคม 2567 พิจารณาแล้วมีมติ คำร้องมีมูล ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ดำเนินการสอบสวน นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข (ผู้ถูกร้องที่ 1) แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภาพันธุ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) พลตำรวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ (ผู้ถูกร้องที่ 3) และ พลตำรวจโท นายแพทย์สิริพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยยังไม่ถือว่าผู้ถูกร้องมีความผิดด้านจริยธรรม
คณะกรรมการแพทยสภาในการประชุมครั้งที่ 5/2568 วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณาและมีมติเป็นรายบุคคล ดังนี้
นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข
มีความเห็นว่า การที่กรมราชทัณฑ์ ได้จัดแถลงข่าวบริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 22 สิงหาคม 2556 โดยผู้ถูกร้องที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านสุขภาพผู้ป่วยในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สังกัดกรมราชทัณฑ์ ณ เวลานั้น โดยให้ข้อมูลต่อสื่อที่ระบุไว้ในเวชระเบียนของสถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ให้ข้อมูลไปตามที่ผู้ถูกร้องที่ 2 แพทย์ผู้ตรวจร่างกายตรวจพบและตามเวชระเบียนเท่านั้น
นอกจากนี้มีการที่คำชี้แจงของผู้ถูกร้องที่ 1 อ้างว่า แถลงประมาณ 23.59 น. ของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อย ความดันโลหิตลดลง และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปลายนิ้วต่ำ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการส่งตัวผู้ป่วยอย่างฉุกเฉินและนอกเวลาไปที่โรงพยาบาลตำรวจ
ข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับบันทึกของพยานคนที่ 1 พยาบาลวิชาชีพ สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่ได้มีการบันทึกอาการของผู้ป่วยไว้ในเวชระเบียน นอกจากนี้ยังไม่พบว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ได้มีการเขียนใบรับรองแพทย์ใด ๆ เกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ รวมทั้งจากการพิจารณาจริยธรรมก็ตรวจไม่พบว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ต่อสื่อมวลชนอีก จึงมิอาจถือได้ว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
ดังนั้น จึงมีความเห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้กระทำผิดตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 หมวด 2 ข้อ 12 จึงมีมติ ยกข้อกล่าวโทษ นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้ถูกร้องที่ 1 กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภาพันธุ์
ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นแพทย์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ตรวจร่างกายผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ ณ สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และต่อมาได้ทำการตรวจผู้ป่วยเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. จากการตรวจผู้ป่วยเมื่อแรกรับได้ความจริงว่าหลังจากผู้ป่วย และได้ตรวจร่างกายโดยใช้เวลากับรายนี้และตรวจร่างกายประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 ได้รับเอกสารประวัติการรักษาของผู้ป่วยซึ่งเป็นเอกสารทางการแพทย์จากหลายประเทศ พบว่ามีหลายโรค มีการรักษาหลายครั้ง และผลการตรวจวินิจฉัยหลายอย่าง
ผู้ถูกร้องที่ 2 จึงได้ทบทวนประวัติการรักษาเดิมและบันทึกลงในเวชระเบียนของสถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 ประเมินว่าโรคของผู้ป่วย หลายโรค ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางดังกล่าว
ผู้ถูกร้องที่ 2 เห็นว่า ควรให้พบแพทย์เฉพาะทางเป็น OPD case (ผู้ป่วยนอก) ในวันและเวลาราชการ เพื่อทำการตรวจรักษาต่อเนื่อง โดยให้ทางเรือนจำติดต่อประสานงานขั้นตอนในการส่งตัวออกไปในวันและเวลาราชการเพื่อพบแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ ต่อไป จึงได้เขียนแบบสำหรับผู้ป่วยไปตรวจหรือรักษาต่อ โดยไม่ได้ระบุสถานพยาบาลที่จะรับส่งต่อหลังจากนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 จึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00 - 22.00 น. ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งมิใช่แพทย์ประจำสถานพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และมิได้ปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรห้วงเวลาที่เกิดสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้รับโทรศัพท์ (ไลน์คอล) จากพยานคนที่ 1 (พยาบาลเวรของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) แจ้งอาการของผู้ป่วยว่า มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำลง สังเกตอาการแย่ลงครั้งเรื่อย ๆ โดยพยานคนที่ 1 ได้ปรึกษาพยานคนที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์เวรห้วงเวลาที่เกิดกล่าวโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว พยานคนที่ 2 จึงได้แนะนำให้ส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลตำรวจด่วน ซึ่งจากอาการที่ได้รับรายงานดังกล่าว ประกอบกับผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจเดิมอยู่ระหว่างการรักษาตามที่ปรากฏในประวัติการรักษาจากต่างประเทศ
ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีอาการของ acute coronary syndrome ซึ่งถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินจึงมีความความเสี่ยงถึงอันตรายแก่ชีวิตได้ จึงแนะนำว่าไม่ควรสังเกตอาการต่อในสถานพยาบาลของเรือนจำ ควรส่งออกจากเรือนจำเพื่อตรวจรักษาในสถานพยาบาลที่เหมาะสม โดยพยานคนที่ 1 ได้ขออนุญาตใช้แบบสำหรับส่งผู้ป่วยไปตรวจหรือรักษาต่อที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้เขียนไว้ตั้งแต่การตรวจร่างกายแรกรับเข้าเรือนจำเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. เพื่อความรวดเร็วในการทำเอกสารประกอบเรื่องขออนุญาตออกจากเรือนจำเท่านั้น
คณะกรรมการแพทยสภาจึงพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ในกรณีนี้ตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพ โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินซึ่งในเรือนจำ ผู้ถูกร้องที่ 2 ควรให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินผู้ป่วยในคืนนั้น
บันทึกข้อมูลความรุนแรงของโรคในภาวะวิกฤต และจะเป็นผู้ลงความเห็นในแบบฟอร์มดังกล่าวเองว่า สมควรรับส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาต่อภายนอกเรือนจำ หรือหากผู้ถูกร้องที่ 2 จะอนุญาตให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินใช้แบบสำหรับส่งผู้ป่วยไปตรวจหรือรับการรักษาต่อตามแบบที่ตนเองได้เขียนไว้ในเวลาแรกรับ ต้องแจ้งให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินระบุลงในแบบฟอร์มดังกล่าวให้ชัดเจนว่า ข้อมูลทางคลินิกในแบบสำหรับส่งผู้ป่วยไปตรวจหรือรักษาต่อตามแบบที่ ผู้ถูกร้องที่ 2 เขียนไว้นั้น เป็นผลจากการตรวจร่างกายผู้ป่วยในตอนแรกรับและไว้สำหรับส่งตัวในภาวะปกติเท่านั้น และแนะนำให้ผู้มีหน้าที่ตรวจประเมินผู้ป่วยในขณะนั้น บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงของโรคในภาวะวิกฤต เช่น สัญญาณชีพให้ครบถ้วน ลงในเอกสารที่ต้องแนบส่งไปพร้อมกับจดหมายของแพทย์เวรและผู้ป่วยไปด้วย
ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยมีความปลอดภัยกับคนที่ดูแลและคณะผู้ป่วยจะเกิดความเจ็บป่วย และเป็นการให้ข้อมูลแก่แพทย์ที่รับการส่งต่อเพื่อจะได้ประเด็นผู้ป่วย รับทราบปัญหาและความรุนแรงของโรคที่ได้เกิดขึ้น เพื่อจะได้วางแนวทางการรักษาได้เหมาะสม ถูกต้องและทันกาล นอกจากนี้ควรมีข้อมูลอื่น ๆ ในใบส่งตัวประกอบกับ problem list เช่น ความประสงค์ที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ต้องการส่งตัวผู้ป่วยไปรับการปรึกษา การส่งไปปรึกษาแก่ผู้ป่วยนอกในเวลาราชการ เป็นต้น
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่มีบันทึกการดังกล่าวให้ถูกต้องครบถ้วน โดยผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่สามารถยินยอมให้ใช้แบบส่งตัวผู้ป่วยไปรับการตรวจหรือรักษาตามแบบที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้เขียนไว้ในตอนแรกรับเป็นใบส่งตัวผู้ป่วยในภาวะวิกฤตได้ เพราะอาการของผู้ป่วยในเวลาแรกรับ (เวลาเช้า - เที่ยง) แตกต่างกันมากกับอาการในภาวะวิกฤต กับทั้งผู้ถูกร้องที่ 2 ยอมรับว่าเมื่อพยานคนโทรศัพท์รายงานอาการนั้น ได้แจ้งว่าอาจจะเร็วเกินที่ควรส่งตัวผู้ป่วยไปรักษาภายนอกโรงพยาบาล โดยขออนุญาตใช้ใบส่งตัวที่ผู้ถูกร้องที่ 2 เขียนไว้เมื่อตอนแรกรับ
ผู้ถูกร้องที่ 2 อนุญาต เพราะคำนึงถึงประโยชน์ผู้ป่วย เพื่อประโยชน์ของผู้แพทย์ผู้รักษาโรงพยาบาลปลายทางโดยมิได้คิดให้รอบคอบ ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปกลับผู้ถูกร้องที่ 2 คงไม่อนุญาต แต่อาจแจ้งพยาบาลให้ส่งให้แพทย์เวรประเมินก่อน จึงถือได้ว่าการที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ยินยอมให้ใช้แบบส่งตัวผู้ป่วยไปรับการตรวจหรือรักษาต่อตามแบบฟอร์มที่ตนเองเขียนไว้ตั้งแต่การตรวจร่างกายแรกรับเข้าเรือนจำ ไม่ใช่เป็นแบบฟอร์มส่งผู้ป่วยในภาวะวิกฤต ทั้ง ๆ ที่ตนเองมิได้มีกำหนดให้ใช้เป็นใบส่งต่อในภาวะวิกฤตอยู่แล้วนั้น เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าพฤติกรรมดังกล่าวของผู้ถูกร้องที่ 2 ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมภายใต้ความสามารถและข้อจำกัดตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ
คณะกรรมการแพทยสภา จึงมีความเห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 2 ได้กระทำผิดข้อบังคับแพทยสภาว่า ด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 หมวด 2 ข้อ 10 จึงเห็นควรลงโทษ ภาคทัณฑ์ แต่เมื่อพิจารณาถึงเหตุอันควรปรานีตามข้อ 38 วรรคสอง ของข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 พบว่ามีเหตุอันควรปรานี เนื่องจากผู้ถูกร้องที่ 2 ยอมรับผิดและให้ความร่วมมือแก่คณะอนุกรรมการสอบสวนอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาจริยธรรม จึงมีมติให้ลดโทษเหลือเป็น ว่า กล่าวตักเตือน แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภาพันธุ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 กรณี มาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
พลตำรวจโท นายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ
มีความเห็นว่า ผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ (สบ 8) ในช่วงวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2566 ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ซึ่งมีข้อมูลทางการแพทย์ไม่ครบถ้วนกับความเป็นจริง จึงได้แก่
ข้อ 1 คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ยกบันทึกคำกลับมานิตย์ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ได้ช่วงหนึ่งว่า
คำถามจากนักข่าว : ความดันเท่าไหร่?
ผู้ถูกร้อง : ความดันเมื่อเช้า ตอนก่อนที่จะมาเนี่ย เท่าที่หมอรายงานเนี่ย ยังความดันสูงอยู่นะครับ ตัวบนยัง 170 ตัวล่างยัง 115-120 แล้วก็กลัวอยู่เหมือนกันครับ กลัวพวกความดันสูงมากๆ เดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องสมองขาดเลือดหรือเลือดออกในสมอง เราก็กลัวครับ ทางอาจารย์หมอราชทัณฑ์ก็กลัวเรื่องนี้ ก็เลยรีบส่งต่อจนความดันลด
ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 3 ถอดบันทึกเทปสัมภาษณ์ข้างต้น ได้ว่า
ผู้ถูกร้อง : ความดันเมื่อเช้าเมื่อเช้า ตอนก่อนที่จะมาเนี่ย เท่าที่หมอรายงานผมเนี่ยยังความดันสูงอยู่นะครับ ตัวบนยัง 170 ตัวล่างยัง 115 ถึง 120 ครับ
คำถามจากนักข่าว : อันนี้ขนาดให้ยาไปแล้วใช่มั้ยคะ / บอกอะไรได้บ้างความดันขนาดนี้จะเกิด...
ผู้ถูกร้อง : ครับให้ยาแล้วครับ ความดันสูงครับ เราก็กลัวอยู่เหมือนกันครับ กลัวพวกๆ ถ้าความดันสูงมากๆ เดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องสมองขาดเลือดหรือเลือดออกในสมองครับ เราก็กลัวครับ ทางอาจารย์หมอราชทัณฑ์ก็กลัวเรื่องนี้ ก็เลยรีบๆ ส่งต่อ ดึงความดันลง
ซึ่งการถอดบันทึกภาษณ์ดังกล่าว มีความหมายตรงกัน
คณะกรรมการแพทยสภา เห็นว่าข้อมูลจากการตอบคำถามดังกล่าวยังไม่ครบถ้วน ข้อมูลที่บันทึกไว้ในเวชระเบียนบันทึกว่า วันที่ 23 สิงหาคม 2566 เวลา 00.50 น. ความดันโลหิตตอนแรกรับสูง 170/100 มิลลิเมตรปรอทจริง ต่อมาข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในบันทึกของพยาบาลในโรงพยาบาลตำรวจในเวลา 06.00 น. พบว่า มีความดันโลหิตลดลงเหลือ 152/98 มิลลิเมตรปรอท และเวลา 08.00 น. มีความดันโลหิต 150/100 มิลลิเมตรปรอท รวมทั้งในส่วนของบันทึกติดตามอาการของแพทย์ (progress note) ในวันที่ 23 สิงหาคม ก็ระบุว่าเวรเช้ามีความดันโลหิตที่ 150/100 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งแสดงว่าแพทย์โรงพยาบาลตำรวจได้รักษาผู้ป่วยจนอาการทุเลา จึงเป็นกรณีตอบคำถามที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน ควรให้ข่าวด้วยว่าแพทย์โรงพยาบาลตำรวจให้การรักษาจนอาการทุเลาแล้วในตอนเช้าของวันนั้น เป็นต้น
ข้อ 2 คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ถอดบันทึกเทปสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2566 ได้ช่วงหนึ่งว่า
ผู้ถูกร้อง : คือเราทำตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แล้วเราทำ echo ตอนแรกเราทำ echo mobile วันนี้เราทำ echo เครื่องใหญ่ echo หัวใจครับ ดูก็พบว่ามีอาการบวมน้ำในปอดอยู่ ความดันยังทรงตัวอยู่ ช่วงยังไม่ทันเวลาระยะกักตัวนะครับ แล้วก็ยังมีอาการไอแล้ว ก็หอบอยู่ จากเอกซเรย์ปอดหรืออะไรอย่างนี้ คือคุณหมอทางด้านหัวใจ คุณหมอปอดเขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่
คณะกรรมการแพทยสภา เห็นว่าการให้สัมภาษณ์ว่าจากการตรวจปอดและหัวใจยังพบว่าอาการน่าเป็นห่วง แต่ข้อมูลที่ปรากฏในสำเนาเวชระเบียนกลับพบว่า ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และ bedside Echocardiography ไม่ได้มีการบันทึกว่า การทำงานของปอดและหัวใจอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วงหรือผิดปกติไปจากเดิม หรือการทำงานของหัวใจหรือปอดจะล้มเหลวแต่อย่างใด กราฟของคลื่นไฟฟ้าหัวใจยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากวันแรก และพยาบาลที่บันทึกติดตามอาการของผู้ป่วยตลอดมาจนถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ก็ไม่พบว่ามีสัญญาณชีพหรืออาการที่น่าเป็นห่วง
เนื่องจากการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ทำให้การเจ็บป่วยดูมีความรุนแรง และการให้สัมภาษณ์นักข่าวในกรณีที่เป็นประเด็นใหญ่ทางสังคมนั้น ควรมีความระมัดระวังและไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ ผู้ถูกร้องที่ 3 จึงได้กระทำผิดข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 หมวด 2 ข้อ 16
นอกจากนี้ คณะกรรมการแพทยสภา ยังได้มีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า การกระทำผิดดังกล่าวของผู้ถูกร้องที่ 3 ส่งผลกระทบต่อสังคม กระบวนการยุติธรรม และความเชื่อมั่นในวิชาชีพแพทย์แต่อย่างใด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อวิชาชีพแพทย์และสังคมในวงกว้าง และไม่มีเหตุอันควรปรานีตามข้อ 38 วรรคสอง ของข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 256.
จึงมีมติ ลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นเวลาสามเดือน กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568
พลตำรวจโทนายแพทย์ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์
ผู้ถูกร้องที่ 4 มีความเห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 4 ได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์เกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ จำนวน 2 ฉบับ กล่าวคือ
(1) ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 มีข้อความสำคัญ คือ “การรักษาอาจยังไม่สิ้นสุด เพราะต้องรักษาแผลผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่ร้ายอาจจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล”
(2) ลงวันที่ 18 กันยายน 2566 มีข้อความสำคัญ คือ “ห้องรับยาการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง”
กรณีใบแสดงความเห็นแพทย์ที่ออกเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 นั้น เมื่อพิจารณาแยกตามความเจ็บป่วยของผู้ป่วยในวันที่ 15 กันยายน 2566 เป็นสามกลุ่มโรคและอาการ ได้แก่
กรณีกลุ่มอาการและโรคทางออร์โธปิดิกส์ พยานคนที่ 5 อายุรแพทย์ได้ทำหนังสือส่งและให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ สรุปใจความสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ว่า เป็นโรคเรื้อรัง ไม่ต้องพักรักษาในโรงพยาบาล ประกอบกับเวชระเบียน ในวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่เป็นวันที่ผู้ถูกร้องที่ 4 เขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ก็ไม่พบการบันทึกภาวะหรือโรคใด ๆ ทางอายุรศาสตร์ที่ต้องรักษาในโรงพยาบาล
ยิ่งกว่านั้น ความเห็นจากราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยยัง ให้ความเห็นว่า “จากข้อมูลที่ได้รับ โรค อาการ และอาการแสดงทางอายุรศาสตร์ ไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤตคุกคามต่อชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อการเกิดการวิกฤต ณ ขณะนั้น”
ดังนั้น กลุ่มอาการและโรคทางอายุรศาสตร์ของผู้ป่วยรายนี้ในวันที่ 15 กันยายน 2566 ถือว่าไม่มีเหตุหรือความจำเป็นที่ต้องถูกรีบรับรักษาไว้ในโรงพยาบาล
กรณีกลุ่มอาการและโรคทางประสาทศัลยศาสตร์ ผู้ถูกร้องที่ 4 ซึ่งเป็นประสาทศัลยแพทย์ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ว่า เรื่องกระดูกคอ ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 4 เห็นว่าผู้ป่วยควรได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด แต่ผู้ป่วยปฏิเสธและต้องการรักษาแบบประคับประคอง(conservative) จึงไม่ได้ทำการผ่าตัด ร่วมกับพยานคนที่ 6 ซึ่งเป็นประสาทศัลยแพทย์และเจ้าของไข้ก็ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ว่า ปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังมิใช่ภาวะฉุกเฉิน
ดังนั้น กลุ่มอาการและโรคทางประสาทศาสตร์ของผู้ป่วยรายนี้ในวันที่ 15 กันยายน 2566 เป็นโรคเรื้อรัง จึงไม่มีเหตุหรือความจำเป็นที่จะต้องถูกรีบรับรักษาตัวในโรงพยาบาล
กรณีกลุ่มอาการและโรคทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ พยานคนที่ 4 แพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นผู้ผ่าตัดนิ้วล็อกให้ผู้ป่วย ได้ทำหนังสือและให้ถ้อยคำกับอนุกรรมการสอบสวนฯ สรุปได้ว่า การอยู่ในโรงพยาบาลของผู้ป่วยไม่ใช่ปัญหาของด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ ประกอบกับเวรระเบียน ในวันที่ผู้ถูกร้องที่ 4 เขียนใบแสดงความเห็นแพทย์ ไม่พบภาวะแทรกซ้อนใดๆ ทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ นอกจากนี้จากรายละเอียดของผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องขังหรือนักโทษ จากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ที่มารับบริการในโรงพยาบาลตำรวจ แบบผู้ป่วยใน พบว่ามีผู้ป่วยสำหรับที่ 15 ที่ได้รับการรักษาบริเวณไหล่คล้ายกับผู้ป่วยรายนี้ที่พักรักษาตัวภายในโรงพยาบาลตำรวจเพียงแค่สองวัน
รวมถึงความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ที่ว่า “โดยปกติการผ่าตัดนี้มีเลือกไม่ต้องนอนโรงพยาบาลและไม่ต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน”
ดังนั้น กลุ่มอาการและโรคทางศัลยกรรมกระดูกและข้อของผู้ป่วยรายนี้ในวันที่ 15 กันยายน 2566 ถือว่าไม่มีเหตุหรือความเป็นจำเป็นที่ต้องถูกรีบรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล
สรุปโดยรวมแล้ว เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่ผู้ถูกร้องที่ 4 ระบุว่า “จำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล” นั้น เมื่อพิจารณาแล้วถึงกับมีกลุ่มอาการและโรคของผู้ป่วยรายนี้ก็มิได้เป็นต้องพักรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล เพราะการรักษาส่วนของการรักษาดังกล่าวสามารถติดตามอาการแบบผู้ป่วยนอกได้ นอกจากนี้การให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ของผู้ถูกร้องที่ 4 ยังพบข้อพิรุธในถ้อยคำที่ว่า “โรคที่ผู้ถูกร้องที่ 4 เห็นว่าต้องรักษาในโรงพยาบาลคือ เอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาด” แต่ประวัติจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจระบุว่า ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ และมีเอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2566 หลังจากนั้นผู้ถูกร้องที่ 4 ออกใบแสดงความเห็นแพทย์
กรณีใบแสดงความเห็นแพทย์ที่ออกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 4 ยังได้ออกความเห็นเกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง” แต่ความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยระบุว่า “โดยจากข้อมูลที่ได้มา ไม่มีประวัติอาการปวดไหล่ขวามาก่อน ต่อมาได้ข้อมูลว่าการวินิจฉัยเอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาดจากตรวจร่างกายและผลตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น rotator cuff tear ซึ่งหากเป็นการฉีกที่เกิดขึ้นเฉียบพลันทางออร์โธปิดิกส์จะถือว่าไม่ใช่ภาวะเร่งด่วน ซึ่งหากเป็นไปได้ ควรทำการรักษาผ่าตัดโดยเร็ว แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 3-6 สัปดาห์ และหากพิจารณารักษาโดยการผ่าตัดจำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด” ดังนั้นเป็นการให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
สรุปการออกใบแสดงความเห็นแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ทั้งสองใบถือว่า มีข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมทั้งผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นประสาทศัลยแพทย์ ไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการผ่าตัดในผู้ป่วยรายนี้ จึงไม่ควรลงความเห็นแทนแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อโดยควรให้แพทย์เจ้าของไข้ หรือแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นผู้ลงความเห็น
นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องที่ 4 ยังยอมรับว่าใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับ เป็นความเห็นแพทย์ที่จะถูกนำไปใช้ประกอบการขอความเห็นชอบสำหรับกรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวนอกเรือนจำ นานเกินกว่าสามสิบและหกสิบวันตามลำดับ ผู้ถูกร้องที่ 4 จึงควรระบุความเห็นให้ชัดเจนว่า ผู้ป่วยควรพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาเท่าใด และเหตุผลที่ชัดเจนในการต้องพักรักษาตัว
ดังนั้น จึงมีความเห็นว่าผู้ถูกร้องที่ 4 ได้กระทำผิดข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2565 หมวด 2 ข้อ 16 นอกจากนี้ ในการพิจารณาถึงเหตุที่ควรว่าผู้ถูกร้องที่ 4 ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการให้การดูแลรักษาผู้ป่วยรายนี้ไม่ครบถ้วน เป็นอุปสรรคต่อการพิจารณาจริยธรรม ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเหตุอันควรปรานีตามข้อ 38 วรรคสองของข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2563 แล้วเห็นว่าไม่มีเหตุอันควรปรานี
เนื่องจากการให้ความเห็นดังกล่าวเป็นการออกเอกสารและให้ข้อมูลทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงและมีพิรุธทำให้ป่วยเป็นนักโทษสามารถพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจำนานเกินกว่าที่ควรจะเป็น รวมทั้งการออกใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าวอาจทำให้มีผู้อื่นผู้ใดได้ประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่งผลกระทบต่อสังคมและความเชื่อมั่นต่อวงการแพทย์แต่อย่างชัดเจน
จึงมีมติ ลงโทษ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของ พลตำรวจโท นายแพทย์ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นเวลาหกเดือน กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยให้มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569
ทั้งนี้ แพทย์ผู้ถูกลงโทษ หากไม่เห็นพ้องด้วยกับมติคณะกรรมการแพทยสภา สามารถใช้สิทธิยื่นต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
อ่านประกอบ :
- คดีทักษิณ ชั้น 14! แพทยสภา สั่งลงโทษ 3 หมอ ตักเตือน 1 พักใบอนุญาต 2
- 6 รายอยู่ในข่าย? เช็กชื่อ '3 หมอ' แพทยสภา สั่งลงโทษคดี 'ทักษิณ' ชั้น 14
- เปิดชื่อ 3 หมอ 'รวมทิพย์-โสภณรัชต์-ทวีศิลป์' โดนแพทยสภา สั่งลงโทษคดีทักษิณ ชั้น 14
- วัดกึ๋น 'สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ใช้อำนาจวีโต้มติเอกฉันท์แพทยสภา ลงโทษ 3 หมอ คดีทักษิณชั้น14
- เปิดผลสอบแพทยสภา พักใบอนุญาต 2 หมอ 3/6 ด.- ทักษิณ ผ่าตัด 2 ครั้ง 'แก้นิ้วล็อก-ไหล่'
- แพทยสภา ลงนามรับรองครบถ้วน! ผลสอบ '3 หมอ' คดี ทักษิณ ชั้น 14 ถึงมือ 'สมศักดิ์' แล้ว
- ย้อนหลักฐานคลิปสัมภาษณ์อดีตแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. ชนวนพักใบอนุญาต 3 ด.-ยัน'ทักษิณ' อาการหนัก
- แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ส่งทนายยื่นร้องขอความเป็นธรรม 'สมศักดิ์' ปมถูกลงโทษจากคดีชั้น 14
- เช็กชื่อ '70 กรรมการ' แพทยสภารับมือ 'สมศักดิ์' วีโต้มติลงโทษ 3 หมอ คดี 'ทักษิณ' ชั้น14
- สภานายกพิเศษถกมติลงโทษ 3 หมอ คดี'ทักษิณ'ชั้น 14 ชี้ยังขาดข้อมูล จี้แพทยสภาส่งเพิ่ม
- แพทยสภา ปัดส่งคำสั่งแต่งตั้ง อนุ กก.กลั่นกรองให้ ‘สมศักดิ์‘ - ยันครบถ้วนตาม กม.แล้ว
- ไม่มีผล! 'ธนกฤต' ยันต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 15 วัน แม้แพทยสภาไม่ส่งเอกสารเพิ่ม
- ล้วงลึก บอร์ดเสนอความเห็น ‘สภานายกพิเศษ’-‘ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์’ : ใครก็กดดันผมไม่ได้
- 'กก.ชุดสมศักดิ์'นัดส่งความเห็นถกมติแพทยสภา 27 พ.ค.นี้-'ธนกฤต'ชี้ได้เอกสารไม่ครบ
- ‘สมศักดิ์’ กังขาอนุฯจริยธรรมฟัน 3 หมอก่อนแพทยสภาชุดใหญ่ โยน กก.เสนอเห็นพิจารณาวีโต้
- กก.ทีมสมศักดิ์ สรุปความเห็นมติลงโทษ 3 หมอ ยื่นสภานายกพิเศษฯ เผยไม่มีผลต่อคดีทักษิณชั้น 14
- สมศักดิ์ 'วีโต้' ทุกราย! บทลงโทษ 3 หมอ กรณี 'ทักษิณ' ชั้น 14 ส่งความเห็นให้แพทยสภาแล้ว
- ล้วงความเห็น 'สมศักดิ์' วีโต้บทลงโทษ 3 หมอ-ยัน แพทย์ใหญ่รพ.ตร.ไม่ผิดใส่ใจดูแลผู้ป่วย
- ฉบับเต็ม! 'สมศักดิ์' วีโต้มติแพทยสภากรณี 3 หมอ ชั้น 14 'ไม่ผิด-โทษหนักเกินไป'
- โฆษก สธ.ชี้คนวิจารณ์‘สมศักดิ์’ ปมวีโต้มติแพทยสภา เป็นพวกอาฆาตแค้น 'ทักษิณ'
- Mission: Impossible ผ่าภารกิจ 'สมศักดิ์' วีโต้แพทยสภา 'ทักษิณ' ได้ปย.คดีติดคุกทิพย์ ?
- ตรรกะวิบัติ? ของ'สมศักดิ์ เทพสุทิน'
- ตรรกะวิบัติ? ของ'สมศักดิ์ เทพสุทิน'(2) ตัวอย่างการลงโทษแพทย์ที่ออกใบรับรองเท็จ
- ฮือต้าน!'หมอ-โรม' รุมถล่ม 'สมศักดิ์'วีโต้มติแพทยสภา ล่าชื่อถอดถอนตำแหน่ง
- 'สมศักดิ์'แจงปมวีโต้มติแพทยสภา ทำตามมาตรฐานบทลงโทษ ยันไม่มีใบสั่งเอื้อ 'ทักษิณ'
- ‘สาธิต ปิตุเตชะ’ ให้กำลังใจแพทยสภา ชี้กล้าหาญเป็นต้นแบบความตรงไปตรงมา
- ประชาคมแพทย์ ชวนหมอลงชื่อหนุนแพทยสภาเปิดเผยการลงมติที่ประชุม 12 มิ.ย.นี้
- ยื่นหนังสือร้อง 'สมศักดิ์' ตรวจสอบจริยธรรมหมอ ปมแชทไลน์'แพทยสภา'หลุด
- เปิดความเห็น 1 ใน กก.ชุด 'สมศักดิ์' เสนอ 'วีโต้' แพทยสภากับกรณี 'บุคคลสำคัญของชาติ'
- 74 อดีต สว.หนุนแพทยสภายืนยันมติลงโทษ 3 หมอ คดี 'ทักษิณ' รักษาเกียรติภูมิวิชาชีพ
- ทนาย 'ผช.ผบ.ตร.'แจ้งโนติส คกก.แพทยสภา พิจารณาคดีชั้น14 ไม่เป็นธรรม-เจอดำเนินการทางกม.
- เอ็กซ์คลูซีฟ! มติลงคะแนนแพทยสภายืนลงโทษ 3 หมอ คดี 'ทักษิณ' หัก วีโต้ 'สมศักดิ์'
- รองโฆษก สธ.เผยมติลงโทษ 3 หมอ คดีชั้น 14 หวั่นกระทบนักโทษที่ต้องออกไปรักษา รพ.รัฐ
- วิจารณ์ขรม! พยาบาลเรียกรถส่งตัว 'ทักษิณ' ย้ายข้ามห้วยไปรพ.ที่สุโขทัย บ้านเกิด ‘สมศักดิ์’
- เปิดครบชื่อ 20 พยานใหม่ ไต่สวนคดี 'ทักษิณ' ติดคุกทิพย์ - เรียก 'อธิบดีราชทัณฑ์' ด้วย
- ไขความจริง! พยาบาลเวรเรียกรถส่งตัว 'ทักษิณ' ย้ายปริศนาไปอยู่สุโขทัย แค่บังเอิญหรือ..?
- ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์! ศาลฯ เรียกพยานเพิ่ม 20 ปาก ขีดเส้น ทักษิณ ยื่นคำชี้แจง 23 มิ.ย.นี้
- ไต่สวนคดีติดคุกทิพย์นัดแรก! ผบ.เรือนจำ ยอมรับส่งตัว 'ทักษิณ' ไป รพ.ตร.ไม่ผ่านรพ.ราชทัณฑ์
- ผบ.ตร. สั่งแพทย์ใหญ่ ตร. หยุดทำหน้าที่หมอ 1 ต.ค. 68 เผยอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง
- ‘ทวี’มองเป็นสัญญาณดี‘ศาลฎีกาฯ’เรียก 20 ปาก ไต่สวนฯ‘คดีทักษิณชั้น 14’ ค้นหาความจริง
- ปิดคำร้อง'ชาญชัย'คดี'ทักษิณชั้น 14'-'ศาลฎีกาฯ'ใช้แนบส่ง'ป.ป.ช.-ทักษิณ-ราชทัณฑ์'ชี้แจง
- แพทยสภาแจ้งมติ คกก.ลงโทษหมอรักษา'ทักษิณ' พักใบอนุญาตฯมีผล 1 ต.ค.68

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา