"...ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบสถานะและคุณูปการของบุคคล หรือบุคคลสำคัญของชาติ ในสังคมต่างๆ ทั่วโลก จึงทำให้ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยต่างๆ ตามมาตรฐานของประกอบวิชาชีพเวชกรรม ภายใต้ความสามารถและข้อจำกัด ตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับกันดีในสังคมทั่วโลก..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เป็นความเห็นของ 1 ในคณะกรรมการเสนอความเห็นต่อสภานายกพิเศษ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กรณีที่แพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่ให้การรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ต้องขังที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 8 ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือ 1 ปี
สำหรับความเห็นของกรรมการรายนี้เสนอให้นายสมศักดิ์ "ยับยั้ง" หรือ วีโต้ มติแพทยสภา ด้วยเหตุผลที่ว่า แพทยสภา สมควรวางบรรทัดฐานการลงโทษด้านจริยธรรมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้สอดคล้องกับบริบทของฐานะอาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และสถานะของผู้ป่วยที่มีสถานะ และคุณูปการต่อสังคม และบุคคลสำคัญของชาติ
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวอิศรา ขอสงวนชื่อกรรมการรายนี้ ซึ่งยังคงรับราชการอยู่
****************
ข้อเสนอความเห็นต่อสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525
1. ข้อเท็จจริง
กรณีการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพในคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติ ตามมติที่ประชุมแพทยสภาว่า การที่กรมราชทัณฑ์ได้จัดแถลงข่าวบริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 โดยผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านสุขภาพผู้ป่วย ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สังกัดกรมราชทัณฑ์ โดยให้ข้อมูลในส่วนสำคัญว่า “ผู้ป่วยเป็นกลุ่มเปราะปาง อายุเกิน 70 ปี และจากประวัติทางการรักษาที่ผ่านมา ผู้ป่วยมีอาการป่วย 4 โรค คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคปอดอักเสบ เนื่องมาจากติดเชื้อโควิด-19 โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกสันหลังเสื่อม ดังนั้น จากประวัติการรักษาที่ผ่านมาร่วมกับผลการตรวจเบื้องต้น มีโรคประจำตัวที่ต้องเฝ้าระวัง ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง มีหลายโรคที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง” นอกจากนี้ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้อธิบายเพิ่มเติมด้านการแพทย์ที่มีการสอบถามแนวทางการดูแลด้านสุขภาพการแพทย์ของกรมราชทัณฑ์ในผู้ต้องขัง นอกจากนี้การที่คำชี้แจงของผู้ถูกร้องที่ 1 อ้างว่า เวลาประมาณ 23.59 น. ของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ผู้ป่วยมีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอกหายใจเหนื่อยความดันโลหิตสูง และระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดปลายนิ้วต่ำ ซึ่งเป็นเหตุให้มีการส่งตัวผู้ป่วยอย่างฉุกเฉิน และนอกเวลาไปยังโรงพยาบาลตำรวจ
ผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นแพทย์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ตรวจร่างกายผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ต้องขังรับใหม่ ณ สถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 และต่อมาได้ทำการตรวจผู้ป่วยเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. จากการตรวจผู้ป่วยเมื่อแรกรับได้ทราบข้อเท็จจริงจากผู้ป่วยว่า รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยเล็กน้อย ไม่มีไข้ ไม่ไอ ไม่มีเจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกเบื่ออาหาร รับประทานได้น้อย ไม่ปวดท้อง ขับถ่ายได้ปกติ มีท้องผูกบ้าง มีอาการขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้ตรวจร่างกายโดยเปิดดูเปลือกตา คลำต่อมน้ำเหลืองที่คอ ฟังเสียงปอดและหัวใจดูภาวะบวมที่ขา สภาพผิวหนังและบาดแผลตามร่างกาย ตรวจระบบประสาทโดยตรวจกำลังกล้ามเนื้อ 4 ระยางค์ ใช้เวลาซักประวัติและตรวจร่างกายประมาณ 5-10 นาที ผลการตรวจพบ ความดันโลหิต 140/90 มิลลิเมตรปรอท ชีพจร 80 ครั้งต่อนาที หายใจ 18 ครั้งต่อนาที ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด 94% อุณหภูมิ 36.8 องศาเซลเซียส น้ำหนัก 73 กิโลกรัม ส่วนสูง 172 เซนติเมตร หลังจากนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 ได้รับเอกสารประวัติการรักษาเดิมของผู้ป่วยซึ่งเป็นเอกสารทางการแพทย์จากหลายประเทศ พบว่ามีหลายโรค มีการรักษาหลายครั้ง และผลการตรวจวินิจฉัยหลายอย่าง
ผู้ถูกร้องที่ 2 จึงได้ทบทวนประวัติการรักษาเดิมและบันทึกลงในเวชระเบียนของสถานพยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 ประเมินว่าโรคของผู้ป่วย หลายโรค ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางดังกล่าว ผู้ถูกร้องที่ 2 เห็นว่า ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางเป็น OPD case (ผู้ป่วยนอก) ในวันและเวลาราชการ เพื่อทำการตรวจรักษาต่อเนื่องโดยให้ทางเรือนจำติดต่อประสานงานขั้นตอนในการส่งตัวออกไปในวันและเวลาราชการ เพื่อทำการตรวจรักษาต่อเนื่องโดยให้ทางเรือนจำติดต่อประสานงานขั้นตอนในการส่งตัวออกไปในวันและเวลาราชการเพื่อพบแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ ต่อไป จึงได้เขียนแบบสำหรับส่งผู้ป่วยไปตรวจหรือรักษาต่อโดยไม่ได้ระบุสถานพยาบาลที่จะรับส่งต่อ
หลังจากนั้นผู้ถูกร้องที่ 2 จึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ ณ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์จนถึง 16.30 น. ต่อไป ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 21.00-22.00 น. ผู้ถูกร้องที่ 2 ซึ่งมิใช่แพทย์ประจำสถานพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และมิได้ปฏิบัติหน้าที่แพทย์เวรห้วงเวลา ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้รับโทรศัพท์ (ไลน์คอล) จากพยานคนที่ 1 (พยาบาลเวรของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร) ปรึกษาแจ้งอาการของผู้ป่วยว่า มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดต่ำลง สังเกตอาการแย่ลงเรื่อย ๆ โดยพยานคนที่ 1 ได้ปรึกษาพยานคนที่ 2 ซึ่งเป็นแพทย์เวรห้วงเวลาทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์แล้ว พยานคนที่ 2 จึงได้แนะนำให้ส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลตำรวจด่วน ซึ่งจากอาการที่ได้รับรายงานดังกล่าวประกอบกับผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจเดิมที่อยู่ระหว่างการรักษาตามที่ปรากฏในประวัติการรักษาจากต่างประเทศ
ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีอาการของ acute coronary syndrome ซึ่งถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนมีความเสี่ยงถึงอันตรายแก่ชีวิตได้ จึงแนะนำว่าไม่ควรสังเกตอาการต่อในสถานพยาบาลของเรือนจำ ควรส่งออกจากเรือนจำเพื่อตรวจรักษาในสถานพยาบาลที่เหมาะสม โดยพยานคนที่ 1 ได้ขออนุญาตใช้แบบสำหรับส่งผู้ป่วยไปตรวจหรือรักษาต่อที่ ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้เขียนไว้ตั้งแต่การตรวจร่างกายแรกรับเข้าเรือนจำเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. เพื่อความรวดเร็วในการทำเอกสารประกอบเรื่องขออนุญาตออกจากเรือนจำ
กรณี ผู้ถูกร้องที่ 3 นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ (สบ 8) ในช่วงวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2566 ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ซึ่งมีข้อมูลทางการแพทย์ที่ไม่ครบถ้วนกับความเป็นจริง ได้แก่
ข้อ 1 คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ถอดบันทึกบทสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ได้ช่วงหนึ่งว่า
คำถามจากนักข่าว : ความดันเท่าไร?
ผู้ถูกร้อง : ความดันเมื่อเช้า ตอนก่อนที่จะมาเนี่ย เท่าที่หมอรายงานเนี่ย ยังความดันสูงอยู่นะครับ ตัวบนยัง 170 ตัวล่างยัง 115-120 แล้วก็กลัวอยู่เหมือนกันครับ กลัวพวกความดันสูงมาก ๆ เดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องสมองขาดเลือดหรือเลือดออกในสมองเราก็กลัวครับ ทางอาจารย์หมอราชทัณฑ์ก็กลัวเรื่องนี้ ก็เลยรีบส่งต่อจนความดันลง
ข้อ 2 คณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ถอดบันทึกบทสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2566 ได้ช่วงหนึ่งว่า
ผู้ถูกร้อง : คือเราทำตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ แล้วเราทำ echo ตอนแรกเราทำ echo mobile วันนี้ เราทำ echo เครื่องใหญ่ echo หัวใจครับ ดูก็พบว่ายังมีอาการน่าเป็นห่วงอยู่ ความดันยังทรงตัวอยู่ช่วงยังไม่พ้นเวลาระยะเวลากักตัวนะครับ แล้วก็ยังมีอาการไอแล้ว ก็หอบอยู่ จากเอกซเรย์ปอดหรืออะไรอย่างนี้ คือ คุณหมอทางด้านหัวใจ คุณหมอปอดเขาก็ยังเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่
ส่วนผู้ถูกร้องที่ 4 ได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์เกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ จำนวน 2 ฉบับ กล่าวคือ
(1) ฉบับลงวันที่ 15 กันยายน 2566 มีข้อความสำคัญ คือ “การรักษายังไม่สิ้นสุดเพราะต้องรักษาแผลที่ผ่าตัด ตรวจและวางแผนผ่าตัดโรคที่รายงาน จึงจำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล”
(2) ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2566 มีข้อความสำคัญ คือ “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วนเพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง”
สรุปโดยรวมแล้ว เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2566 ที่ผู้ถูกร้องที่ 4 ระบุว่า “ จำเป็นต้องรักษาในโรงพยาบาล” นั้น เมื่อพิจารณาแล้วไม่มีกลุ่มอาการและโรคของผู้ป่วยรายนี้ที่จำเป็นต้องพักรักษาตัวต่อเนื่องในโรงพยาบาล เพราะการรักษาดังกล่าวสามารถติดตามอาการแบบผู้ป่วยนอกได้ นอกจากนี้การให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการสอบสวนฯ ของผู้ถูกร้องที่ 4 ยังพบข้อพิรุธในถ้อยคำที่ว่า “โรคที่ผู้ถูกร้องที่ 4 เห็นว่าต้องรักษาในโรงพยาบาลคือ เอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาด” แต่ประวัติจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจระบุว่า ผู้ป่วยได้รับบาดเจ็บ และมีเอ็นหัวไหล่ขวาฉีกขาดเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2566 หลังจากวันที่ผู้ถูกร้องที่ 4 ออกใบแสดงความเห็นแพทย์
กรณีใบแสดงความเห็นแพทย์ที่ออกเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 4 ยังได้ออกความเห็นเกี่ยวกับผู้ป่วยรายนี้ว่า “ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน เพราะมีอาการปวดรุนแรง มือและแขนอ่อนแรง ” แต่ความเห็นของราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทยระบุว่า “โดยจากข้อมูลที่ได้มา ไม่มีประวัติอาการปวดไหล่ขวามาก่อน ต่อมาได้ข้อมูลการวินิจฉัยเอ็นหัวไหล่ข้างขวาฉีกขาดจากตรวจร่างกายและผลตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น rotator cuff tear ซึ่งหากเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ทางออร์โธปิดิกส์จะจัดว่าไม่ใช่ภาวะเร่งด่วน ซึ่งหากเป็นไปได้ ควรทำการรักษาผ่าตัดโดยเร็ว แต่ไม่ควรทิ้งไว้เกิน 3-6 สัปดาห์ และหากพิจารณารับรักษาโดยการผ่าตัดจำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังการผ่าตัด” ดังนั้น เป็นการให้ข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง
สรุปการออกใบแสดงความเห็นแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ทั้งสองใบถือว่า มีข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง รวมทั้งผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นประสาทศัลยแพทย์ ไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้ความชำนาญทางศัลยกรรมกระดูกและข้อ ซึ่งเป็นโรคที่ได้รับการผ่าตัดในผู้ป่วยรายนี้ จึงไม่ควรลงความเห็นแทนแพทย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โดยควรให้แพทย์เจ้าของไข้ หรือแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นผู้ลงความเห็น
2. แพทยสภากำหนดบรรทัดฐาน สำหรับการพิจารณาคดีนี้ ดังนี้
แพทย์สภาวางบรรทัดฐานในการลงโทษแพทย์ที่แสดงความคิดเห็นหรือให้สัมภาษณ์โดยให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยพิจารณาบนหลักการสำคัญ จากพฤติกรรมของผู้กระทำ และตามหลักความเสียหายว่า ถ้าจงใจ เจตนาและเสียหายมาก ต้องรับโทษสถานหนัก และกรณีที่จริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม กระทบกับองค์กร และสังคมมาก เช่นในกรณีนี้ จึงต้องวางแนวทางให้ชัดเจนว่าจะลงโทษอย่างไร โดยไม่ต้องกังวลสังคมมากจนเกินไป โดยคณะกรรมการแพทยสภาต้องมีเหตุผลชันเจน ใช้ดุลพินิจโดยชอบในการวินิจฉัยชี้ขาด การให้สัมภาษณ์ของผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเข้าใจว่าผู้ป่วยมีอาการฉุกเฉิน รุนแรง จำเป็นต้องรับตัวไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นการบิดเบือนความจริงไปจากที่บันทึกไว้ในเวชระเบียน การให้สัมภาษณ์ของผู้ถูกร้องที่ 3 ทำให้การเจ็บป่วยดูยังมีความรุนแรง และการให้สัมภาษณ์นักข่าวในกรณีที่เป็นประเด็นใหม่ทางสังคมนั้น ควรมีความระมัดระวังและไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากข้อเท็จจริงในทางการแพทย์ การกระทำผู้ต้องร้องที่ 3 ส่งผลกระทบต่อสังคม กระทบความยุติธรรม และกระทบความเชื่อมั่นในวิชาชีพแพทย์อย่างชัดเจน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อวิชาชีพแพทย์และสังคมในวงกว้าง ดังนั้น แพทยสภาจึงมีมติลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้ถูกร้องที่ 3 มีกำหนดเวลาสามเดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนี้ แพทยสภายังได้วางบรรทัดฐานในการลงโทษแพทย์ที่ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ซึ่งมีข้อมูลทางการแพทย์ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยทราบว่าใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าวทั้ง 2 ฉบับ เป็นความเห็นแพทย์ที่จะถูกนำไปใช้ประกอบการขอความเห็นชอบสำหรับกรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวนอกเรือนจำ นานเกินกว่าสามสิบและหกสิบวันตามลำดับ ผู้ถูกร้องที่ 4 จึงควรระบุความเห็นให้ชัดเจนในด้านระยะเวลาและเหตุผลให้ชัดเจน ในการต้องพักรักษาตัว การให้ความเห็นทางการแพทย์ของ ผู้ถูกร้องที่ 4 มีพิรุธ ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นนักโทษสามารถพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนอกเรือนจำ นานเกินกว่าที่ควรจะเป็น รวมทั้งการออกใบแสดงความเห็นแพทย์ดังกล่าว อาจทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้ประโยชน์โดยมิชอบ เป็นการเลือกปฏิบัติ ส่งผลกระทบต่อสังคมและความเชื่อมั่นต่อวงการแพทย์อย่างชัดเจน การให้ความเห็นทางการแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 เต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่สุจริต มิใช่พลั้งเผลอ ประมาท หรือกระทำโดยความไม่รู้ การกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อวิชาชีพและสังคมอย่างชัดเจน และการกระทำนั้นย่อมเล็งเห็นได้ว่า ทำให้ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาลได้นานขึ้น ในอดีตที่ผ่านมาแพทยสภาก็ลงโทษแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ไม่ตรงกับความจริงเสมอ ดังนั้น แพทยสภาจึงมีมติลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นเวลา 6 เดือน กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
สำหรับผู้ถูกร้องที่ 1 มิได้กระทำผิด ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2565 หมวด 2 ข้อ 16 จึงมีมติเอกฉันท์ให้ยกข้อกล่าวโทษ กรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความจริง
ส่วนผู้ถูกร้องที่ 2 แพทยสภามีมติว่าพฤติกรรมของผู้ถูกร้องที่ 2 ยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมภายใต้ความสามารถ และข้อจำกัด ตามภาวะวิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ ผู้ถูกร้องที่ 2 ได้กระทำผิดข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2565 หมวด 2 ข้อ 10 มีมติเอกฉันท์ให้ลงโทษว่ากล่าวตักเตือน กรณีมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
3. มติแพทยสภา
ที่ประชุมแพทยสภาได้ประชุมแล้ว มีมติว่า
(1.) ยกข้อกล่าวโทษ นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้ถูกต้องที่ 1 กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
(2.) ลงโทษ ว่ากล่าวตักเตือน แพทย์หญิงรวมทิพย์ สุภานันท์ ผู้ถูกร้องที่ 2 มาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
(3.) ลงโทษ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโทนายแพทย์โสภณรัชต์ สิงหจารุ ผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นเวลาสามเดือน กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
(4.) ลงโทษ พักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมของพลตำรวจโท นายแพทย์ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ผู้ถูกร้องที่ 4 เป็นเวลาหกเดือน กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง
4.ความเห็น
4.1 แพทย์ที่ทำงานในสถานที่ทำงานต่างกันควรมีมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมที่แตกต่างกัน
ข้อเท็จจริง ขณะเกิดเหตุผู้ถูกร้องที่ 3 และผู้ถูกร้องที่ 4 รับราชการแพทย์ตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ส่วนผู้ถูกร้องที่ 1 รับราชการเป็นแพทย์ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 3 , 4 และ 1 ถูกสอบสวนจริยธรรมวิชาชีพเวชกรรม กรณี ให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ อันไม่ตรงกับความเป็นจริง ส่วนผู้ถูกร้องที่ 2 รับราชการเป็นแพทย์ อยู่ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ถูกสอบสวนจริยธรรมวิชาชีพเวชกรรม กรณี มาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ภายใต้ความสามารถ และข้อจำกัด ตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ผู้ถูกร้องที่ 3 – 4 เป็นข้าราชการ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนผู้ถูกร้องที่ 1 – 2 เป็นข้าราชในสังกัด กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกร้องทั้งสี่ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ของผู้บังคับบัญชาตามสายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมราชทัณฑ์ ซึ่งทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมราชทัณฑ์อยู่ภายใต้ฝ่ายบริหารของนักการเมือง ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดังนั้น ผู้ถูกร้องวิชาชีพเวชกรรม ในฐานะข้าราชการ กับแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชน และแพทย์ในโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนต่างๆ จึงมีมาตรฐาน ภายใต้ความสามารถและจำกัด ตามภาวะวิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ และการให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ แตกต่างกัน
4.2 ข้อเท็จจริงที่รับรู้กันอยู่โดยทั่วไปในทุกสังคมทั่วโลก ในเรื่องบุคคลสำคัญของชาติต่างๆ
แม้ผู้ถูกร้องผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะได้คำนึงถึงศักดิ์ศรี และเกียรติของผู้ป่วย และไม่คำนึงถึงฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ เพศสภาพ ศาสนา สังคม หรือสิทธิทางการเมือง อย่างดีแล้วก็ตาม แต่สถานะและคุณูปการของบุคคลในสังคม กล่าวคือ “บุคคลสำคัญของชาติ” ไม่ว่าจะเป็นประมุขของประเทศใด ๆ ในโลกนี้ เศรษฐีผู้เป็นเจ้าของธุรกิจรายใหญ่ รวมทั้ง โรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ทั่วโลก ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้นำทางการเมืองของทุกประเทศพระสงฆ์ชั้นเทพชั้นสมเด็จ ประมุขของทุกศาสนา ครูบาอาจารย์ ของทุกมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะอาจารย์หมอในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ต่าง ๆ
ซึ่ง "บุคลสำคัญของชาติ” ทุกประเภท เป็นสิ่งที่สถานบริการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน สถานศึกษา โรงแรม โรงพยาบาล เรือนจำ ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็นการต้อนรับ การเรียนการสอน การเข้าพักค้าง การรักษาพยาบาล หรือการควบคุมตัวในเรือนจำต่าง ๆ ทั่วโลก
ดังนั้น ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ประกอบสถานะและคุณูปการของบุคคล หรือบุคคลสำคัญของชาติ ในสังคมต่างๆ ทั่วโลก จึงทำให้ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยต่างๆ ตามมาตรฐานของประกอบวิชาชีพเวชกรรม ภายใต้ความสามารถและข้อจำกัด ตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่มีอยู่ในสถานการณ์นั้น ๆ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับกันดีในสังคมทั่วโลก
4.3 ผู้ถูกร้องที่ 1-2 ให้ความเห็นทางการแพทย์ เพียงว่า ผู้ต้องขัง ควรได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน นอกเรือนจำ ส่วนผู้ถูกร้องที่ 3-4 ให้ความเห็นทางการแพทย์ โดยมีจุดประสงค์เพียงว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังไว้รักษาในโรงพยาบาล สำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะเท่านั้น
ในคดีนี้ ความเห็นทางการแพทย์ของผู้ถูกร้องทั้ง 4 นั้น เป็น “ปัจจัยย่อย” ในการส่งตัวผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นผู้ป่วยในคดีนี้ ไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ข้อ 2 , 3 และ 7 ส่วน “ปัจจัยหลัก” คือ การใช้อำนาจของ ผู้บัญชาการเรือนจำ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดังนั้น ความเห็นทางการแพทย์ของผู้ถูกร้องทั้ง 4 แม้จะให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์ ตามมาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมภายใต้ความสามารถ และข้อจำกัด ตามภาวะ วิสัย และพฤติการณ์ที่อยู่ในสถานการณ์นั้นๆ อย่างไร ก็คงเป็นอำนาจของผู้บัญชาการเรือนจำ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่จะใช้ดุลพินิจว่าจะอนุญาตให้รับตัวไว้รักษา ตามแพทย์ผู้ทำการตรวจรักษา ที่มีความเห็นเพียงว่า “สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษาในโรงพยาบาลนอกเรือนจำ” หรือไม่ หากผู้บัญชาการเรือนจำหรืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของแพทย์ ผู้ทำการดูแลรักษาที่มีความเห็นว่า สมควรรับตัวผู้ต้องขังคนนั้นไว้รักษา ผู้ต้องขังนั้นก็ไม่อาจรักษาตัวนอกเรือนจำได้
4.4 กรณีนี้ ไม่มีผู้กล่าวหา มีเพียงผู้กล่าวโทษเท่านั้น
คดีนี้ ไม่มีผู้กล่าวหา คือ บุคคลที่ได้รับความเสียหาย อันเกิดจากข้อกล่าวหาด้านจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ถูกร้องทั้ง 4 โดยตรง คดีนี้ มีเพียง ผู้กล่าวโทษ คือ บุคคลผู้รู้เรื่อง ข้อกล่าวหาด้านจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรมของผู้ถูกร้องทั้ง 4 เท่านั้น จึงเป็นกรณีต้องรับฟังข้อเท็จจริงและปรับบทข้อกำหนดแห่งจริยธรรมวิชาชีพเวชกรรมด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ว่าการที่ผู้ถูกร้องทั้ง 4 ให้ข้อมูลและเอกสารทางการแพทย์ และดูแลรักษาผู้ป่วย ดีกว่ามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ นั้น สมควรที่จะลงโทษด้านจริยธรรมการประกอบวิชาชีพเวชกรรมแค่ไหนเพียงไร
4.5 สมควรส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ถูกร้องทั้งหมด
ให้แพทยสภาพิจารณาสำหรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ถูกร้อง มิใช่มติของแพทยสภา ที่จะให้ความเห็นชอบหรือยับยั้งตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 แต่อย่างใด การให้ความเป็นธรรมแพทย์ผู้ถูกร้อง เป็นอำนาจพิจารณาเฉพาะของแพทยสภา ดังนั้น จึงสมควรส่งหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของผู้ถูกร้องทั้งหมดไปยังแพทยสภา เพื่อให้แพทยสภาใช้เป็นข้อมูล ประกอบการในการพิจารณาทบทวนตามเหตุผลในการยับยั้งของสภานายกพิเศษแห่งแพทยสภาต่อไป
4.6 สรุป สมควรยังยั้งมติแพทยสภา
ดังนั้น จึงสมควรยับยั้งมติแพทยสภาที่ลงโทษผู้ถูกร้องที่ 2 , 3 และ 4 ด้วยเหตุผลที่ว่า แพทยสภา สมควรวางบรรทัดฐานการลงโทษด้านจริยธรรมการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ให้สอดคล้องกับบริบทของฐานะอาชีพ ของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม และสถานะของผู้ป่วยที่มีสถานะ และคุณูปการต่อสังคม และบุคคลสำคัญของชาติ
****************

อ่านประกอบ :
- คดีทักษิณ ชั้น 14! แพทยสภา สั่งลงโทษ 3 หมอ ตักเตือน 1 พักใบอนุญาต 2
- 6 รายอยู่ในข่าย? เช็กชื่อ '3 หมอ' แพทยสภา สั่งลงโทษคดี 'ทักษิณ' ชั้น 14
- เปิดชื่อ 3 หมอ 'รวมทิพย์-โสภณรัชต์-ทวีศิลป์' โดนแพทยสภา สั่งลงโทษคดีทักษิณ ชั้น 14
- วัดกึ๋น 'สมศักดิ์ เทพสุทิน’ ใช้อำนาจวีโต้มติเอกฉันท์แพทยสภา ลงโทษ 3 หมอ คดีทักษิณชั้น14
- เปิดผลสอบแพทยสภา พักใบอนุญาต 2 หมอ 3/6 ด.- ทักษิณ ผ่าตัด 2 ครั้ง 'แก้นิ้วล็อก-ไหล่'
- แพทยสภา ลงนามรับรองครบถ้วน! ผลสอบ '3 หมอ' คดี ทักษิณ ชั้น 14 ถึงมือ 'สมศักดิ์' แล้ว
- ย้อนหลักฐานคลิปสัมภาษณ์อดีตแพทย์ใหญ่ รพ.ตร. ชนวนพักใบอนุญาต 3 ด.-ยัน'ทักษิณ' อาการหนัก
- เช็กชื่อ '70 กรรมการ' แพทยสภารับมือ 'สมศักดิ์' วีโต้มติลงโทษ 3 หมอ คดี 'ทักษิณ' ชั้น14
- สภานายกพิเศษถกมติลงโทษ 3 หมอ คดี'ทักษิณ'ชั้น 14 ชี้ยังขาดข้อมูล จี้แพทยสภาส่งเพิ่ม
- แพทยสภา ปัดส่งคำสั่งแต่งตั้ง อนุ กก.กลั่นกรองให้ ‘สมศักดิ์‘ - ยันครบถ้วนตาม กม.แล้ว
- ไม่มีผล! 'ธนกฤต' ยันต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จใน 15 วัน แม้แพทยสภาไม่ส่งเอกสารเพิ่ม
- ล้วงลึก บอร์ดเสนอความเห็น ‘สภานายกพิเศษ’-‘ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์’ : ใครก็กดดันผมไม่ได้
- 'กก.ชุดสมศักดิ์'นัดส่งความเห็นถกมติแพทยสภา 27 พ.ค.นี้-'ธนกฤต'ชี้ได้เอกสารไม่ครบ
- ‘สมศักดิ์’ กังขาอนุฯจริยธรรมฟัน 3 หมอก่อนแพทยสภาชุดใหญ่ โยน กก.เสนอเห็นพิจารณาวีโต้
- กก.ทีมสมศักดิ์ สรุปความเห็นมติลงโทษ 3 หมอ ยื่นสภานายกพิเศษฯ เผยไม่มีผลต่อคดีทักษิณชั้น 14
- สมศักดิ์ 'วีโต้' ทุกราย! บทลงโทษ 3 หมอ กรณี 'ทักษิณ' ชั้น 14 ส่งความเห็นให้แพทยสภาแล้ว
- ล้วงความเห็น 'สมศักดิ์' วีโต้บทลงโทษ 3 หมอ-ยัน แพทย์ใหญ่รพ.ตร.ไม่ผิดใส่ใจดูแลผู้ป่วย
- ฉบับเต็ม! 'สมศักดิ์' วีโต้มติแพทยสภากรณี 3 หมอ ชั้น 14 'ไม่ผิด-โทษหนักเกินไป'
- โฆษก สธ.ชี้คนวิจารณ์‘สมศักดิ์’ ปมวีโต้มติแพทยสภา เป็นพวกอาฆาตแค้น 'ทักษิณ'
- Mission: Impossible ผ่าภารกิจ 'สมศักดิ์' วีโต้แพทยสภา 'ทักษิณ' ได้ปย.คดีติดคุกทิพย์ ?
- ตรรกะวิบัติ? ของ'สมศักดิ์ เทพสุทิน'
- ตรรกะวิบัติ? ของ'สมศักดิ์ เทพสุทิน'(2) ตัวอย่างการลงโทษแพทย์ที่ออกใบรับรองเท็จ
- ฮือต้าน!'หมอ-โรม' รุมถล่ม 'สมศักดิ์'วีโต้มติแพทยสภา ล่าชื่อถอดถอนตำแหน่ง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา