
"...แม้ว่าที่ผ่านมา สภานายกพิเศษ มักมีความเห็นตามมติคณะกรรมการแพทยสภา มาโดยตลอด แต่ในยุคของ สภานายกพิเศษ ที่ชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่มีภารกิจอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ขณะที่ด้วยสถานะทางการเมือง ของนายสมศักดิ์ ก็เป็นลูกน้องของนายทักษิณ อยู่แล้ว..."
"อย่าเพิ่งสรุป ไม่มีอะไรต้องสรุปล่วงหน้า ผมเชื่อว่า ผู้พิพากษาที่พิจารณาก็ยังไม่สามารถสรุปได้เพราะต้องดูพยานหลักฐานดูการสืบพยานโจท์พยานจำเลย ดังนั้นอย่าไปสรุปเองอย่าไปอย่าไปทำนายอะไรล่วงหน้าอย่าไปคาดการล่วงหน้า มันไม่มีอะไร"
คือ คำยืนยันของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้กับสื่อมวลชน หลังมีคำถามกรณีแพทยสภามีมติให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ภายหลังปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ มุมมองและความท้าทายต่อการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน” ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา
ขณะที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้โจทก์ คือ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ จำเลย คือ นายทักษิณ ชินวัตร ไปชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลฯ กรณีนายทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี และถูกส่งตัวไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้

ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลยืนยันเป็นทางการ ว่า ในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ นายทักษิณ จะเดินทางไปชี้แจงต่อศาลฯ ด้วยตนเองหรือไม่ หรือจะมอบหมายให้ทนายความไปแทน
แต่มีหลายฝ่ายออกมาวิเคราะห์กันว่า ถ้าหากนายทักษิณเดินทางไปด้วยตนเองจะถือเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงมาก เพราะหลังการพิจารณาข้อเท็จจริงหากศาลฯ มีความเห็นว่า นายทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี จริง อาจทำให้นายทักษิณ ต้องถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำเพื่อรับโทษเดิมที่เคยกำหนดไว้ 1 ปี ทันที
ในทางตรงกันข้าม หากศาลฯ พิจารณาเอกสารหลักฐานต่างๆ แล้ว เห็นว่า นายทักษิณ มีอาการเจ็บป่วยหนักจริง จนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ตามข้อมูลที่ปรากฏไปก่อนหน้านี้ ข้อครหาเรื่องที่นายทักษิณไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาเป็นเวลา 1 ปี จากการใช้เล่ห์กล โดยมีแพทย์กลุ่มหนึ่งให้ความช่วยเหลือ ก็จะพ้นมลทินไปโดยปริยาย
แต่การจะถึงจุดนั้นได้ นายทักษิณ จะต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนคดีของศาลฯ เป็นทางการเสียก่อน ซึ่งมี 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ
1. ในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นี้ นายทักษิณ จะเดินทางไปชี้แจงต่อศาลฯ ด้วยตนเองหรือไม่?
ประเด็นนี้ นายทักษิณ และทีมงานกฎหมายน่าจะต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า กรณีที่จำเลย ไม่ไปศาลตามนัดหมายที่ได้รับหมายเรียกจากศาล มีโทษทางกฎหมาย ซึ่งอาจรวมถึงการถูกปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือถูกออกหมายจับ ขึ้นอยู่กับประเภทของคดีและดุลยพินิจของศาล
ขณะที่แหล่งข่าวในแวดวงนักกฎหมายให้ความเห็นต่อสำนักข่าวอิศราว่า ตามกระบวนการพิจารณาคดีความทางอาญา ความผิดทางอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัว ที่จำเลยต้องเดินทางไปพบศาลด้วยตนเอง ไม่สามารถมอบหมายให้ใครไปแทนได้ ยิ่งกรณีนี้ ศาลมีคำสั่งว่าจะไต่สวนข้อเท็จจริงเอง จำเลยก็ต้องไปตามนัดไม่สามารถปฏิเสธได้
"กรณีคุณทักษิณ โดยส่วนตัวคิดว่า ยังไงก็จะต้องเดินทางไปเอง ส่วนจะไปเพื่อไปขอเลื่อนให้ปากคำ ก็อาจจะทำได้ แต่ต้องดูว่า สาเหตุการขอเลื่อนมีเหตุผลน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ เช่น มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง หรือติดเชื้อโรคร้ายแรงอย่างโควิด ก็อาจจะสามารถขอเลื่อนได้ แต่สุดท้ายก็ต้องไปให้ปากคำต่อศาลอยู่ดี" แหล่งข่าวระบุ
เมื่อย้อนกลับไปพิจารณากรณีนายทักษิณ ที่ปัจจุบันมีภารกิจเดินทางไปออกงานหลายงานโดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมไม่มีท่าทีแสดงอาการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแต่อย่างใด ยังมีการพูดจาแซวสื่อมวลชน ด้วยว่า “ยังอยู่ดีกินดี ยังอยู่ดีกินดี ไม่ได้หนีไปไหน แก่แล้ว 70 กว่าแล้ว”
แนวโน้มในปัจจุบัน นายทักษิณ น่าจะเดินทางไปศาลฯ ด้วยตนเอง โดยไม่มีปัญหาอุปสรรคอะไร การไต่สวนข้อเท็จจริงของศาลในส่วนของนายทักษิณ คงจะไม่มีปัญหาอะไร
ส่วนเมื่อถึงวันนัดหมายจริงๆ คือ 13 มิ.ย.2568 นายทักษิณ จะมีอาการเจ็บป่วย แบบเฉียบพลัน จนทำให้ไม่สามารถเดินทางไปตามนัดหมายของศาล และขอเลื่อนการเข้าให้ข้อเท็จจริง และหายตัวออกนอกประเทศไปเลยเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนหรือไม่ เป็นอีกหนึ่งกรณีที่ต้องติดตามดูกันต่อไป
2. คำชี้แจงต่อศาลฯ เรื่องอาการเจ็บป่วยและการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ของ นายทักษิณ เป็นอย่างไร?
ตัดกลับมาที่กรณี นายทักษิณ ตัดสินใจ เดินทางไปชี้แจงต่อศาลฯ ในวันที่ 13 มิ.ย.2568 นี้ ด้วยตนเอง
มีการวิเคราะห์กันว่า ไฮไลน์คำชี้แจงสำคัญของนายทักษิณ ในเรื่องนี้ น่าจะเป็นการยืนยันต่อศาลว่าตนเองมีอาการเจ็บป่วยหนักจริง โดยใช้เอกสารใบรับรองอาการป่วยและการรับการรักษาจากแพทย์เป็นหลักฐานยืนยัน และอาจจะรวมไปถึงความเห็นของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ที่เกี่ยวกับการขอให้ยับยั้งมติคณะกรรมการแพทยสภา ที่ให้ลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นให้ศาลฯ พิจารณาด้วย

เพราะต้องไม่ลืมว่า ประการที่หนึ่ง.
ความเห็นของนายสมศักดิ์ เป็นการรับรองความถูกต้องในการทำหน้าที่ของแพทย์ ในการรักษาตัวนายทักษิณว่ามีอาการเจ็บป่วยจริง ทั้งในส่วนของ แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ ในฐานะแพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งโดนลงโทษตักเตือนเนื่องจากเขียนใบส่งตัวล่วงหน้า และพลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ คนปัจจุบัน ในฐานะผู้ออกใบความเห็นแพทย์ ที่นายสมศักดิ์ เห็นว่าการกระทํายังไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นผู้ประพฤติผิดจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ขณะที่ใบความเห็นแพทย์ มีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ไม่ได้ผิดมาตรฐานหรือให้ความเท็จ แต่เป็นการให้ความเห็นในการใส่ใจดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดและอยู่ระหว่างการอตัดไหม ซึ่งมีโรคเดิมหลายโรคและเป็นความเห็นตามปกติที่สัญญาแพทย์ทั่วไปที่รับผิดชอบติดตามดูแลคนไข้ของตนในโรงพยาบาลทั่วไปให้เสร็จสิ้นกระบวนการผ่าตัดรักษาจะให้ความเห็นแบบนี้ได้อยู่แล้ว
แม้ว่าที่ผ่านมา สภานายกพิเศษ มักมีความเห็นตามมติคณะกรรมการแพทยสภา มาโดยตลอด
แต่ในยุคของ สภานายกพิเศษ ที่ชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ไม่มีภารกิจอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ ขณะที่ด้วยสถานะทางการเมือง ของนายสมศักดิ์ ก็เป็นลูกน้องของนายทักษิณ อยู่แล้ว
เพราะต้องไม่ลืมว่า ประการที่สอง.
นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคล ที่ศาลฏีกาฯ มีคำสั่งให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีนี้ ในวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ด้วย คำชี้แจงของ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ จึงมีความสำคัญแต่คดีนี้เป็นอย่างมากเช่นกัน
นี่ยังไม่นับรวม ข้อมูลแชทไลน์หลุดคำพูดของกรรมการแพทยสภาที่นายทักษิณ หยิบยกมาเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อส่งสัญญาณให้เห็นว่า มติคณะกรรมการแพทยสภา ที่ลงโทษแพทย์ 3 ราย เป็นความจงใจของกรรมการแพทยสภาบางราย ที่ต้องการทำเล่นงานตน เนื่องจากเป็นกลุ่มคนโกรธเกลียดและอาฆาตแค้นนายทักษิณ ไม่พอใจพรรคเพื่อไทยมาตลอด ซึ่งอาจจะมีข้อมูลส่วนนี้เสนอให้ศาลฯ พิจารณาด้วย
ส่วนศาลฯ จะเชื่อถือหลักฐานเหล่านี้ในมือทักษิณ หรือไม่ ก็ต้องรอดูกันต่อไป
แต่ข้อเท็จจริงสำคัญประการหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต คือ กรณี นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ อดีตพ่อค้าข้าวชื่อดัง ผู้ก่อตั้งบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำเลยคนสำคัญในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี (ปัจจุบันได้รับการพักโทษไปแล้ว) ที่ในช่วงการไต่สวนคดี เจ้าตัวเข้าพักรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ด้วยอาการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีใบรับรองแพทย์ยืนยัน แต่ก็ต้องเดินทางมาศาลเพื่อให้การ พร้อมกับเจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
โดยในช่วงเวลานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีหนังสือขอให้ศาลแขวงสมุทรปราการ เบิกตัว นายอภิชาติ จำเลยที่ 14 จากเรือนจำสมุทรปราการมาศาลฎีกาฯ แต่มีหนังสือแจ้งจากเรือนจำสมุทรปราการว่า ไม่สามารถส่งตัวมาได้ เนื่องจากนายอภิชาติเข้ารับรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ขณะที่ทนายนายอภิชาติ ยื่นคำร้องว่านายอภิชาติ ป่วยยังพักรักษาตัวอยู่ ไม่อาจเดินทางมาศาลได้ ขอให้ศาลพิจารณาคดีลับหลัง
ศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อมีเหตุขัดข้องจนไม่อาจนำตัวนายอภิชาติมาศาลได้ จึงให้พิจารณาลับหลัง แต่นายอภิชาติ ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำสมุทรปราการ ในคดีทุจริตยักยอกข้าวของรัฐ จนไม่สามารถมาศาลได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยตัวชั่วคราวในคดีนี้ ให้ถอนประกันนายอภิชาติ ไว้ในคดีนี้ โดยให้ระบุว่า ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำสมุทรปราการ และให้มีหนังสือถึงศาลแขวงสมุทรปราการแจ้งผู้บัญชาการเรือนจำกลางสมุทรปราการให้นำตัวนายอภิชาติ มาคุมขังไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในการเบิกตัวมาศาลในนัดต่อไป พร้อมกับคืนหลักประกันให้แก่ผู้ประกัน

จากข้อมูลกรณีตัวอย่าง นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ แม้จะอ้างว่ามีอาการเจ็บป่วย มีใบรับรองแพทย์ยืนยันว่า ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่ศาลฯ ก็ไม่ได้เชื่อถือในใบรับรองแพทย์ดังกล่าว สุดท้าย นายอภิชาติ จำต้องเดินทางมาศาลฯ ตามนัดหมาย โดยสามารถเดินได้เองตามปกติ ก่อนที่ในท้ายที่สุด จะถูกศาลพิพากษารับโทษ ตามความผิดที่ต้องเองก่อไว้
นั่นเป็นกรณีของ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ที่เคยเกิดขึ้นไปแล้ว
ส่วนกรณีนายทักษิณ จะซ้ำรอย เหมือนกับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือไม่ คงต้องจับตาดูกันต่อไปเช่นกัน
อย่างไรก็ดี บทวิเคราะห์เรื่องนี้ สำนักข่าวอิศรา รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มาเป็นหลักในการพิจารณาเรื่อง นับจากวันนี้ จนถึงวันที่ 13 มิถุนายน 2568 อาจมีตัวแปรสำคัญเพิ่มเติมเกิดขึ้นได้อีก
บทสรุปสุดท้ายเรื่องราวนี้จะออกมาเป็นอย่างไร
อดใจรออีกไม่นาน หลังวันที่ 13 มิถุนายน 2568 สาธารณชนน่าจะได้รับทราบคำตอบที่ชัดเจนกัน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา