"...ขณะที่จำเลยที่ 7 เข้าไปพบโจทก์ที่ห้องทำงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหน่วยงานอื่นติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 7 ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์ โดยการโทรแบบกลุ่มทำให้ได้ยินการสนทนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ที่มี เนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกรับเงิน และได้ยินจำเลยที่ 7 พูดคำว่า "อุบล" ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโจทก์ได้รับเงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้แล้ว..."
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำพิพากษายกฟ้อง ในคดีหมายเลขดำที่ อท 23/2566 ที่ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ กับพวกรวม 7 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานกลั่นแกล้งให้ต้องรับโทษ, บุกรุก, ซ่องโจรฯ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ที่ยกฟ้องคดีนี้
วันนี้ (30 พฤษภาคม 2566) เวลา 9.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา คตีหมายเลขดำที่ อท 23/2566 ระหว่าง นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา โจทก์ ตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว ที่ 1 กับ พวกรวม 7 คน จำเลย ข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้ามิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ, บุกรุก, ช่องโจรฯ ทนายโจทก์มาศาล
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาให้ทนายโจทก์ฟังแล้ว
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 จำเลยทั้งเจ็ตร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำให้จำเลย ที่ 7 (นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี) ซึ่งแอบติดกล้องบันทึกภาพและเสียงไว้ที่ตัวเข้าไปพบและพูดชักจูงให้โจทก์ตกลงรับเงินหรือกำหนดจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ของเงินเพื่อเรียกรับเอาจากข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาผู้มีตำแหน่งหรือชื่อตามที่จำเลยที่ 7 สนทนาถึง และพยายามส่งมอบซองสีขาว 3 ซอง แก่โจทก์โดยโจทก์ไม่ทราบว่าภายในซองมีเงิน 98,000 บาท บรรจุอยู่
แต่โจทก์ปฏิเสธไม่รับ
จำเลยที่ 7 วางซองทั้งสามของไว้บนโต๊ะทำงานโจทก์แล้วออกจากห้องไป
ทันใดนั้น จำเลยที่ 1 ถึง 6 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ร่วมกันบุกรุกเข้ามาภายในห้องทำงานของโจทก์ ซึ่งเป็นที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นและหมายจับ แล้วร่วมกันจับกุมโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และ 157
ทั้งที่ โจทก์ไม่ได้มีเจตนากระทำความผิดมาก่อน
จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 200 โดยมีจำเลยที่ 7 เป็นผู้สนับสนุน และเป็นการที่จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันกระทำมผิดตามประมาลกฎหมายอาญา มาตรา 174, 210, 310, 364 และ 365 ด้วย
นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวีดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียง ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์และต้องสงวนไว้เป็นข้อราชการที่เป็นความลับ ปล่อยให้มีการนำวีดีโอภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงดังกล่าวเผยแพร่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 มาตรา 79
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่มีการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ เนื่องจากจำเลยที่ 7 เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เกี่ยวกับพฤติการณ์ทุจริตของโจทก์ ที่ป.ป.ช. สืบสวนมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้วเชื่อว่าคดีน่าจะมีมูล
แต่ยังปราศจากหลักฐานที่จะดำเนินคดี จึงประสานมายัง บก.ปปป. เพื่อดำเนินการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน
การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 วางแผนตรวจค้นจับกุมโจทก์ตามที่ได้รับการประสานมาจากเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ซึ่งเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของโจทก์ ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ และไม่ใช่เป็นการร่วมกันก่อหรือพยายามก็ให้โจทก์กระทำความผิด และขณะที่จำเลยที่ 7 เข้าไปพบโจทก์ที่ห้องทำงานของโจทก์ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหน่วยงานอื่นติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 7 ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์
โดยการโทรแบบกลุ่ม ทำให้ได้ยินการสนทนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกรับเงิน และได้ยินจำเลยที่ 7 พูดคำว่า "อุบล" ซึ่งเป็นสัญญาณว่าโจทก์ได้รับเงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้แล้ว
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้เข้าไปยังห้องทำงานของโจทก์ในทันทีและตรวจค้นพบซองบรรจุเงินรวม 98,000 บาท ที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้โจทก์อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของโจทก์
กรณีจึงเป็นความผิดซึ่งหน้าซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใด ซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก์ได้กระทำความผิดมาแล้วสดๆ
ทั้งมีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ เงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้นั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงมีอำนาจตรวจค้นจับกุมโจทก์ โดยไม่ต้องมีหมายค้นและหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 (1) และมาตรา 92 (2) (4)
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก์แถลงต่อศาลในชั้นตรวจฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายชื่อในบันทึกการจับกุมท้ายฟ้อง
กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะชี้ให้เห็นว่าการเข้าตรวจคันจับกุมโจทก์ครั้งนี้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้กระทำโดยมีเจตนาเพื่อที่จะกลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษตามที่โจทก์อ้าง
การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 ทั้งไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 179 มาตรา 210, 310, 364 และ 365
จำเลยที่ 7 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนและผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ตามที่โจทก์ฟ้อง
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความจากที่โจทก์แถลงต่อศาลในชั้นตรวจฟ้องว่า นอกจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีชื่ออยู่ในบันทึกการจับกุมแล้ว
ยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ขณะจับกุมโจทก์
โดยฝ่ายของโจทก์มีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ซึ่งได้มีการบันทึกภาพและเสียงขณะตรวจค้นจับกุมด้วยเช่นกัน
แต่โจทก์ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้เห็นว่าวีดีโอบันทึกภาพและเสียงที่ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชนนั้นเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6
กรณีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 กระทำความผิดตามมาตรา 164
ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พศ.2562 มาตรา 79 นั้น
เมื่อการเข้าตรวจคันจับกุมโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการทุจริตในวงราชการ
ดังนั้น การจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวิดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงเป็นพยานหลักฐานเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการที่นำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดซึ่งมีโทษทางอาญา
จึงถือเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ,ศ.2562 มาตรา 4 (5) มิให้นำพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแก่การดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
พิพากษายกฟ้อง./
@ วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ
ขณะที่ นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความของนายรัชฎา เปิดเผยหลังฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ว่า นายรัชฎา ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน ซึ่งการอุทธรณ์ไม่จำเป็นที่จะต้องยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นการยื่นอุทธรณณ์เพื่อหักล้างกัน เป็นการพิจารณาเบื้องต้นว่าศาลจะรับหรือไม่รับฟ้องเท่านั้น
"ทางนายรัชฎายืนยันที่จะอุทธรณ์ต่อไปตามสิทธิ์ และส่วนตัวนายรัชฎาไม่กังวลเพราะมองว่าเป็นไปตามกฎหมายสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามสิทธิ์" นายวราชันย์กล่าว
นายวราชันย์ ยังย้ำด้วยว่า "ในคดีนี้ เป็นคดีที่ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้เป็นคดีที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดการตรวจค้นจับกุมเป็นไปตามที่มีการรายงานข่าวหรือไม่ ฉะนั้นประเด็นในคดีดังกล่าวกับคดีที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกเป็นคนละประเด็นกัน"
ผลการอุทธรณ์สู้คดีของ นายรัชฎา นับจากนี้ จะออกมาเป็นอย่างไร ต้องขอติดตามดูกันต่อไป
อ่านเรื่องเกี่ยวข้อง
- ฉบับเต็ม! คำสั่ง ทส. ให้ 'รัชฎา' ออกจากราชการไว้ก่อน เซ่นปมเรียกเงินสินบน
- มีผล 3 ก.พ.! ให้ออกจากราชการ 'รัชฎา' อธิบดีกรมอุทยานฯ ปมเรียกเงินสินบน
- ป.ป.ช.มีมติไต่สวนคดีสินบนอธิบดีอุทยานฯ-ยันมีหลักฐานรู้ตัวแล้วสาวถึงใครบ้าง
- ยุคนี้ให้ส่วยเป็นเงินทอน! 'ชัยวัฒน์' ให้ปากคำคดีอธิบดีอุทยานฯ-ปัดตอบปมไม่ค้นบ้าน 'รัชฎา'
- ล่อซื้อค้นเจอ 5 ล.! ป.ป.ช.-ตร.แถลงด่วนรวบตัวอธิบดีกรมอุทยานฯ คดีเรียกรับเงิน (มีคลิป)
- เก็บหัวละ 2-3 แสน! แถลงพฤติการณ์ 'อธิบดีกรมอุทยานฯ' คดีเรียกเงินวิ่งเต้นแลกไม่โยกย้าย
- พลิกปูม! เส้นทางชีวิต-ทรัพย์สิน 'รัชฎา' อธิบดีกรมอุทยานฯ ก่อนโดนรวบคดีเรียกรับเงิน
- ลับสุดยอด! เปิดปฏิบัติการขู่ทุบลิ้นชัก ล่อซื้อ 'รัชฎา'-บิ๊กตู่ชิงย้ายตัดหน้า ทส.?
- เปิดคลิปหลักฐานใหม่ 5 นาที ค้นโต๊ะทำงาน 'รัชฎา' - ตามหาเจ้าของซองเงินส่งท่านอธิบดี?
- เช็คที่นี่! เปิดครบเงินสด-สิ่งของ 21 รายการ 4.8 ล.ในห้องอธิบดีอุทยานฯ ใครส่งมาบ้าง?
- แอ่นแอ๊น! แกะซองเงินที่ 7 คดี 'รัชฎา' เจอตารางจ่ายรายเดือนงบปี 66 ด้วย 38 ล.+5% 1.9 ล.