เจาะคดีรถหรู บ.จูบิลี่ไลน์ : ขายลัมโบร์กินีให้ลูกชายเยาวเรศ

piccarpgrrddassasa99331 17 66jpg

ไขสำนวนคดีรถหรู บ.จูบิลี่ไลน์ กับพวก ก่อนอัยการสูงสุดชี้ขาดสั่งฟ้อง ‘เสรี ชินบารมี’ ผู้ต้องหาที่ 7 อีกราย หลัง อธิบดี DSI แย้งพนักงานอัยการ (ตอนที่ 1) : เปิดความเป็นมา ‘เบนซ์นครินทร์’ นำเข้า ลัมโบร์กินี 1 คันถูกขายให้‘รัตนพล วงศ์นภาจันทร์’บุตรเยาวเรศ ชินวัตร ไม่ถึงปีส่งคืน ระบุเอกชนใช้เอกสารปลอมแสดงราคานำเข้าแค่ 8.7 ล.

กรณีเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2565 นางสาวนารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด มีคำสั่ง ชี้ขาดความเห็นแย้ง คดี บริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด กับพวกรวม 7 คน ผู้ต้องหา โดยให้ฟ้อง นายเสรี รักษ์วิทย์ หรือ ชินบารมี ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานร่วมกันนำของที่ผ่านหรือกำลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้นๆ ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 มาตรา 243,253 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ตามที่รองอัยการสูงสุดเสนอ ขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ของกลาง ตามพระราชบัญญัติศุลกากร และให้พนักงานอัยการที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบประวัติการต้องคดีของผู้ต้องหาทุกคนว่าผู้ต้องหาแต่ละคนอยู่ในข่ายต้องขอเพิ่มโทษ ขอนับโทษต่อ หรือไม่ กี่คดี แล้วดำเนินการขอเพิ่มโทษ หรือขอนับโทษต่อกันให้ครบถ้วนทุกคดี

ตามที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานแล้ว

picchhhysasaasbbbaaaaaa1 11 65

อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง ‘เสรี ชินบารมี’ คดีรถหรู ริบของกลาง-ลัมโบร์ฯ ขายให้หลาน ‘ทักษิณ’

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เรียบเรียงความเป็นมาของคดีนี้มารายงาน

คดีนี้มีผู้ต้องหา 7 ราย บริษัท จูบิลี่ไลน์ จำกัด ผู้ต้องหาที่ 1 , นางผ่องศรี สุทธิรัตน์เสรีกุล ผู้ต้องหาที่ 2 ,บริษัท เบนซ์นครินทร์ จำกัด ผู้ต้องหาที่ 3 , นายทวีศักดิ์ ใจงาม นายกฤษฎา ชำนาญจิตร์ ผู้ต้องหาที่ 4 ,บริษัท นิชคาร์ จำกัด ผู้ต้องหาที่ 5 นายวิทวัส ชินบารมี ผู้ต้องหาที่ 6 และ นายเสรี รักษ์วิทย์ หรือ ชินบารมี ผู้ต้องหาที่ 7

ข้อหา

ฐานร่วมกันนําของที่ผ่านหรือกําลังผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยเจตนาจะฉ้ออากรที่ต้องเสีย สําหรับของนั้น ๆ ตามมาตรา 243 และมาตรา 253 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 (มาตรา 27 และมาตรา 115 แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร 2469 เป็นอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 ประกอบมาตรา 83

ความเป็นมา-พฤติการณ์

@ สายลับแจ้งเบาะแส ตามยึด 7 คัน -บ.แม่ยันขายให้ บ.เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนที่จะพบการกระทําผิดในคดีนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ผู้กล่าวหาได้สืบสวนสอบสวน กรณีนําเข้ารถยนต์สําเร็จรูปเข้ามาทั้งคันแต่สําแดงการนําเข้าเท็จโดยได้แจ้งถอดแยกชิ้นส่วนของรถยนต์ออกจากกันในรูปของอะไหล่เพื่อหลีกเลี่ยงอากร (ในรูปของรถจดประกอบ) ต่อมา ผู้กล่าวหาได้รับแจ้งจากสายลับว่านอกจากการหลีกเลี่ยงอากรด้วยวิธีการดังกล่าวแล้วยังมีการนํารถยนต์ใหม่สําเร็จรูปเข้ามาในราชอาณาจักรและสําแดงราคานําเข้าต่ํากว่าราคาซื้อขายแท้จริงทําให้รัฐสูญเสียรายได้เป็นจํานวนมาก และสายลับได้แจ้งข้อมูลและสถานที่เก็บรถยนต์บางส่วนที่หลีกเลี่ยงภาษีและต่อมาคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ทําการตรวจยึด รถยนต์ มาทําการตรวจสอบ จํานวน 7 คัน และพบว่ารถยนต์ทั้ง 7 คัน ดังกล่าวถูกนําเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีด้วยการสําแดงราคานําเข้าในบัญชีราคาสินค้า (INVOICE) ต่ำกว่าความเป็นจริง และส่วนใหญ่เป็นรถที่นําเข้าจากสหราชอาณาจักร สาธารณรัฐอิตาลีและ ประเทศญี่ปุ่น พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงทําคําร้องขอความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาผ่านอัยการสูงสุดไปยังประเทศผู้ส่งออกรถยนต์ทั้งสามประเทศ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ที่นําเข้ามาจําหน่ายในประเทศไทยและข้อมูลที่ได้รับจากสาธารณรัฐอิตาลี คือบัญชี ราคาสินค้า (INVOICE) ของบริษัท ลัมโบร์กินี่ระบุว่าได้จําหน่ายรถยนต์ลัมโบร์กินีให้กับบริษัท เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จํากัด ผู้ต้องหาที่ 3 ในราคา 300,000 – 360,651 ยูโร (ประมาณ 13,292,490 – 15,977,983.70 บาท)

@ บ.จูบิลี่ไลน์ ยื่นสำแดงนำเข้า-ขายในเครือเป็นทอดๆ

แต่จากการสอบสวนต่อมาพบว่า บริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบริษัทที่นําเอกสารผ่านพิธีการศุลกากร โดยได้สําแดงราคารถยนต์ในใบขนส่งสินค้าขาเข้าเพียงร้อยละ 20-30 ของราคารถยนต์ที่ซื้อมาจริง และ เมื่อผ่านการตรวจปล่อยสินค้าแล้ว บริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด ก็จะนําเอกสารที่ได้จากกรมศุลกากร ไปยื่นประกอบการการขอจดทะเบียนที่กรมการขนส่งทางบก จากนั้นบริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด ได้จําหน่ายรถยนต์ให้กับบริษัท แอดวานซ์ โมดิฟาย จํากัด และบริษัท แอดวานซ์ โมดิฟาย จํากัด ได้จําหน่ายรถยนต์ให้กับบริษัท นิช คาร์ จํากัด (จําหน่ายเป็นทอดๆแต่มิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ที่กรมการขนส่งทางบก) เพื่อจําหน่ายให้กับผู้บริโภคต่อไป รถยนต์ที่นําเข้าจะถูกนําไปแสดงไว้ที่บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จํากัด

@ ขายลัมโบร์กินี ให้หลานชาย ‘ทักษิณ’

ต่อมาเจ้าพนักงานได้สืบทราบว่ารถยนต์ยี่ห้อ ลัมโบร์กินี (LAMBOGHINI) รุ่นGALLARDO ปี 2008 หมายเลขตัวรถ ZHWGE 43T38LA05971 หมายเลขเครื่องยนต์ 07L206451 นําเข้ามาในราชอาณาจักรโดย หลีกเลี่ยงภาษี และจําหน่ายให้นายรัตนพล วงศ์นภาจันทร์ (เป็นบุตรนางเยาวเรศ ชินวัตรและ เป็นหลานนายทักษิณ ชินวัตร) ต่อมาเวลาไม่ถึงปี นายรัตนพลฯส่งรถคืน บริษัท นิชคาร์ ผู้ต้องหาที่ 5 ซึ่งผู้ต้องหาที่ 5 ยอมรับรถคืนและผ่อนเงินค่างวดกับบริษัทไฟแนนซ์แทนในนามของนายรัตนชัย ซึ่งแสดงว่านายรัตนชัยรู้แล้วว่ารถของกลางคดีนี้นําเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

piccarpgrrddassasa001 17 66jpg

ภาพจาก https://mgronline.com/

ต่อมาบริษัท นิช คาร์ จํากัด ได้ขายรถยนต์ของกลางแต่กระทําในนามของนายรัตนชัยฯได้จําหน่ายให้นายภักดี เกิดผลธนากุล ขณะเกิดเหตุรถยนต์ของกลางอยู่ในความครอบครองของนายมงคล องคมงคล เจ้าพนักงานฯจึงได้มาตรวจสอบและได้อายัดรถยนต์คันดังกล่าวไว้ และตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท นิช คาร์ จํากัด ซึ่งมีอยู่หลายคน ได้แก่ นายเสรี รักษ์วิทย์หรือชินบารมี ผู้ต้องหาที่ 7 นางสาวสุนี เจริญวิจิตรศิลป์ ภริยาผู้ต้องหาที่ 7 นายวิทวัส ชินบารมี ผู้ต้องหาที่ 6 นายกฤษฎา ชํานาญจิตร์ ผู้ต้องหาที่ 4 นางผ่องศรี สุทธิรัตน์เสรีกุล ผู้ต้องหาที่ 2

และจากการตรวจสอบรายการจ่ายเงินเดือนของบริษัท เอกสารบัญชีสินค้า ข้อมูลการชําระภาษีอากรของกรมสรรพากร ข้อมูลการเงินจากบัญชีธนาคารจํานวน 19 ธนาคาร ของบริษัทที่เกี่ยวข้องคือบริษัท เจเนอรัล แอสไซนเมนท์ จํากัด และบริษัทแอดวานซ์ โมดิฟาย จํากัด พบว่ารายการเงินได้ของทั้งสองบริษัทมีรายรับหลักร้อยล้านบาท แต่เงินบัญชีของบริษัททั้ง สองกลับมียอดเงินฝากเพียง 10,000 บาท ซึ่งขัดแย้งกับรายรับของบริษัท จึงเห็นว่า ความสัมพันธ์ของกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นเพียงตั้งอําพรางเพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี ดังนั้นจึงร้องทุกข์ดําเนินคดีกับบริษัทและผู้ต้องหาในคดีนี้

ความเห็นพนักงานสอบสวนระบุว่า จากการตรวจสอบจากหนังสือนําส่งเอกสารของบริษัท A. arcbll Lamborghini SpA (ใบอินวอยซ์) ระบุว่า ลูกค้าผู้นําเข้า คือบริษัท เบนซินครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จํากัด และราคารถยนต์ที่แท้จริงคือ 181,803 ยูโรหรือประมาณ 7,734,585.77 บาท (ตามอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น)

และระบุอีกว่า และเมื่อพิจารณาราคาที่บริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด ผู้ต้องหาที่ 1 โดยนางผ่องศรี สุทธิรัตนเสรีกุล ผู้ต้องหาที่ 2 ยื่นแสดงแบบใบขนส่งสินค้าขาเข้าเพื่อเสียภาษี โดยแนบใบอินวอยซ์ และปรากฏในใบอินวอยซ์ ดังกล่าวระบุว่าบริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัด ซื้อรถมาจาก APL Logistics ที่เป็นเพียงบริษัทขนส่งเป็นผู้สั่งรถยนต์ของกลางและราคารถยนต์ คือ 2,583,182.75 บาท หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการอ้างว่าซื้อรถยนต์ของกลางในประเทศไทยและชําระค่ารถเป็นเงินบาท ซึ่งการกล่าวอ้างนี้เป็นกลวิธีหนึ่งในหลายร้อยวิธีของการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเอกสารดังกล่าวมีรูปแบบ ข้อความและรายการในเอกสาร รวมทั้งราคารถยนต์ผิดแตกต่างไปจากเอกสารใบอินวอยซ์ ซึ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงของบริษัท Automobili Lamborghini S.p.A จะเห็นได้ ชัดว่าเป็นเอกสารที่ปลอมขึ้นมาใหม่ และมิใช่ราคาศุลกากรหรือราคาซื้อขายของที่นําเข้า ที่ใช้เป็นงานคํานวณค่าภาษีอากรที่กําหนดไว้โดยพระราชกําหนดพิกัดอัตราศุลกากรสําหรับของที่นําเข้ามาในราชอาณาจักรฯ และผู้สั่งนําเข้ารถยนต์คันดังกล่าวคือบริษัท เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป จํากัด แต่การแจ้งราคารถยนต์ในใบขนสินค้าขาเข้าบริษัท จูบิลี่ไลน์ จํากัดโดยนางผ่องศรี สุทธิรัตนเสรี ทําให้รถยนต์คันดังกล่าวเสียภาษีทุกประเภท เพียง 8,750,411 บาท

ซึ่งหากราคารถยนต์เป็นไปตามที่บริษัท Automobili Lamborghini SpA แจ้งมาคือ 181,803 ยูโร ภาษีที่รถยนต์คันดังกล่าวจะต้องเสียเพิ่ม เป็นเงิน 21,152,817.41 บาท

(หมายเหตุ: ขณะนี้คดีนี้ศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าผู้ต้องหากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา)

เรื่องเกี่ยวข้องคดีนำเข้ารถหรู

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage

เจาะคดีรถหรู บ.จูบิลี่ไลน์ : ขายลัมโบร์กินีให้ลูกชายเยาวเรศ - ต้องเสียภาษีเพิ่ม 21 ล.