มัสยิดใน จ.สงขลา เริ่มเปิดให้ละหมาดวันศุกร์วันนี้ ขณะที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ขอเวลาอีก 2 สัปดาห์
หลังจากสำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 3 พ.ค.63 ว่าด้วยการผ่อนปรนให้ปฏิบัติศาสนกิจละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) ได้ โดยให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดใช้ดุลพินิจร่วมกับคณะกรรมการประจำมัสยิด โดยขอคำปรึกษาจากผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด และผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดนั้น
นายศักดิ์กรียา บินแสละ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา ได้ออกหนังสือถึงมัสยิดทั่วจังหวัดสงขลา หลังจากได้นำคณะร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา โดยในหนังสือระบุว่า ได้หารือ นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ที่ศาลากลางจังหวัดแล้ว เกี่ยวกับการละหมาดวันศุกร์ตามประกาศจุฬาราชมนตรี ฉบับที่ 5 มีข้อสรุปให้มัสยิดในสงขลาทุกพื้นที่จัดให้มีการละหมาดวันศุกร์ ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 8 พ.ค.เป็นต้นไป โดยให้มีการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 ของจุฬาราชมนตรีอย่างเข้มงวด
อีกทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลายังได้สั่งการไปยังอำเภอต่าง ๆ ให้สนับสนุนมาตรการดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิที่จะใช้ในการวัดอุณหภูมิผู้เข้าละหมาดทุกคน
นราธิวาสเริ่ม 22 พ.ค.
ส่วนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นายชาฟีอี เจ๊ะเลาะห์ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า ที่นราธิวาสยังไม่อนุญาตให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจัดละหมาดวันศุกร์
"ผมและคณะได้เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสเพื่อปรึกษาหารือในเรื่องนี้ ทางผู้ว่าฯใช้ดุลยพินิจแล้วเห็นว่าสุ่มเสี่ยงต่อการระบาดของโรคเป็นอย่างมาก จึงยังไม่อนุญาตที่จะให้มีการละมาดวันศุกร์" นายชาฟีอี กล่าว
ยะลาเตรียมนำร่องมัสยิดต้นแบบ
ขณะที่ นายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา กล่าวว่า สถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ยะลา ยังมีการแพร่ระบาดอยู่ และพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่เสี่ยง สถานการณ์ยังไม่ปกติ การเปิดให้มีการละหมาดวันศุกร์ในช่วงนี้อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดขยายในวงกว้างได้ ที่ประชุมจึงได้สรุปขอให้เว้นการละหมาดวันศุกร์ออกไปอีก 2 สัปดาห์ เริ่มต้นวันศุกร์ที่ 8 พ.ค. (เว้นการละหมาด) พร้อมทั้งมีการตั้งคณะกรรมการในการพิจารณาเรื่องขออนุญาตละหมาดวันศุกร์ โดยต้องผ่านความเห็นชอบจากประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลาเท่านั้น
"การจะละหมาดที่มัสยิดได้ต้องมีมาตรการที่เข้มข้นตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด มีการตั้งจุดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ มีเจลล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ไม่รวมกลุ่มกันละหมาด เพื่อลดความแออัด โดยจังหวัดยะลาจะร่วมบูรณาการกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เจ้าหน้าที่ อสม. ผู้นำชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบการเข้า-ออกมัสยิดอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ทางจังหวัดยังได้เตรียมนำร่องมัสยิด 1 แห่ง ใช้ในการละหมาดวันศุกร์ เพื่อเป็นต้นแบบ และให้ถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด" ผู้ว่าฯยะลา กล่าว
ปัตตานีตั้งโจทย์คุมจำนวนคนละหมาด
นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเห็นชอบว่าเวลาที่เหมาะสมที่จะละหมาดวันศุกร์ได้ คือตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 พ.ค.เป็นต้นไป โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของมัสยิดที่จัดการละหมาดวันศุกร์ให้เกิดความเรียบร้อย โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้ตั้งเป็นข้อสังเกตไว้ว่าจะทำอย่างไรให้ไปร่วมละหมาดไม่เกินจำนวนที่ทำเครื่องหมายไว้ เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม 1.5-2 เมตร ซึ่งทางคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดต้องเตรียมการไว้ ตั้งแต่การเข้า-ออกมัสยิด ว่าจะมีการจัดการอย่างไร และการบริหารเวลาละหมาดที่เหมาะสม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เปิดมาตรการเข้มปลดล็อกละหมาดศุกร์
สำหรับประกาศของจุฬาราชมนตรีที่ให้ผ่อนปรนให้ละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) นั้น ได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติศาสนกิจละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) เอาไว้
โดยในส่วนของมัสยิด ให้กรรมการอิสลามประจำมัสยิด หรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่มาตรวจวัดอุณภูมิก่อนเข้ามัสยิด, ให้จัดวางเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไว้บริเวณประตูทางเข้ามัสยิด, งดใช้บ่อน้ำ (กอเลาะห์) หรืออ่างใหญ่ร่วมกัน, ให้ทำความสะอาดพื้นมัสยิดก่อนและหลังการละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) ทุกครั้ง และไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ โดยให้เปิดหน้าต่าง ผ้าม่าน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก, ให้จัดเครื่องหมายจุดละหมาดที่สามารถระบุตำแหน่งได้ โดยให้เว้นระยะห่างแต่ละจุด 1.50-2 เมตร, ให้ควบคุมทางเข้าออกมัสยิด และจัดระเบียบระยะห่างขณะเดินเข้าและเดินออกจากมัสยิดหลังเสร็จสิ้นการละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์)
สำหรับผู้เข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) ให้อาบน้ำละหมาดจากที่บ้าน, ให้ใช้ผ้าปูละหมาด (ผ้าชะญาดะห์) ส่วนตัว โดยนำมาจากบ้าน, ให้ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ที่มัสยิดจัดเตรียมไว้, ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดระยะเวลาของการปฏิบัติศาสนกิจ, งดการสลามด้วยการสัมผัสมือ การสวมกอด และการสัมผัสแก้ม โดยให้ยกมือพร้อมกล่าวสลามเท่านั้น, เด็กและสตรีให้งดการร่วมละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) ที่มัสยิด, หากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก แม้จะมีอาการไม่มาก ให้งดการไปร่วมละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด
ให้เว้นระยะห่างระหว่างแถวและในแถว 1.50-2 เมตร และให้ยืนตามจุดที่มัสยิดได้จัดทำเครื่องหมายไว้, ให้กระชับเวลาในการละหมาดวันศุกร์ (ญุมอะห์) นับตั้งแต่อะซาน คุตบะห์ และละหมาด ไม่เกิน 20 นาที
นอกจากนี้ยังคงให้งดการจัดกิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมอื่นที่มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มทุกประเภท ตลอดจนการเลี้ยงละศีลอด ซึ่งการกำหนดมาตรการและแนวปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และเป็นไปตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลาม โดยมีเจตนารมณ์ตั้งมั่นในการรักษาความปลอดภัยต่อชีวิตมนุษย์และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายกับสังคมทุกภาคส่วน จึงใคร่ขอความร่วมมือมายังประธานกรรมการอิสลามประขำจังหวัดได้แจ้งไปยังอิหม่ามทุกมัสยิดในสังกัดให้ปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ตามประกาศจุฬาราชมนตรีต่อไป มาตรการดังกล่าวให้ถือปฏิบัติจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ หรือจะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
-------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : ภาพประกอบเป็นแฟ้มภาพการละหมาด บันทึกไว้ก่อนสถานการณ์โควิด-19
อ่านประกอบ :
งดละหมาดศุกร์ในกทม. - คุมเข้มแรงงานต้มยำ - ปัตตานีมีติดโควิด
ย้ำมาตรการต้านโควิดช่วงรอมฎอน - กก.อิสลามใต้ยื่นปลดล็อกละหมาดศุกร์