‘ไทยพาณิชย์’ ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 63 เป็นติดลบ 7.3% หลังประเมินว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเหลือ 9.8 ล้านคนในปีนี้ หรือหดตัว 75% พร้อมคาดส่งออกติดลบ 10.4% จากเศรษฐกิจโลกที่หดตัว 4% ห่วงแรงงานในหมวดท่องเที่ยว 6.5 ล้านคน ตกงาน-รายได้ลงจากผลกระทบโควิด พร้อมเผยเศรษฐกิจไทยอ่อนแรงลงต่อเนื่องก่อนเข้าสู่ภาวะโควิดแล้ว
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) แถลง “มุมมองเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 2 ปี 2563” ว่า EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2563 เป็นติดลบ 7.3% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบ 5.6% โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว EIC คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2563 จะเหลือเพียง 9.8 ล้านคน จากปีที่แล้ว 40 ล้านคน หรือลดลง 75.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สำหรับการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มหดตัวสูง โดยคาดว่าจะติดลบ 10.4% จากภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย โดย EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะติดลบ 4% จากเดิมคาดว่าจะติดลบ 3% และมาตรการปิดเมืองของหลายประเทศทั่วโลกที่ส่งผลกระทบ supply chain disruption ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนหดตัวรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงที่มีมาตรการปิดเมือง สะท้อนจากดัชนีการบริโภค (PCI) ในเดือนเม.ย.ที่ติดลบ 15.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
“เศรษฐกิจไทยเริ่มอ่อนแรงลงมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว จากสงครามการค้าและงบประมาณที่ล่าช้า และดิสรัปชันต่างๆ ทำให้จีดีพีชะลอลงต่อเนื่อง โดยไตรมาส 1 จีดีพีของไทยติดลบ 1.8% ทั้งๆที่โควิดยังเริ่มไม่เต็มที่ และสภาพัฒน์ฯได้ประกาศย้อนหลังว่าไตรมาส 4/62 จีดีพีก็ติดลบแล้วเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส จึงต้องบอกว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วก่อนเข้าสู่ภาวะโควิด ซึ่งเป็นจุดที่มีนัยยะต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป” นายยรรยงกล่าว
นายยรรยง กล่าวต่อว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่การฟื้นตัวของภาคธุรกิจต่างๆ จะมีความเร็วที่แตกต่างกัน ในภาพรวม EIC ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในลักษณะ U shape โดยจีดีพีจะกลับไปสู่ระดับของปี 2562 ซึ่งเป็นระดับเดิมก่อนเกิด COVID-19 ได้ในปี 2565 ซึ่งเป็นผลจากแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวและความเปราะบางทางการเงินที่สูงขึ้นของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME ตั้งแต่ก่อนเกิด COVID-19
ขณะเดียวกัน ผลกระทบที่รุนแรงของ COVID-19 ต่อหลายภาคธุรกิจที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวโดยเฉพาะในส่วนที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นไปอย่างช้าๆ จากความกังวลของนักท่องเที่ยวตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และข้อจำกัดด้านมาตรการควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น โรงแรม ร้านอาหาร นันทนาการ และการขนส่ง ได้รับผลกระทบมากและฟื้นตัวช้า
ขณะที่ธุรกิจรถยนต์และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ที่อยู่อาศัย) ซึ่งเผชิญกับการหดตัวของอุปสงค์จากต่างประเทศอยู่แล้ว จะถูกซ้ำเติมจากการลดลงของยอดขายในประเทศ ด้วยตามการจ้างงานและรายได้ของภาคครัวเรือนที่ลดลง
“ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยของแรงงานลดลงเหลือ 40 ชั่วโมง จากเดิม 44 ชั่วโมง เพราะทำโอทีลงมา ขณะที่รายได้ต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 14,000 บาทมาหลายปีแล้ว เติบโตปีละ 1% ใกล้เคียงกับตัวเลขเงินเฟ้อ ส่วนการตกงานนั้น มีผู้ไปขอรับประโยชน์จากการตกงานพุ่งขึ้นในเดือนเม.ย. และคนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดยังรวมไปถึงลูกจ้างในหมวดท่องเที่ยว ทั้งลูกจ้างอิสระ พนักงานในร้านอาหารกว่า 6.5 ล้านคน ซึ่งเสี่ยงตกงานหรือมีรายได้ลดลงค่อนข้างมาก” นายยรรยงกล่าว
นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้ฟื้นตัวช้าเช่นกัน ในทางตรงกันข้ามการใช้จ่ายในหมวดสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น อาหาร เครื่องดื่ม บริการทางการแพทย์ การสื่อสาร ซึ่งจะได้รับแรงสนับสนุนเสริมจากมาตรการโอนเงินช่วยเหลือและมาตรการพักหนี้ของภาครัฐจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า
“EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะติดลบมากที่สุดในไตรมาส 2/2563 ที่ระดับติดลบ 12% เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปทั้งหมด และบริโภคหายไป ก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แต่จะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่หากเศรษฐกิจยังคงซบเซา รัฐบาลก็มีเครื่องมือที่หลากหลายในการดูแลเศรษฐกิจ” นายยรรยงระบุ
นายยรรยง กล่าวว่า ส่วนนโยบายการเงินนั้น EIC คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ตลอดทั้งปี และพร้อมใช้เครื่องมือต่างๆ ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงมาตรการ Unconventional เพิ่มเติมหากมีความจำเป็น ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มจะติดลบ และความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ คาดว่าธปท.จะให้ความสำคัญต่อการลดต้นทุนทางการเงินและการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจต่างๆ เพื่อประคับประคองฐานะทางการเงิน สนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ และลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน หากแนวโน้มเศรษฐกิจปรับแย่ลงกว่าคาดมาก ธปท. อาจลดดอกเบี้ยนโยบายได้เพิ่มเติม แต่ด้วย policy room ด้านดอกเบี้ยนโยบายที่มีน้อยลง จะทำให้ ธปท. ต้องพึ่งพาเครื่องมืออื่นๆ รวมถึงมาตรการ Unconventional มากขึ้น
เช่น การซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเพื่อช่วยดูแลดอกเบี้ยในตลาดให้อยู่ในระดับต่ำ การต่ออายุหรือปรับเงื่อนไขเพื่อเพิ่มประสิทธิผลของมาตรการความช่วยเหลือที่ได้ออกมาก่อนหน้า การลดค่าธรรมเนียม FIDF เพิ่มเติม เป็นต้น
ส่วนของค่าเงินบาทนั้น EIC คาดอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2563 จะอยู่ในช่วง 31.5-32.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นทิศทางอ่อนค่า เนื่องจากไทยจะเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงมาก จากดุลบริการที่หายไปตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่หดตัวในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ตามภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ จะเป็นปัจจัยกดดันค่าเงินบาทในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ดี เงินบาทจะไม่อ่อนค่ามากนัก เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐจะไม่แข็งมากเหมือนช่วงต้นไตรมาส 2 ที่มีมีการตื่นตระหนกในตลาดการเงินโลก เนื่องจากในปัจจุบันหลายประเทศควบคุมการแพร่ระบาด COVID ได้ดีและเริ่มทยอยเปิดเมืองทำให้ความกังวลของนักลงทุนต่อความเสี่ยงในตลาดการเงินลดลง นอกจากนั้น เงินทุนเคลื่อนย้ายที่ไหลออกจากตลาดการเงินไทยค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้การไหลออกของเงินทุนในปริมาณมากในระยะต่อไปมีโอกาสน้อยลง
สำหรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าที่สำคัญ คือ โอกาสในการกลับมาระบาดอย่างรุนแรงของ COVID-19 ซึ่งอาจทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลกต้องหยุดชะงักอีกครั้ง นอกจากนี้ สงครามการค้าโลก ที่อาจรุนแรงขึ้นและกระทบต่อปริมาณการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และยุโรป
ขณะที่ความเสี่ยงด้านเครดิตที่อาจเพิ่มขึ้นทั้งในระดับประเทศและระดับธุรกิจที่มีภาระหนี้ต่อรายได้สูงขึ้นมาก อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน นำไปสู่ความผันผวนของตลาดการเงินโลกได้ ส่วนความเสี่ยงในประเทศด้านความเปราะบางทางการเงินของทั้งภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทย อาจทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพภาคการเงิน รวมถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวมในระยะต่อไป
อ่านประกอบ :
ไทยเข้าภาวะเงินฝืด! พณ.เผยเงินเฟ้อทั่วไปลบติดต่อกัน 3 เดือน-พ.ค.หด 3.44% สูงสุดรอบ 10 ปี
เปิดรายงานกนง. : มองศก.ไทยหดตัวเกินคาด-กังวลบาทแข็ง-ห่วงตกงานถาวรหลังโควิด
ทั่วโลกอัดฉีดฟื้นเศรษฐกิจ ‘ยังไม่เห็นผล’ ส่งออกไทย รอสร่าง ‘ไข้โควิด’ ปีหน้า
กำชับดูแลค่าบาท! กนง.หวั่นกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจ-เตรียมรื้อจีดีพีปี 63
เศรษฐกิจเม.ย.หดแรง! ธปท.ห่วงตกงานพุ่ง-ทุนไทยขนเงินกลับปท.เดือนเดียว 2.2 แสนล้าน
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/