"...อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ที่ทำการแทน ก.ค.ศ.) พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของ นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ที่ได้อนุมัติให้ดำเนินการจ้างสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง และอนุมัติเบิกจ่ายเงินตังกล่าวโดยทราบดีอยู่แล้วว่าไม่มีการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียนแต่อย่างใด และนำเงินดังกล่าวไปชำระค่าอุปกรณ์กับร้านโกัวัสดุและร้านรัตนอุปกรณ์ทั้งหมด จึงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง..."
กรณี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางวินัยและสั่งดำเนินคดีอาญา 'นางลภาภัทร พลสิทธิ์' รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 3 กรณี เบิกงบก่อสร้างห้องน้ำซ้ำซ้อน ทั้ง ๆ ที่ได้รับบริจาคมาจากภาคเอกชนอยู่แล้ว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ อ.วังน้ำเขียวจ.นครราชสีมา โดยอัยการได้มีคำสั่งฟ้องในความผิดฐาน 'เป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์' ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งหลังจากถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางวินัยแล้ว นางลภาภัทร ได้ยื่นอุทธรณ์ให้ทบทวนมติอีกครั้ง ก่อนที่ ป.ป.ช. มีมติไม่ทบทวนมติเดิม และแจ้งผลไปที่ถึงเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินการตามขั้นตอนทางวินัยนั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2566 นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทำหนังสือถึง ป.ป.ช. แจ้งเรื่องวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษากรณี นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ว่า ได้พิจารณาและมีมติลงโทษไล่นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ออกจากราชการ เป็นไปแล้ว
ทั้งนี้ เพื่อให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีมากขึ้น
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา นำรายละเอียดในคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงโทษไล่ออกจากราชการ นางลภาภัทร พลสิทธิ์ มานำเสนอ ณ ที่นี้
ด้วยนางลภาภัทร พลสิทธิ์ ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา วิทยฐานะรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รับเงินเดือนในอันดับ คศ.3 (คศ.4) อัตราเงินเดือน 60,300 บาท ได้กระทำผิดวินัยในเรื่อง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นางลภาภัทร พลสิทธิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 3 ว่า เมื่อประมาณต้นปี 2561 นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ หรือ คุณไก่ ห้างปืนวังบูรพา ได้ติดต่อประสานโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ขอก่อสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง พร้อมอุปกรณ์ในโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ โดยในการก่อสร้างห้องน้ำดังกล่าวได้มีการประเมินราคาที่จะใช้ในการก่อสร้าง เป็นเงินทั้งสิ้น 255,157 บาท
แบ่งเป็น (1) ค่าอุปกรณ์ก่อสร้างเป็นเงิน 151,582 บาท (2) ค่าแรง 94,340 บาท (3) งานไฟฟ้า 9,250 บาท ในการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง
นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ตกลงจะเป็นผู้หาเงินมาชำระทั้งหมด โดยจะนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาวังน้ำเขียว ชื่อบัญชี นายพินิจ ทองคำ และนางลภาภัทร พลสิทธิ์ ซึ่งเปิดบัญชีขึ้นใหม่ ตามความประสงค์ของนางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ซึ่งในการดังกล่าว นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ได้นำเงินเข้าบัญชี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น จำนวน 249,500 บาท
ในการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง พร้อมอุปกรณ์ นางลภาภัทร พลสิทธิ์ จะดำเนินการในฐานะตัวแทนของนางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ และได้ตกลงว่าจ้างให้ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง (ร้านพลอยศรีนาค) หรือนางสาวพลอย ศรีนาค ซึ่งมีนายชัยยงค์ มุตตา เป็นช่างผู้ดำเนินงาน เป็นผู้รับเหมา เฉพาะส่วนของค่าแรงเป็นเงินจำนวน 94,340 บาท แบ่งชำระเป็น 4 งวด กำหนดแล้วเสร็จ ภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2561 ส่วนการจัดหาวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างและงานไฟฟ้า ทางโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อจะเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อและติดตั้งงานไฟฟ้าเอง
วันที่ 25 พฤษภาคม 2561 นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ และคณะ ได้เดินทางไปยังโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ โดยโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อได้จัดงานต้อนรับพร้อมทำป้ายรับมอบห้องน้ำนักเรียนจำนวน 10 ห้อง จากห้างปีนวังบูรพา
นอกจากนี้ ในวันดังกล่าวบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเดินทางมากับคณะของนางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ยังได้มอบคอมพิวเตอร์ จำนวน 6 เครื่อง ให้แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ โดยนางลภาภัทร พลสิทธิ์ นางประคอง ธนูปกรณ์ นางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ และนายยุทธนา เปาอินทร์ ได้เข้าร่วมพิธีดังกล่าวด้วย
ในการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียนดังกล่าว ขณะนั้นได้มีการเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวน 199,000 บาท แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าแรง จำนวน 94,340 บาท ให้กับร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง และยังค้างค่าวัสดุอุปกรณ์ที่สั่งซื้อจากร้านโก้วัสดุและร้านรัตนอุปกรณ์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 129,300 บาท
หลังจากในช่วงต้นปีงบประมาณ 2562 ปรากฏว่า นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้อนุมัติให้ดำเนินการจ้างสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง เป็นเงินจำนวน 129,300 บาท และอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินดังกล่าว โดยมีนางประคอง ธนูปกรณ์ ในฐานะหัวหน้างานงบประมาณและเจ้าหน้าที่การเงิน นางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ ในฐานะเจ้าหน้าที่พัสดุ ได้จัดทำบันทึกข้อความที่ 17/2561 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 เรื่องรายงานการขอซื้อขอจ้างสร้างห้องน้ำนักเรียนจำนวน 10 ห้อง เป็นเงินจำนวน 129,300 บาท โดยวิธีเฉพาะเจาะจง และขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับพัสดุประกอบด้วย 1.นายยุทธนา เปาอินทร์ ประธานกรรมการ 2.นางวีระวรรณ กอบัว ประธานกรรมการ 3.นางมนทิรา พัวอมรพงศ์ กรรมการ
ผู้ควบคุมงาน 1.นางวีระวรรณ กอบัว ประธานกรรมการ 2.นายมงคล กินกิ่ง กรรมการ
เสนอนางลภาภัทร พลสิทธิ์ และได้ลงนามอนุมัติพร้อมทั้งได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลาง ตามคำสั่งโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ที่ 98/2561 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561
ต่อมานางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้จัดทำบันทึกข้อความ ที่ 18/2563 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2561 รายงานการพิจารณาและขออนุมัติสั่งซื้อสั่งจ้างถึงตนเอง และได้แจ้งให้ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้างมาลงนามในสัญญา เพื่อจัดทำใบสั่งซื้อ/สั่งจ่ายห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง ราคา 129,300 บาท ระหว่างโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ กับร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2561
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 นางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ ได้จัดทำใบส่งมอบงานสร้างห้องน้ำนักเรียน โดยนำเอาภาพถ่ายการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียนที่ได้รับบริจาคมาจากนางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์และคณะ มาประกอบการส่งมอบงานเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่าที่ได้รับบริจาค เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 และแจ้งให้นายยุทธนา เปาอินทร์ ประธานกรรมการตรวจรับงานจ้าง เพื่อให้ทำการตรวจรับงาน โดยมีนางลภาภัทร พลสิทธิ์ รับทราบและเป็นผู้อนุมัติ ซึ่งในใบตรวจรับการจัดการซื้อ/จัดจ้างงานดังกล่าว ปรากฏว่ามีเพียง นายยุทธนา เปาอินทร์ ที่ลงลายมือชื่อรับรองว่างานครบถ้วนตามสัญญา ส่วนกรรมการอีก 2 คน คือนางวีระวรรณ กอบัว และนางมนทิรา พัวอมรพงค์ ไม่ลงลายมือชื่อตรวจรับงาน
หลังจากนั้นนางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ ในฐานะเจ้าหน้าที่พัสดุ ได้จัดทำบันทึกข้อความ ที่ 19/2561 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 เพื่อขอทราบผลการตรวจรับงานจ้าง และขออนุมัติเบิกจ่าย ถึงนางลภาภัทร พลสิทธิ์ โดยนางประคอง ธนูปกรณ์ ในฐานะเจ้าหน้าที่การเงิน ได้ทำความเห็นว่า ได้ตรวจสอบหลักฐานแล้ว มีเอกสารครบถ้วน เห็นควรอนุมัติเงินจำนวน 129,300 บาท ให้แก่ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งนางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้รับทราบและ อนุมัติตามเสนอในวันเดียวกันนั้น
หลังจากนั้นนางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้ลงลายมือชื่อร่วมกับนางประคอง ธนูปกรณ์ เบิกถอนเงิน พร้อมมอบฉันทะให้กับนางประคอง ธนูปกรณ์ ไปดำเนินการเบิกถอนเงินสดจำนวน 129,300 บาท จากบัญชีดังกล่าว แล้วนำเงินดังกล่าวไปให้ร้านโก้วัสดุและร้านรัตนอุปกรณ์ทั้งหมด โดยที่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องชำระหนี้ให้กับร้านโก้วัสดุและร้านรัตนอุปกรณ์แต่อย่างใด
วันที่ 10 มกราคม 2562 นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี นายพินิจ ทองคำ และนางลภาภัทร พลสิทธิ์ จำนวน 49,500 บาท และนางลภาภัทร พลสิทธิ์ กับนายพินิจ ทองคำ ได้เบิกถอนในวันที่ 14 มกราคม 2562 จำนวน 50,529.82 บาท และปิดบัญชีในวันเดียวกัน ซึ่งนางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ให้ถ้อยคำว่า เนื่องจาก นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ยังไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดการใช้เงิน จำนวน 200,000 บาท ให้นางลมัยมาลย์ หิรัญประดิษฐ์ ทราบว่าขาดเหลือเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ จึงไม่ทราบว่าทางโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ยังค้างชำระค่าแรงช่าง
ต่อมาได้โทรศัพท์สอบถามถึงเรื่องดังกล่าว นางลภาภัทร พลสิทธิ์ จึงได้แจ้งรายละเอียดและแจ้งว่า ในการก่อสร้างห้องน้ำดังกล่าวใช้เงินทั้งหมด จำนวน 249,500 บาท จึงได้โอนเงินฝากระบบแอพพลิเคชั่น KPLUS เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2562 จำนวน 49,500 บาท ในวันดังกล่าว นางลภาภัทร ได้โอนเงินค่าจ้างให้กับร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชื่อบัญชี นางสาวพลอย ศรีนาค จำนวน 40,000 บาท และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้โอนเงินจำนวน 64,000 บาทให้กับร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง
การกระทำของนางลภาภัทร พลสิทธิ์ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 มาตรา 151 มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4)
และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษามติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาลเลินเล่อ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และฐานกระทำการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาดรา 94 วรรคสอง
อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ (ที่ทำการแทน ก.ค.ศ.)ในคราวประชุมครั้งที่ 12/2565 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 พิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนางลภาภัทร พลสิทธิ์ ที่ได้อนุมัติให้ดำเนินการจ้างสร้างห้องน้ำนักเรียน จำนวน 10 ห้อง และอนุมัติเบิกจ่ายเงินดังกล่าวโดยทราบดีอยู่แล้วว่าไม่มีการก่อสร้างห้องน้ำนักเรียนแต่อย่างใด และนำเงินดังกล่าวไปชำระค่าอุปกรณ์กับร้านโกัวัสดุและร้านรัตนอุปกรณ์ทั้งหมด จึงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
กรณีปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมีชอบเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ กรณีปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผนของทางราชการและหน่วยงานการศึกษา มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล ประมาทเลินเล่อ หรือขาดการเอาใจใส่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ อันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง และกรณีกระทำการอื่นใด อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 84 วรรคสาม มาตรา 85 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
จึงมีมติลงโทษไล่นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ออกจากราชการ
ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 98 ประกอบมาตรา 91 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พศ. 2561 มาตรา 98 มาตรา 100 วรรคสี่และวรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมประกอบระเบียบ ก.ค.ศ. ว่าด้วยวันออกจากราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2548 จึงให้ลงโทษไล่ นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ออกจากราชการ
อนึ่ง ถ้าผู้ถูกลงโทษประสงค์จะอุทธรณ์คำสั่งนี้ ให้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.ค.ศ. ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการอุทธรณ์ พ.ศ. 2550 หรือจะฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง ภายในกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ถูกลงโทษโดยไม่ต้องอุทธรณ์ ตามมาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปรานปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
ปัจจุบันยังไม่มีรายงานข่าวยืนยันว่า นางลภาภัทร พลสิทธิ์ ได้ยื่นเรื่องขออุทธรณ์ต่อ ก.ค.ศ. ไปแล้วหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร?
แต่คดีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างสำคัญ ไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐข้าราชการไทย เดินย้ำซ้ำรอยทำผิดตาม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตสืบไป
อ่านเพิ่มเติม: