‘เจิมศักดิ์’ ค้านรัฐบาลประมูลขายข้าว 10 ปี เพื่อการบริโภค ชี้ทำตลาดในประเทศแตกตื่น-ข้าวไทยเสีย‘แบรนด์ดิ้ง’ แนะควรนำไปทำ ‘แอลกอฮอล์’ แม้ได้เงินน้อยกว่า แต่ช่วยรักษาชื่อเสียงข้าวไทยในระยะยาว
......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดสินค้าเกษตร อดีตอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้สัมภาษณ์ช่องยูทูบ WATCHDOG CHANNEL เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยนายเจิมศักดิ์ เห็นว่า รัฐบาลไม่ควรระบายข้าวสารอายุ 10 ปี ออกสู่ตลาดเพื่อการบริโภค เพราะจะทำให้ตลาดข้าวในประเทศปั่นป่วน และหากระบายข้าวดังกล่าวไปยังตลาดต่างประเทศ ก็จะทำให้ข้าวไทยเสียชื่อเสียง
ทั้งนี้ นายเจิมศักดิ์ เสนอว่า รัฐบาลควรนำข้าวสารอายุ 10 ปีดังกล่าว ไปเปิดประมูลเพื่อทำเป็นแอลกอฮอล์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมภายในประเทศ ซึ่งแม้ว่าทำให้รัฐบาลขายข้าวได้เงินน้อยลงบ้าง แต่จะเป็นการรักษาแบรนด์ดิ้งและรักษาชื่อเสียงของข้าวไทยในระยะยาว รวมทั้งจะต้องมีวิธีการจัดการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำข้าวเก่าที่จะนำไปทำเป็นแอลกอฮอล์เหล่านี้ หลุดรอดออกไปผสมกับข้าวใหม่ที่ออกสู่ตลาดด้วย
“มันเป็นกรรมของรัฐบาลเพื่อไทยที่หนีวังวนไม่พ้น 10 ปีที่แล้ว ทำบาปไว้ โดยการไปซื้อข้าวในราคาสูง และเก็บไว้ในโกดังมากมาย หวังว่าราคาต่างประเทศจะขึ้น แต่พอคิดผิด ราคาต่างประเทศก็ไม่ขึ้น 10 ปีผ่านมา ระบาย (ข้าวสาร) ไปได้เยอะแล้ว แต่ยังเหลืออีกมหาศาล แม้ว่ารัฐบาลก่อนหน้านี้ได้ระบายไปมากมาย เมื่อเหลือข้าวอีกมหาศาล ลองคิดดูข้าว 10 ปี ปกติข้าว เขาไม่เก็บกันเกิน 2 ปีหรอก ปีหนึ่งคุณภาพก็เริ่มมีปัญหา ยิ่งเก็บเป็นข้าวสาร คุณภาพก็จะยิ่งเสื่อมลง
หนึ่ง สีจะเปลี่ยน สอง เป็นข้าวฟันหนู และเริ่มที่จะมีมอดเกิดขึ้น คุณเก็บยังไง ความชื่นก็จะเพิ่มขึ้นจากความชื่นในอากาศ เชื้อราก็อาจจะเกิดขึ้น และเชื้อราก็ปล่อยสารชื่อ ‘อะฟลาท็อกซิน’ และข้าวนี้ จะต้องรมยา ยารมควันเพื่อทำลายมอด ทำลายแมลง และต้องรมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ฉะนั้น 10 ปี ถ้าเดือนละครั้ง ก็ 120 ครั้ง คือ รมยา 120 ครั้ง ถามว่าข้าวอันนี้ ยังจะเอามาขายอีกหรือ ถ้าคุณเอาไปขายในตลาด ผมคิดว่าประชาชนจะแตกตื่น
เพราะข้าวสารมันปนได้ มันไปปนกับข้าวดีๆที่เพิ่งออกใหม่ได้ คุณเอาข้าวดีๆ 90% ใส่ข้าวเน่า ซึ่งไม่ใช่เน่าขนาดเละหรอก แต่เป็นข้าวที่ไม่ค่อยจะปลอดภัย 10% คนก็บอกว่า เขาจะแย่แล้ว เพราะภูมิเขาไม่แข็งเหมือนคุณภูมิธรรม (เวชยชัย รองนายกฯและรมว.พาณิชย์) ที่นั่งกินข้าว 10 ปีได้ เขาคิดว่า 10% เขาก็ไม่เอาแล้ว ทีนี้ตลาดข้าวในประเทศจะปั่นป่วนหมด และถ้าคุณขายออกไปให้เอกชน แม้คุณจะบอกว่าส่งออกต่างประเทศ
แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ข้าวมันจะไม่กลับมาหมุนเวียนในประเทศ เพราะคนที่ซื้อไป ถ้าราคาถูกกว่า ก็มีโอกาสที่จะไปผสมปนเปกับข้าวอื่น พอผสมเสร็จเรียบร้อย ขายได้ราคาแพงขึ้น เราก็ทำ อันนั้นก็ไม่มั่นใจ แล้วถ้าขายไปแอฟริกา อย่าดูถูกนะ แอฟริกา เขาก็คนเหมือนเรา เราเองยังไม่อยากกิน แต่เราขายให้ลูกค้าของเรา เพื่อเอาไปกิน คุณดูถูกคนจนอย่างนั้นเหรอว่า เขากินได้ ชีวิตเขาไม่มีคุณค่า ชีวิตของคน ก็มีคุณค่าเหมือนเรา
ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยน่าจะปลอดภัย อย่าขายเลยแบบนั้น ทำลายชื่อเสียงของเราเองด้วยในอนาคต ข้าวเราจะตกต่ำในอนาคต เพราะเขาไม่ไว้ใจแล้ว แบรนด์ดิ้งเราจะเสีย คุณรู้ไหมว่าแบรนด์ดิ้งสำคัญมาก คำว่า ข้าวไทย ข้าวหอมมะลิ ข้าวของประเทศไทยที่อ่อนนุ่ม เดี๋ยวนี้เราก็ถูกทำลายโดยนโยบายจำนำข้าวไปเยอะแล้ว ยิ่งขายข้าวอย่างนี้ แบรนด์ดิ้งยิ่งเจ๊งใหญ่ แล้วมันจะทำให้เราสูญเสียในระยะยาว
ถ้าอย่างนั้น เอาไปให้ทหารกินก็แล้วกัน ถามว่าทหารไม่ใช่คนเหรอ เรารักคนไทย แต่เฉพาะพวก white collar พวกแต่งตัวใส่สูทอยู่ที่ทำงานอย่างนั้นเหรอ ชาวบ้านไม่เป็นไร คนนิโกรผิวดำไม่เป็นไร ทหารไม่เป็นไร ผมคิดว่า คิดแบบนี้ เป็นการคิดแบบชนชั้น คิดแบบเหยียดผิว เหยียดชนชั้น ผมว่าไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ ก็ออกมาแล้วว่า อย่าไปเสี่ยงเลย ซึ่งมันมีทางออก เช่น เอาไปทำแอลกอฮอล์
คุณก็รู้ว่าแอลกอฮอล์เช็ดแผล ฆ่าเชื้อโรค ตอนสมัยโควิด คุณก็บอกว่าใช้แอลกอฮอล์ 70% ฆ่าเชื้อได้หมด อย่างนี้ถ้าเอาไปทำแอลกอฮอล์ ตัวมันก็ฆ่าเชื้อได้ ถ้าไม่ทำ (แอลกอฮอล์) 70% ก็ทำ 95% ก็ได้ แล้วก็เป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมก็ได้ ใช้ในวงการอื่น เช่น เอาไปทำแอลกอฮอล์อย่างอื่นที่ไม่ต้องกิน ผมว่าจะคุ้มในการรักษาแบรนด์ดิ้ง รักษาชื่อเสียงในระยะยาวด้วย” นายเจิมศักดิ์ กล่าว
เมื่อถามว่า รัฐได้เงินหลายร้อยล้าน ทำไมนักวิชาการขวาง นายเจิมศักดิ์ กล่าวว่า “มัน คือ ปัญหาของผู้บริหารประเทศที่มาจากพรรคการเมืองพรรคนี้ (พรรคเพื่อไทย) ที่มักคิดอะไรหวังผลเฉพาะหน้า แต่นักวิชาการ เขาเป็นห่วงระยะยาว ก็มีบางคนเถียงว่า สื่อก็ดี นักวิชาการก็ดี ก็ปล่อยๆเขาไปก็แล้วกัน เพราะเขาจะขายได้อยู่แล้ว ก็ขายๆไปก็แล้วกัน จะเอาแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า ใครจะเป็นจะตายก็เรื่องของคุณ คุณซื้อเอง อยากซื้อ ผมก็ขาย เอาไปกินอย่างไรก็ได้
แต่ไม่คิดผลประโยชน์ระยะยาว คิดว่าได้ 200-300 ล้านบาท แต่ถ้าทำแอลกอฮอล์อาจได้น้อยลงบางส่วน เพราะมันไม่ได้เสียทั้งหมด แต่ก็ยังกล่าวหาว่าคนที่ตั้งข้อสังเกต ไปกีดขวาง ไปในทางการเมือง ผมคิดว่าเขาทำด้วยความหวังดี และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคทั้งหลายควรจะต้องตรวจสอบ เพราะข้าวมันผสมง่าย เขาจะอ้างว่าซื้อไปทำแอลกอฮอล์ก็ได้ ซื้อไปทำอะไรก็ได้ แต่ข้าวมันหลุดออกมา เพราะต้นทุนต่ำว่าข้าวใหม่
ยิ่งปีนี้ข้าวในตลาดราคาสูง การผสมมันง่าย มันจูงใจให้คนอยากผสม ถ้าผสม 10% คนอาจจะจับได้ ก็ผสม 7% ผสม 5% กำไรก็เพิ่มขึ้น อันนี้องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคต้องตรวจให้ดีว่า จะผสมไม่ได้ แล้วมันก็เหมือนเป็นสารพิษ ถ้าเข้าห้องแล็บแล้วพบว่า มันสุ่มเสี่ยง มีพิษจริง ต้องถือว่าเป็นสินค้าที่ห้ามบริโภค จะต้องมีวิธีจัดการในเรื่องนี้ด้วย”
อ่านประกอบ :
'ภูมิธรรม'ยัน'ข้าวเก่า' 10 ปี ไม่อันตราย สั่งลุยประมูล-'สภาผู้บริโภค'ขอตรวจสารก่อมะเร็ง
ก่อนโละ‘ข้าว’ล็อตสุดท้าย! สรุปบทเรียนเจ๊ง'จำนำข้าว'-ปิดโครงการฯไม่ลง เหตุคดีค้างศาลเพียบ