เวทีเสวนาฯหนุนสร้าง 'เจตนารมณ์ทางสังคม' ผลักดัน ‘บำนาญแห่งชาติ’ 3,000 บาท/เดือน ประสานเสียงหนุน ‘ขยายฐานภาษี-เก็บภาษีความมั่งคั่ง-ลดงบกองทัพ’ หาเงินทำบำนาญฯ ขณะที่ ‘นักวิชาการ’ ห่วงประชากร ‘รุ่นเกิดล้าน’ อายุ 40-59 ปี เสี่ยงแก่แล้วยังยากจน
....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะเศรษฐศาสตร์และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดเวทีเสวนาวิชาการหัวข้อ “ระบบบำนาญแห่งชาติเพื่อความเป็นธรรมและยั่งยืน สู่นโยบายพรรคการเมืองด้านระบบความคุ้มครองทางสังคมในผู้สูงอายุ” โดยมีนักวิชาการ ผู้แทนภาคการเมือง และภาคประชาชนเข้าร่วมการเสวนา
ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. ระบุตอนหนึ่งว่า ในอนาคตประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงวิกฤตความยากจนในผู้สูงอายุ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อศักยภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม และหากคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างเปราะบางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าได้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้สูงอายุและลูกหลานอย่างมาก ดังนั้น ระบบบำนาญจึงถือเป็นระบบความคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุในการช่วยบรรเทาปัญหาความยากจนลงได้
“การพัฒนาระบบบำนาญแห่งชาติเป็น ‘ความคุ้มครองทางสังคม’ ประเภทหนึ่งตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ หรือ Public Economics ซึ่งความคุ้มครองทางสังคม คือระบบหรือมาตรการคุ้มครองขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเคราะห์ร้ายช่วยคุ้มครองไม่ให้กลายเป็นคนยากจน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ” ผศ.ดร.ศุภชัย กล่าว
ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย คณะเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มธ. หนึ่งในทีมวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติ โดยคำนึงถึงผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อผู้สูงอายุ” กล่าวว่า ความไม่มั่นคงหลังเกษียณ ทำให้มีความต้องจัดทำระบบบำนาญแห่งชาติที่มีความเป็นธรรมและยั่งยืน เพื่อเป็นเครื่องคุ้มครองความยากจนให้กับผู้สูงอายุ
@ห่วงกลุ่มประชากร รุ่นเกิดล้าน’ เปราะบาง-เสี่ยงยากจนสูง
ดร.ทีปกร ยังกล่าวถึงผลการศึกษาโครงการวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติฯ” ด้วยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลลักษณะทางเศรษฐกิจของประชากรผู้สูงอายุและกลุ่มวัย 40-59 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มประชากร ‘รุ่นเกิดล้าน’ หรือกลุ่มสึนามิประชากร พบว่าคนกลุ่มนี้มีความเปราะบางต่อความยากจนสูง เพระส่วนมากไม่มีความสามารถในการออม
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากรายได้ค่าใช้จ่าย และหนี้สิน โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิดฯ พบว่า มีผู้สูงอายุยากจนพุ่งขึ้นในหลายจังหวัดและส่วนใหญ่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ขณะที่ระดับเบี้ยยังชีพขั้นต่ำที่จะช่วยผู้สูงอายุกลุ่มยากจนที่สุดให้พ้นจากความยากจนได้จะต้องไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท/เดือน และแม้ว่าผู้สูงอายุจะเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแบบถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน แต่ก็ยังใช้งบประมาณน้อยกว่าระบบบำนาญของเจ้าหน้าที่รัฐในระยะยาว
ดร.ทีปกร ระบุว่า ผลการศึกษาฯ ยังได้ออกแบบระบบบำนาญแห่งชาติ ซึ่งสามารถทำให้ผู้สูงอายุได้รับบำนาญฯเดือนละ 6,000 บาทต่อเดือน หรือ 200 บาท/วัน ซึ่งเป็นระดับมาตรฐานการครองชีพที่อยู่ในระดับกึ่งกลาง (มัธยฐาน) ของครัวเรือนไทย คือ นอกจากจะให้ผู้สูงอายุได้รับเงินบำนาญจากรัฐเดือนละ 3,000 บาท/เดือนแล้ว จะมีการส่งเสริมให้มีการออมตั้งแต่วัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ทำงานอยู่นอกระบบ โดยให้รัฐบาลร่วมสมทบการออมในสัดส่วนเดียวกัน
“ทั้งหมดนี้จะใช้งบประมาณทั้งหมดไม่สูงกว่าระบบบำนาญภาครัฐแต่อย่างใด” ดร.ทีปกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นเพื่อนำมาสนับสนุนระบบบำนาญแห่งชาติ ผลศึกษาฯเสนอให้รัฐบาลการขยายฐานภาษีภาษีฐานทรัพย์สินและการลดนโยบายที่เอื้อให้กับคนรวย (Pro-rich) ซึ่งจะกลายเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในสังคมลงได้ เป็นต้น
ดร.ทีปกร กล่าวด้วยว่า โครงการวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติฯ” ยังมีข้อเสนอว่า 1.ควรกำหนดให้ระบบบำนาญแห่งชาติเป็นวาระแห่งชาติที่มีหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจน 2.มีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบต่างๆที่เป็นข้อจำกัด เพื่อให้มีการกำหนดสวัสดิการถ้วนหน้าด้านบำนาญ
3.สร้างระบบฐานข้อมูลโดยกำหนดให้ผู้ที่ต้องการเบี้ยผู้สูงอายุส่วนเพิ่มเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ในวัยทำงาน 4. ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุให้เป็นรูปธรรมทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ทำงานนานขึ้น ขอรับบำนาญช้าลงและส่งเสริมการออม 5.เสนอให้มีการทบทวนนิยาม “การเริ่มนับอายุของผู้สูงอายุ” ให้เพิ่มมากกว่า 60 ปีและขยายเวลาในการ “เกษียณอายุ” จากการทำงาน (ทั้งภาครัฐและเอกชน) โดยอาจจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายบางฉบับ
@เสนอขึ้นแวต-ลดงบ ‘กลาโหม’ เพิ่มแหล่งเงินทำบำนาญฯ
ผศ.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม มธ. หนึ่งในทีมวิจัย “การวิเคราะห์ช่องว่างทางการคลัง แหล่งรายได้และความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์การเมืองของการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติฯ” กล่าวว่า หากประเทศไทยจะมีการผลักดันระบบบำนาญแห่งชาติ เพื่อทำให้ผู้สูงอายุอยู่ได้จริง จะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก ซึ่งผลการศึกษาฯได้เสนอแนวทางการขยายฐานภาษีเพื่อสนับสนุนระบบบำนาญแห่งชาติ ได้แก่
1.การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) 1-3% แต่ทั้งนี้ ยังมีข้อถกเถียงกันว่าควรจะเป็นกำหนดเป็น earmarked tax หรือกำหนดวัตถุประสงค์เฉพาะสนับสนุนระบบบำนาญแห่งชาติหรือไม่ 2.การปฏิรูปภาษีเงินได้ ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล 3.การปรับปรุงภาษีกลุ่มความมั่งคั่ง (Wealth tax) เช่น ภาษีการรับมรดก และภาษีซื้อขายหุ้นหรือการเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และ 4.การเก็บภาษีอื่นๆ เช่น ภาษีการใช้ถนน เป็นต้น
นอกจากนี้ จะต้องมีการปฏิรูปการจัดสรรงบประมาณเพื่อนำมาสนับสนุนระบบบำนาญแห่งชาติ ได้แก่ 1.จัดหมวดหมู่งบประมาณใหม่ และลดรายจ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภาพ เช่น ปรับลดค่าใช้ด้านกลาโหมและการป้องกันประเทศ 2.เพิ่มบทบาทสำนักงบของรัฐสภา เช่น เปิดช่องทางให้มีการสำรวจเสียงสะท้อนของประชาชนว่าต้องการให้มีการจัดสรรงบฯในรูปแบบใด และ 3.ต้องให้มีการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วม
@‘อภิสิทธิ์’เสนอเพิ่ม Vat ดึงเงินทำระบบบำนาญแห่งชาติ
ในงานเสวนาฯครั้งนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแนวทางการขับเคลื่อนเรื่องการจัดตั้งระบบบำนาญแห่งชาติ ตลอดจนการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติปี 2565 ในหัวข้อ “หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นกระแสสังคมหรือพรรคการเมืองต่างเห็นร่วมกันแล้วว่าจำเป็นต้องมีการสร้างระบบบำนาญให้กับผู้สูงอายุ
แต่สิ่งสำคัญ คือ งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 4-5แสนล้านบาท ส่วนตัวเสนอให้เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 7% เป็น 10% โดยเอาส่วนต่างที่เก็บเพิ่มจำนวน 3% หรือราว 2 แสนล้าน และปรับเปลี่ยนเป็นใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (Earmarked Tax) คือ เงินออมสำหรับบำนาญให้กับประชาชนทุกคนในยามชราภาพที่สำคัญ คือ ต้องสร้างให้เกิดระบบที่ยั่งยืน
“ความเร่งด่วนในวันนี้ไม่ใช่เรื่องความตื่นตัวของสังคม แต่ต้องมุ่งเป้าไปที่การทำให้ประชาชนทุกคนมั่นใจได้ว่าเมื่อเป็นผู้สูงอายุพวกเขาจะมีสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยพรรคการเมืองซึ่งจะเป็นรัฐบาลในอนาคตจะต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการสร้างระบบสวัสดิการให้เกิดขึ้นจริงไม่ใช่การสงเคราะห์เหมือนที่ผ่านมาและต้องมีการหารายได้เพิ่มเพื่อนำมาใช้เป็นเงินบำนาญ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
@แนะใช้บทเรียน ‘บัตรทอง’ ผลักดันบำนาญแห่งชาติ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเรื่อง “หลักประกันรายได้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ” จำเป็นต้องขับเคลื่อนพร้อมกันทั้ง 5 องค์ประกอบหลัก (5 เสาหลัก) เพราะมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ได้แก่ 1.การพัฒนาผลิตภาพประชากรการมีงานทำและมีรายได้จากการทำงานที่เหมาะสมตลอดช่วงวัย
2.การออมระยะยาวเพื่อยามชราภาพที่เชื่อมโยงทั้งการออมของปัจเจกบุคคล และการออมรวมหมู่ที่ครอบคลุม เพียงพอ และยั่งยืน 3.เงินอุดหนุน (บำนาญ) และบริการสังคมที่จำเป็นจากรัฐ (บำนาญ) 4.การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพโดยเฉพาะบริการสุขภาพระยะยาว (Long-term care) และ 5.การดูแลจากครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่น
"เราสามารถถอดบทเรียนความสำเร็จของการขับเคลื่อนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคหรือโครงการบัตรทอง ที่เน้นความพร้อมทางวิชาการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม และการตัดสินใจทางการเมือง มาเป็นฐานในการผลักดันนโยบายไปสู่รูปธรรมความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริง" นพ.ประทีป กล่าว
@‘ก้าวไกล’เสนอรื้อภาษีหาเงิน 4.2 แสนล.หนุนบำนาญฯ
ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการ Think Forward Center กล่าวว่าดร.เดชรัต กล่าวว่า ตัวเลขเงินบำนาญผู้สูงอายุที่พูดกันอยู่ในขณะนี้คือ 3,000 บาท ซึ่งเข้าใจว่าเป็นระดับที่ทุกคนเห็นร่วมกันแล้ว โดยจำต้องใช้งบประมาณราว 4.2 แสนล้าน ซึ่งหากจ่ายในอัตรา 3,000 บาท/เดือนได้จริง จะช่วยให้ผู้สูงอายุที่อยู่ในเส้นความยากจนจากเดิม 6% จะสามารถลดลงเหลือ 1% แต่ถ้าอัตรา 2,000 บาท จะเหลืออยู่ที่ 2%
ส่วนจำนวนเปอร์เซ็นต์ความยากจนที่เหลืออยู่นั้น เกิดจากหนี้สินจาก อาชีพการงาน และภาระค่าใช้จ่ายจากความเจ็บป่วย เช่น ภาวะติดบ้านติดเตียง ซึ่งในส่วนนี้พรรคก้าวไกลได้มีข้อเสนอว่า ควรมีการจัดตั้งกองทุนเพื่อดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง โดยเก็บจากผู้สูงอายุจำนวน 200 บาทต่อคนต่อเดือน ซึ่งจะทำให้ได้เงินจำนวนประมาณ 3 หมื่นล้านบาทสำหรับรองรับการดำเนินในส่วนนี้
ดร.เดชรัต กล่าวถึงแหล่งรายได้ของภาครัฐที่จะนำมาสร้างระบบบำนาญแห่งชาติว่า ต้องใช้ช่องทางในการปรับภาษี ดังนี้ คือ 1.ขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนรายย่อยต้องลดลง ซึ่งจะนำมาสู่รายได้ราว 9 หมื่นล้านบาท 2.ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการลดหย่อนภาษี 3.ปรับภาษีที่ดินแบบรวมแปลงและรายแปลง ในส่วนนี้จะได้เงินประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
4.ปรับเพิ่มอัตราภาษีความมั่งคั่งเป็น 0.5% ซึ่งจะให้ได้เงินราว 6 หมื่นล้านบาท 5.ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ลดงบกองทัพ ซึ่งจะลดได้ประมาณ 2 แสนล้านบาท เป็นต้น
ขณะที่ ศ.ดร.เอื้อมพร พิชัยสนิธ คณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวว่า นอกจากเรื่องบำนาญแห่งชาติและเรื่องการหารายได้แล้ว อยากให้มองภาพที่ใหญ่ไปกว่านั้น คือ ความต้องการรูปแบบสวัสดิการของทุกคนที่เห็นร่วมกันเป็นองค์รวม เพื่อเป็นสัญญาณให้ฝั่งการเมืองรู้ถึงฐานที่ประชาชนต้องการจริงๆ เช่น ประเทศสแกนดิเนเวียที่มีสวัสดิการจำนวนมากนั้น ภาษีที่ต้องจ่ายก็สูงด้วยเช่นกัน แต่ทุกคนตกลงร่วมกันแล้วเป็นฉันทมติ และสะท้อนออกมาสู่การตัดสินใจทางการเมือง
“ในกรณีประเทศไทยจะเห็นได้ว่านโยบายมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่ค่อยมีความยั่งยืนในระยะยาว ดังนั้น พรรคการเมืองต้องมีความจริงใจในการนำเสนอข้อเท็จจริงและข้อจำกัดที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อใจ ซึ่งหลังจากนั้นก็จะได้ภาพที่ชัดขึ้นว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรให้ระบบที่เกิดขึ้นมีความเป็นธรรมสำหรับประชาชนที่แท้จริง” ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าว
ศ.ดร.เอื้อมพร กล่าวว่า การผลักดันเรื่องบำนาญแห่งชาตินั้น จะต้องทำให้มีความครอบคลุมและมีความยั่งยืนในระยะยาว เช่น ในระยะสั้นมีการขยายกองทุนเงินออมแห่งชาติ เพื่อเป็นฐานในการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ และนอกจากการมีนโยบายการออมที่ดีแล้ว อาจต้องมีในส่วนการลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้สูงอายุด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการเวทีเสวนาฯครั้งนี้ วิทยากรในเวทียังเห็นพ้องในหลักการร่วมกันว่า สิ่งที่จำเป็นหรือนับเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบายบำนาญแห่งชาติ คือ การสร้างเจตนารมณ์ทางสังคมให้เกิดขึ้นจนเกิดเป็นนโยบายทางการเมือง
อ่านประกอบ :
จุดยืนล่าสุด 5 พรรคการเมือง หนุน‘บำนาญแห่งชาติ’ แต่ไม่ฟันธงได้เดือนละ 3 พันบาท ปีไหน!
ข้อเสนอ 'บำนาญถ้วนหน้า' เดือนละ 3 พันบาท ทำได้-ไม่ได้ ใช้เงินเท่าไหร่-หาเงินจากไหน?
จี้เลิกลดหย่อนภาษีคนรวย-เจ้าสัว! ‘ภาคปชช.’เคลื่อนไหวผลักดัน‘บำนาญถ้วนหน้า’ 3 พันบาท/ด.
จาก'สงเคราะห์'สู่'สวัสดิการ' เพิ่ม'เบี้ยผู้สูงอายุ' 3 พันบาท ทางเลือกที่รัฐบาลทำได้?
ครม.อนุมัติ 8.3 พันล้าน เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชรา 100-250 บาท 6 เดือน
ผลวิจัยฯชี้เพิ่ม‘เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ’เป็น 3 พันบาท/ด. ต้นทุนเทียบเท่าขึ้นแวต 16.9%
รมว.พม.รับข้อเสนอเครือข่ายประชาชน พัฒนา 'เบี้ยผู้สูงอายุ' เป็นระบบบำนาญ