“…วันนี้เราสามารถขอให้สถาบันการเงินไทยมาช่วยเหลือลูกหนี้ได้หลากหลายวิธี แต่เราต้องระวังไม่ให้มาตรการเหล่านี้ทำให้ระบบสถาบันการเงินอ่อนแอจนสร้างปัญหาในระยะยาว เพราะไม่เช่นนั้น เมื่อวิกฤติโควิด 19 คลี่คลาย สถาบันการเงินจะไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ หรืออาจก่อให้เกิดวิกฤติสถาบันการเงินตามมา นอกจากนี้ จะต้องระวังไม่ให้มาตรการเยียวยาต่างๆ กระทบต่อวินัยทางการเงินของลูกหนี้ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาวได้…”
หมายเหตุ : พระสยาม MAGAZINE เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและบทบาทของ ธปท. เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจภายใต้ภาวะปกติใหม่ ตลอดจนโอกาส ความท้าทาย และแนวทางปรับตัวสำหรับทุกภาคส่วนเพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน โดยมี พลวัชร ภู่พิพัฒน์ ผู้ประกาศข่าวจากช่อง TNN16 และ ททบ.5 ร่วมสนทนา
@การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติโควิด 19
พลวัชร : โควิด 19 พ่นพิษสู่เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย แต่บ้านเราเห็นสัญญาณที่ดีเพราะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้ ท่านผู้ว่าการมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
ดร.วิรไท : การคาดการณ์วิกฤติรอบนี้เป็นเรื่องที่ยาก เพราะเป็นวิกฤติด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อระบบเศรษฐกิจ ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจโดยตรงหรือวิกฤติสถาบันการเงินที่เราคุ้นเคย และไม่ใช่วิกฤติจากภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมใหญ่ ที่เราทราบว่าพอน้ำท่วมผ่านไป เศรษฐกิจก็จะกลับมาฟื้นตัวได้ แต่ครั้งนี้ไม่ทราบว่าการระบาดจะจบลงเมื่อไหร่และจบอย่างไร
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจแบบเปิด ภาวะเศรษฐกิจจึงขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดในต่างประเทศด้วย ทั้งเป็นห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) และบางอุตสาหกรรมต้องพึ่งพิงต่างประเทศสูง เช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ดังนั้นถ้าสถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกยังไม่แน่นอน การประเมินสภาวะเศรษฐกิจไทยต้องมีหลายฉากทัศน์ (scenario) และวางแผนเตรียมพร้อมรับมือหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ถ้าทุกอย่างจบลงเร็ว เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวได้ดี แต่เราชะล่าใจไม่ได้
พลวัชร : ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้ดีแบบนี้ เราจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร
ดร.วิรไท : จากการผ่อนปรนมาตรการในช่วงแรก กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่หยุดนิ่งไป 2 - 3 เดือนจะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมา ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากต่างประเทศยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เช่น จะต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาปีละ 40 ล้านคน ชีวิตหลังโควิด 19 จะทำให้การเดินทางระหว่างประเทศยากขึ้น มีต้นทุนสูงขึ้น และมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละประเทศ
เราต้องยอมรับว่าชีวิตหลังโควิด 19 จะไม่เหมือนเดิม รูปแบบการทำธุรกิจ การใช้ชีวิต หรือการบริโภคของประชาชน จะเปลี่ยนแปลงมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ ต้องให้แน่ใจว่าเราปรับเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจและวิถีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับโลกข้างหน้าได้
@มาตรการการเงินและการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย
พลวัชร : ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ธปท. ได้วางแผนเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ และหลังจากนี้อย่างไร
ดร.วิรไท : วิกฤติครั้งนี้คงไม่มีสูตรสำเร็จเพียงสูตรเดียวที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ หัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยคือการจ้างงาน แต่เมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจหลังโควิด 19 เปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหมือนเดิม รูปแบบการจ้างงานก็จะเปลี่ยนไปมาก ยกตัวอย่างภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการจะใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ (automation) มากขึ้น เราจะเห็นแรงงานจำนวนมากหางานได้ยากขึ้น โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะไม่สูงมาก แรงงานในภาคบริการ หรือแม้แต่คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งสำเร็จการศึกษา
ปัญหาการจ้างงานนี้เป็นโจทย์เชิงโครงสร้างที่ทุกฝ่ายต้องประสานงานกันเพื่อออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ที่จะเร่งพัฒนาทักษะแรงงาน รวมถึงการสร้างงานและการสร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลังจากนี้
มาตรการหลักที่ต้องเป็น “หัวจักรใหญ่” ในการฝ่าฟันวิกฤติรอบนี้คือ มาตรการด้านการคลังและมาตรการเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ (structural policy) เพราะเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดลง รายได้ของประชาชนและธุรกิจหดหาย มาตรการด้านการคลังจึงมีบทบาทสำคัญในการเติมรายได้เข้าสู่ระบบ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกหลากหลายมาตรการเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างรายได้ใหม่
ขณะเดียวกัน มาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจก็จำเป็นไม่แพ้กันเพราะเราต้องย้ายทรัพยากรจากโลกเก่าก่อนโควิด 19 ไปสู่โลกใหม่ ทั้งทรัพยากรทุนและแรงงานที่ต้องมีทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลมากขึ้น
ในส่วนของ ธปท. มีหน้าที่ดูแลมาตรการด้านการเงินและระบบการเงิน ซึ่งถือเป็น “มาตรการเสริม” เพื่อช่วยให้ระบบเศรษฐกิจปรับตัวไปสู่โลกใหม่หลังโควิด 19 ได้รวดเร็วและสะดวกขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง เช่น เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐและภาคเอกชนไม่สูงนัก การลงทุนขยายธุรกิจหรือปรับรูปแบบธุรกิจก็สามารถทำได้ด้วยต้นทุนการเงินที่ถูกลง
@ประเทศไทยบนวิถี Regionalization & Globalization
พลวัชร : การที่ประเทศไทยควบคุมการระบาดได้ดี ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนก็เริ่มควบคุมได้ สถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจในภูมิภาคดีขึ้นหรือไม่
ดร.วิรไท : วิกฤติครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ระบบสาธารณสุขและระบบสังคมในเอเชียมีภูมิคุ้มกันที่ดีกว่าหลายภูมิภาคในโลก ทำให้ห่วงโซ่อุปทานที่อยู่ในเอเชีย โดยเฉพาะจีน เริ่มกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ภูมิภาคเอเชียจะมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไป เมื่อวิกฤติโควิด 19 คลี่คลายลง เราจะได้เห็นการเชื่อมโยงของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย (regionalization) เพิ่มมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี โลกาภิวัตน์ (globalization) ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่รูปแบบจะเปลี่ยนไปจากเดิม เทคโนโลยีจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตทั้งในประเทศและข้ามประเทศจะอยู่บนพื้นฐานดิจิทัลมากขึ้น ตลอดจนธุรกิจบริการที่อาศัยดิจิทัลเป็นพื้นฐาน (digital-based) จะถูกใช้ประโยชน์มากขึ้น
สำหรับประเทศไทย เรามีจุดแข็งหลายอย่างที่ทำให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตโควิด 19 ได้ดีกว่าหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เริ่มจากเศรษฐกิจมหภาคและฐานะการเงินระหว่างประเทศที่เข้มแข็งจนเป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติ ระบบสาธารณสุขมีประสิทธิภาพอย่างมากจนหลายประเทศชื่นชม
นอกจากนี้ เรายังมีความมั่นคงทางอาหาร โดยประเทศไทยสามารถผลิตอาหารได้มากกว่าความต้องการในประเทศ โจทย์สำคัญคือ เราจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเหล่านี้อย่างไร และจะเคลื่อนย้ายทรัพยากรจากโลกเก่าไปสู่โลกใหม่หลังโควิด 19 ได้อย่างไร
@'สมดุล 4 ข้อ' เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว
พลวัชร : หากโควิด 19 กลับมาระบาดระลอกสองในเมืองไทย ท่านผู้ว่าการมองว่าจะกระทบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากน้อยอย่างไร
ดร.วิรไท : ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดมาได้ค่อนข้างดี แต่สิ่งที่ต้องตระหนักคือ เราจะปล่อยให้ “การ์ด (guard) ตก” ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าหากเกิดการระบาดอีกระลอก คราวนี้ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรของภาครัฐ ทรัพยากรของภาคสถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งเครื่องมือทางด้านนโยบายการเงิน จะมีข้อจำกัดมากขึ้นและจะใช้ได้ยากขึ้นมาก ขณะเดียวกันถ้ารอให้วิกฤติจบแล้วค่อยมาเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจก็อาจจะสายไป
เราจึงต้องวางนโยบายทั้งมิติของการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกัน และด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร เราต้องหาสมดุลที่เหมาะสมอย่างน้อยใน 4 ด้านสำคัญ
ด้านแรก คือ ต้องเร่งเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว เราเรียกว่า มาตรการ “ดับไฟ” ดังนั้นในช่วงที่สถานการณ์เพิ่งเกิด เราจึงต้องให้น้ำหนักกับมาตรการเยียวยาค่อนข้างมาก เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจอยู่รอดและสามารถก้าวข้ามภาวะที่ยากลำบากนี้ไปได้ ต้องดูแลระบบเศรษฐกิจไม่ให้หยุดชะงักแรง และไม่ให้เกิดปัญหาสังคมรุนแรง
ด้านที่สอง คือ ต้องไม่ทำให้ระบบสถาบันการเงินอ่อนแอจนอาจเกิดปัญหาในอนาคต เราผ่านวิกฤติการเงินมาหลายครั้ง ทำให้เรามีระบบกำกับดูแลสถาบันการเงินไทยที่เคร่งครัด สถาบันการเงินมีเงินกองทุนและตั้งสำรองเผื่อหนี้เสียอยู่ในระดับสูง ตลอดจนมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ทำให้วันนี้เราสามารถขอให้สถาบันการเงินไทยมาช่วยเหลือลูกหนี้ได้หลากหลายวิธี
แต่เราต้องระวังไม่ให้มาตรการเหล่านี้ทำให้ระบบสถาบันการเงินอ่อนแอจนสร้างปัญหาในระยะยาว เพราะไม่เช่นนั้น เมื่อวิกฤติโควิด 19 คลี่คลาย สถาบันการเงินจะไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ หรืออาจก่อให้เกิดวิกฤติสถาบันการเงินตามมา นอกจากนี้ จะต้องระวังไม่ให้มาตรการเยียวยาต่างๆ กระทบต่อวินัยทางการเงินของลูกหนี้ซึ่งอาจส่งผลเสียในระยะยาวได้ เช่น ยืดระยะเวลาชำระหนี้ทั้งที่ลูกหนี้ยังสามารถจ่ายชำระหนี้ได้อยู่
ด้านที่สาม คือ ต้องไม่สร้างภาระทางการคลังจนมากเกินควร เราต้องตระหนักว่า รัฐบาลมีทรัพยากรจำกัดและต้องตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านสาธารณสุข หรือด้านสังคม ดังนั้นจำเป็นต้องมีแผนจัดสรรทรัพยากรอย่างครอบคลุมและทั่วถึง ขณะเดียวกันก็ต้องมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดรัฐบาลจึงไม่อาจทุ่มงบประมาณไปกับมาตรการเยียวยาได้ทั้งหมด เพราะต้องจัดสรรบางส่วนไว้ใช้สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด 19 คลี่คลายด้วย
ด้านสุดท้าย คือ มาตรการต่างๆ ต้องสนับสนุนให้คนไทยและผู้ประกอบการไทยปรับตัวให้เข้ากับวิถีของโลกใหม่หลังโควิด 19 ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ธุรกิจสายการบิน ในอนาคตคนจะเดินทางน้อยลง สายการบินต้องปรับโครงสร้างธุรกิจโดยลดกำลังการผลิตและอุปทานส่วนเกินก่อนที่จะเติมเงินเข้าไปช่วยเหลือ แนวทางนี้จะช่วยให้การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดสอดคล้องกับโจทย์ของโลกใหม่
สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ หลายธุรกิจยังยึดวิธีการทำธุรกิจรูปแบบเดิม คิดว่าหลังโควิด 19 คลี่คลายลงแล้วทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม เราจึงต้องช่วยกันคิดและส่งเสริมให้เกิด “นโยบายปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ” ให้มากขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจในวิถีโลกใหม่
@ธนาคารกลางกับโจทย์ใหญ่ภายใต้ New Normal
พลวัชร : โลกหลังโควิด 19 จะไม่เหมือนเดิมในหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพ การใช้ชีวิตประจำวัน หรือการดำเนินธุรกิจ แล้ว new normal ของธนาคารกลางทั่วโลกนับจากนี้คืออะไร
ดร.วิรไท : ธนาคารกลางทั่วโลกก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในภาพใหญ่หลังวิกฤติโควิด 19 ผมขอยกตัวอย่าง 3 เรื่องที่ธนาคารกลางต้องให้ความสำคัญ
เรื่องแรก โลกจะเข้าสู่กระแสดิจิทัลเร็วขึ้น สถาบันการเงินต้องปรับรูปแบบการทำธุรกิจให้สอดคล้องกับโลกการเงินวิถีใหม่ ธปท. ได้ส่งเสริมธุรกรรมการเงินดิจิทัลมาตลอด เมื่อสองปีที่แล้วเราเริ่มใช้พร้อมเพย์ (PromptPay) และ QR code ในช่วงการระบาดของโควิด 19 สถิติการโอนเงินชำระเงินผ่านพร้อมเพย์ทำลายสถิติทุกเดือน ปริมาณธุรกรรมเฉลี่ยพุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 16 ล้านรายการต่อวัน ขณะที่จำนวนร้านค้าที่ติดตั้ง QR code เพิ่มถึง 6 ล้านจุดทั่วประเทศ ส่งผลให้ปริมาณธุรกรรมผ่าน QR code เพิ่มขึ้นมาก
เมื่อธุรกรรมทางการเงินรูปแบบดิจิทัลเพิ่มขึ้นเร็วมาก ขณะที่การทำธุรกรรมการเงินรูปแบบเดิมและปริมาณธุรกรรมผ่านสาขาธนาคารลดลงเร็ว ซึ่งสอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ที่การติดต่อแบบบุคคลกับบุคคล (physical interaction) จะลดลงและเปลี่ยนมาใช้สื่ออื่นในการทำธุรกรรมมากขึ้น ฉะนั้น การเร่งพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลเพื่อรองรับธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจึงเป็นโจทย์ใหญ่ของธนาคารกลางทั่วโลก
ธปท. ก็ยังมีโจทย์เรื่องการต่อยอดบริการทางการเงินให้เป็นรูปแบบดิจิทัลอยู่อีกมาก ต้องครอบคลุมหลากหลายบริการ โดยเฉพาะสำหรับภาคธุรกิจ ระบบการเงินดิจิทัลจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินต่อได้ในสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูง ลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงิน และทำให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมมีผลิตภาพที่ดีขึ้น
เรื่องที่สอง โลกจะอยู่ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำต่อเนื่องไปอีกนาน ที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่วิกฤติการเงินโลก 2008 (พ.ศ. 2551) ก่อนจะเกิดโควิด 19 ธนาคารกลางบางแห่งรวมถึง ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น (normalization policy) เพราะการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องนานจะสร้างผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
เช่น ประชาชนไม่มีแรงจูงใจที่จะออม หนี้สินอยู่ในระดับสูง ในโลกหลังโควิด 19 ธนาคารกลางทุกประเทศต้องลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อช่วยลดผลกระทบและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และหนี้สินของประชาชนและธุรกิจจะยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพราะรายได้ลดลงมาก
ธปท. เป็นธนาคารกลางแห่งแรกๆ ที่ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อการระบาดของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ในวันนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ต้องถือว่าเราโชคดีที่การแพร่ระบาดในไทยสามารถควบคุมได้ และระบบการเงินของเราไม่ได้มีจุดเปราะบางเหมือนในหลายประเทศ ระบบสถาบันการเงินมีสถานะเข้มแข็ง ทำให้ ธปท. สามารถออกมาตรการหลายอย่างผ่านระบบสถาบันการเงินเพื่อมาเสริมการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้
เรื่องที่สาม เสถียรภาพของระบบการเงินจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับระบบธนาคารพาณิชย์แบบที่คุ้นเคยในอดีตเท่านั้น เพราะระบบการเงินปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันสูงและครอบคลุมทั้งตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์ และกองทุนรวม
วิกฤติรอบนี้ ธนาคารกลางหลายแห่งต้องออกเครื่องมือมาดูแลระบบการเงินและตลาดการเงินที่กว้างไกลกว่าระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจลุกลามไปทั้งระบบ ในยุคหลังโควิด 19 ธนาคารกลางจะมีบทบาทในการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในภาพใหญ่เพิ่มขึ้น
ทั้งสามตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า โจทย์ของธนาคารกลางทั่วโลกหลังวิกฤติโควิด 19 อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว เพียงแต่จะต้องเร่งขับเคลื่อนให้แรงขึ้นและเร็วขึ้น เพื่อจะได้เท่าทันกับปัญหาหรือความท้าทายที่จะเพิ่มมากขึ้นหลังจากโควิด 19 คลี่คลายลง
@'กุญแจ 3 ดอก' สู่การสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน
พลวัชร : ในภาวะที่ยากลำบากอย่างขณะนี้ ท่านผู้ว่าการมีคำแนะนำในการดูแลสุขภาพทางการเงินอย่างไร
ดร.วิรไท : มิติแรกที่ทุกคนควรตระหนักคือ การมีเงินออม เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี เงินออมที่เพียงพอจะทำให้เรารับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เราต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอีกมาก ภาวะโลกร้อนจะทำให้โรคอุบัติใหม่เกิดบ่อยขึ้นและภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงขึ้น การจะมีเงินออมต้องเริ่มจากการตรวจสุขภาพทางการเงิน ควรใช้จ่ายเฉพาะในเรื่องที่จำเป็นและวางแผนการออมให้เพียงพอ ที่ผ่านมา คนรุ่นใหม่อาจไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการออม ยิ่งพอเจอวัฒนธรรม “ของมันต้องมี” ก็ยิ่งสร้างจุดเปราะบางให้กับฐานะการเงินของตัวเอง
มิติต่อมาคือ การบริหารจัดการเงินออม ต้องรู้จักวิธีกระจายความเสี่ยงของการออมรูปแบบต่าง ๆ ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำนาน เรามักจะเห็นเหตุการณ์ที่คนแห่ไปลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (search for yield) โดยไม่เข้าใจความเสี่ยงหรือประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกหลอกลวงได้ หรือถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไปจากที่คาดไว้ อาจจะทำให้ขาดทุนได้ ดังนั้นการบริหารความเสี่ยง เข้าใจความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องสำคัญ
มิติที่สามคือ การบริหารจัดการหนี้ ในช่วงโควิด 19 บางคนที่มีภาระหนี้สินอยู่แล้วอาจมีหนี้สินเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะรายได้ของทั้งประชาชนและธุรกิจลดลงมาก ธปท. จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และร่วมกับสถาบันการเงินหลายแห่งออกมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยลดภาระหนี้ให้กับประชาชนและธุรกิจ เช่น การเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตเป็นสินเชื่อระยะยาวที่มีอัตราผ่อนชำระคงที่ทุกเดือนและอัตราดอกเบี้ยต่ำลงมาก
ธปท. ได้รวบรวมมาตรการช่วยเหลือของสถาบันการเงินทุกแห่งไว้ที่ www.bot.or.th/covid19 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกหนี้สามารถศึกษาแนวทางการปรับปรุงภาระหนี้ให้สอดคล้องกับกระแสรายได้และความจำเป็นของแต่ละราย การปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์จะเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก
นอกจากนี้ ในกรณีที่ลูกหนี้ติดต่อไปยังสถาบันการเงินแล้ว ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี ธปท. ได้จัดตั้ง “ทางด่วนแก้หนี้” เพื่อเป็นกลไกรวบรวมคำร้องเรียนส่งให้กับสถาบันการเงินทุกวันและเร่งติดตามข้อร้องเรียนต่าง ๆ รวมถึงยังมีโครงการ “คลินิกแก้หนี้” เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียและมีเจ้าหนี้หลายรายให้สามารถเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ แบบจบที่เดียว (one stop) ผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด หรือ SAM
"ผมขอให้กำลังใจทุกคนว่า โควิด 19 นี้ไม่ใช่วิกฤติใหญ่ครั้งแรกที่ประเทศไทยเผชิญ เราผ่านมาแล้วหลายวิกฤติและสามารถก้าวข้ามผ่านมาได้ ผมเชื่อว่า การปรับตัวเองให้สอดคล้องกับโลกใหม่จะช่วยให้พวกเราทุกคนก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ด้วยกัน"
อ่านประกอบ :
มติเอกฉันท์! กนง.คงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5%-หั่นคาดการณ์จีดีพีปีนี้ติดลบ 8.1%
ส่งออกพ.ค.ติดลบ 22.5%! ‘พาณิชย์’ ชี้โควิดกระทบแรง-ชงรัฐแก้ปัญหาต้นทุนขนส่ง
ชำแหละ ‘รายจ่าย-แผนกู้’ ปีงบ 64 รัฐบาล ‘ประยุทธ์’ มองข้ามช็อต 'ศก.ฟื้น-โควิดยุติต้นปีหน้า'
แบงก์ชาติ : เราคงไม่ปล่อยให้ NPLs ไปถึงร้อยละ 50-อาจมีเรื่องระบาดระยะที่สอง
แจง 5 มาตรการขั้นต่ำช่วยลูกหนี้! ธปท.สั่งพักหนี้ 'บ้าน-รถ' อีก 3 เดือน-ลดค่างวด-ชะลอยึดทรัพย์
สร้างกันชน-รักษาภูมิคุ้มกันศก.! 'วิรไท' แจงเหตุขอแบงก์ 'งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล-ซื้อหุ้นคืน'
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/