ป.ป.ช.เผยแนวโน้มทุจริตการลงทุนไทยเสี่ยงสูงขึ้น เหตุมีช่องใช้ดุลยพินิจ จนท.รัฐขาดจิตสำนึก ทำนักลงทุนไม่มั่นใจระบบคุ้มครอง แนะ 7 ข้อให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการเผยแพร่ข่าวแจกเกี่ยวกับผลสำรวจการรับรู้การทุจริตในประเทศไทยประจำปี 2566 โดยระบุว่าแนวโน้มการทุจริตด้านการลงทุนในประเทศไทยอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากยังมีช่องทางการใช้ดุลยพินิจ การมีอำนาจและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่ขาดจิตสำนึกด้านความซื่อสัตย์ นักลงทุนไม่อยากเสียเวลาร้องเรียน ชี้เบาะแส เพราะไม่มั่นใจ ในระบบการคุ้มครอง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนประชาสังคมในการร่วมต่อต้านการทุจริตมีไม่มากพอ
ป.ป.ช.รายงานงานต่อไปว่าข้อมูลที่มาจากการสำรวจเจาะลึกในการประเมินการรับรู้พฤติกรรมการทุจริตในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขอการลงทุนในประเทศไทย จากกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้เสีย (Interested Parties) 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ภาคเอกชนประกอบด้วย นักลงทุนชาวไทย นักลงทุนชาวต่างชาติ 2) หน่วยงานภาครัฐ บุคลากรผู้ให้บริการในหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศไทย 3) ภาคประชาชน ประกอบด้วยเยาวชน อายุระหว่าง 15 – 24 ปี และประชาชนวัยทำงาน อายุ 25 ปี ขึ้นไป 4) ภาคประชาสังคม ประกอบด้วย สื่อมวลชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรสาธารณประโยชน์ หรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)
ผลการสำรวจ พบว่า การรับรู้การทุจริตด้านการลงทุนในประเทศไทยในภาพรวม ประจำปี พ.ศ.2566 อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าคะแนนระดับการรับรู้ 3.17 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 โดยช่องทางที่ทำให้เกิดการรับรู้การทุจริตในระดับสูง คือ โซเชียลมีเดีย การรับรู้การทุจริตของหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการด้านการลงทุนในประเทศไทยมีการทุจริตในระดับปานกลาง กระบวนการขอรับการลงทุนที่เป็นความเสี่ยงมีโอกาสทำให้เกิดการทุจริต อันดับ 1 ได้แก่ความล่าช้าในการให้บริการ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเรียกรับเงินหรือสิ่งของหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อแลกกับการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น
อันดับ 2 การขออนุมัติ อนุญาต ใช้ระยะเวลานานเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาหลายชั้นหลายหน่วยงาน
อันดับ 3 การใช้ดุลยพินิจในการอนุมัติ อนุญาต เกินสมควรและไม่เป็นธรรม
อันดับ 4 การให้บริการไม่เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่ประกาศไว้ โดยไม่ชี้แจงให้ผู้รับบริการทราบอย่างชัดเจน
อันดับ 5 การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารประกอบ/ค่าธรรมเนียม/ช่องทางการให้บริการไม่ชัดเจน และอันดับสุดท้าย คือ การไม่เปิดเผยข้อมูลหรือแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและระยะเวลาในการขออนุมัติ อนุญาต ให้ผู้รับบริการทราบ
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศไทย คือ 1) ระบบการขอการลงทุนที่มีเอกสารมาก ติดต่อหลายหน่วยงานใช้เวลานานตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐยังไม่เป็นระบบที่ดี รวมทั้งระบบการควบคุมตรวจสอบที่ทำได้ไม่ครอบคลุมทั้งระบบ 2) เจ้าหน้าที่ภาครัฐผู้ให้บริการด้านการขอการลงทุนบางส่วน ขาดคุณธรรมจริยธรรมการปฏิบัติงาน 3) ผู้ขอรับบริการบางกลุ่มขาดจริยธรรมในการทำธุรกิจ 4) มีระบบอุปถัมภ์ ระบบอิทธิพลในหน่วยงาน 5) ระบบสังคมไทยในปัจจุบัน 6) การมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตของภาคประชาชน/ประชาสังคม ยังไม่มากพอ 7) การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เคร่งครัด และมีช่องโหว่ให้ผู้ใช้กฎหมายดำเนินงานแบบสองมาตรฐาน
สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้เสนอแนะแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดังนี้
1.รณรงค์ให้ภาคประชาชน ประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามการทุจริต
2.ใช้มาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction)
3.ใช้ระบบ IT ในการกำกับควบคุมและตรวจสอบระบบการขอลงทุน/ลดการใช้ดุลยพินิจ
4.เปิดเผยขั้นตอนการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ชัดเจน
5.ศึกษา ทบทวน/ปรับปรุงกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต
6.เสริมสร้างความเข้มแข็งและคุณธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
7.ประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาครัฐเรื่องการปราบปรามป้องกันการทุจริตผ่านสื่อออนไลน์
8.ปลูกฝังเยาวชนให้เห็นความสำคัญของการทุจริต ส่งเสริมค่านิยมต่อต้านทุจริต
ซึ่งการประเมินระดับการรับรู้การทุจริตดังกล่าว จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตด้านการลงทุนต่อไป