“...ประเทศไทยมีนักเรียนยากจนจำนวนมาก โดยในปีการศึกษา 2564 มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษประมาณ 1.8 ล้านคน (ตั้งแต่ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา - ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า) ซึ่งนักเรียนในกลุ่มดังกล่าวเพียงแค่ 20% ที่มีคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการเรียน และ 61% ที่มีอินเทอร์เน็ตที่บ้าน...”
‘การศึกษา’ เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาและเป็นเครื่องชี้นำสังคม ผู้ได้รับการศึกษาจึงเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพสามารถดำรงชีวิตในสังคมและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ในสังคมมีความเหลื่อมล้ำ หรือความไม่เท่าเทียมกัน (Inequality) ซึ่งเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันปรากฏในทุกๆเรื่อง ทุกๆพื้นที่ ทุกๆภาคส่วน และทุกๆเวลา รวมถึงการศึกษา จึงทำให้มีผู้เสียโอกาส แม้ว่าจะเป็นบุคคลที่มีศักยภาพและความสามารถก็ตาม ซึ่งส่งผลให้ประเทศอาจพลาดโอกาสที่จะมีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพมาพัฒนาประเทศต่อไปได้
การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จึงเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development: SDG) สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 54 ซึ่งบัญญัติให้รัฐมีหน้าที่ในการจัดให้ประชาชนไทยได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพได้มาตรฐานสากล และต้องดำเนินการให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามความถนัดของตน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางสังคมใน ด้านการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษามีความรุนแรงและชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสถานศึกษาต้องดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ส่งผลเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองในการจัดหาอุปกรณ์และการเข้าถึงบริการสื่อสารจนในบางกรณีเป็นอุปสรรคในการเข้าถึงการศึกษาสำหรับเด็กจำนวนมาก
ผลสะเทือนจากโควิด เด็ก 6.5 หมื่นคนเสี่ยงหลุดระบบการศึกษา-การเรียนรู้หยุดชะงัก
คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมาย สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคี ปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) จึงได้มีการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประเด็นการเข้าถึงทางการศึกษาของเยาวชนไทย ตลอดจนได้หารือร่วมกับคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
พบว่า ประเทศไทยมีนักเรียนยากจนจำนวนมาก โดยในปีการศึกษา 2564 มีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษประมาณ 1.8 ล้านคน (ตั้งแต่ระดับชั้นก่อนประถมศึกษา - ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า) ซึ่งนักเรียนในกลุ่มดังกล่าวเพียงแค่ 20% ที่มีคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการเรียน และ 61% ที่มีอินเทอร์เน็ตที่บ้าน
จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ยังคงมีนักเรียนจำนวนมากที่ไม่มีความพร้อมด้านฐานะทางการเงินที่ขาดแคลนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สำหรับใช้เพื่อการเรียนและมีอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่บ้านต่ำมาก
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จึงได้พิจารณาสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วเห็นควรเสนอมาตรการทางกฎหมายและมาตรการอื่น ๆ ตามมติคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2564 มีรายละเอียด ดังนี้
มาตรการทางกฎหมาย
เสนอเพิ่มบทบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติทางการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... (อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา) เพื่อกำหนดให้การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทย
โดยคณะกรรมการฯ ได้เสนอความเห็นต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. .... รัฐสภาแล้ว และคณะกรรมาธิการฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 มี.ค.2565 รับทราบข้อเสนอ และจะได้นำไปประกอบการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป
มาตรการช่วยเหลือเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
มาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ต
คาดว่าจะใช้วงเงินงบประมาณทั้งหมดประมาณ 126 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 1,512 ล้านบาทต่อปี
- ระยะเร่งด่วน
ให้สำนักงาน กสทช. พิจารณาการต่ออายุมาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตให้กับนักเรียนออกไปอีกเป็นเวลา 1 ปี
- ระยะกลาง
ให้ สพฐ. พิจารณาขอรับเงินสนับสนุนจาก กสศ. เพื่อสนับสนุนนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษที่ต้องการได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน และในระยะต่อไปให้พิจารณาแนวทางการขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กองทุน USO) มาดำเนินการ
- ระยะยาว
ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) และ กสศ. พิจารณาศึกษามาตรการสนับสนุนอินเทอร์เน็ตในระยะยาวเพื่อใช้ในการเรียนออนไลน์สำหรับนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไร้อุปกรณ์-เวลาไม่พร้อม!ปัญหาการศึกษาไทย เมื่อเด็กต้อง'เรียนออนไลน์'ยุคโควิด
มาตรการสนับสนุนคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาเพื่อการศึกษา
คาดว่าใช้งบประมาณทั้งหมดประมาณ 8,000 - 10,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.1 - ม.6) และเทียบเท่า ที่มีฐานะยากจนและยากจนพิเศษ ตามหลักเกณฑ์ของ กสศ. ประมาณ 1.6 ล้านคน (5,000 บาทต่อเครื่อง)
- ระยะเร่งด่วน
สนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยสนับสนุนเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ขนาดพกพาเพื่อใช้ในการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ เพื่อให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนสามารถมีอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ได้มากขึ้น
อาจมอบหมายให้ ศธ. หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) เพื่อพิจารณานโยบายทางภาษีและมาตรการอื่น ๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนการเรียนรู้เทคโนโลยีในทุกมิติ เช่น การลดหย่อนภาษีอุปกรณ์บริจาคที่มีความครอบคลุมมากขึ้น
และให้สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยดำเนินการรวบรวมความเห็นและข้อเสนอแนะมาตรการที่จูงใจของภาคเอกชน และนำเสนอรัฐบาลเพื่อประกอบการพิจารณาในการออกมาตรการเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
- ระยะกลาง
ให้ กสศ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการสนับสนุนเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ขนาดพกพาเพื่อใช้ในการเรียนออนไลน์สำหรับเด็กนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษแก่นักเรียนทุกคนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.1 - ม.6) และเทียบเท่า และให้ สพฐ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมสนับสนุนการดำเนินการตามพื้นที่ที่แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบ
โดยยึดหลักการที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและหลักพื้นที่ของสุขภาวะและความจำเป็นของเด็กแต่ละกลุ่มเป็นสำคัญ สำหรับการสนับสนุนของ อปท. นั้น กระทรวงมหาดไทย (มท.) อาจพิจารณาออกระเบียบเพื่อกำหนดให้สามารถนำเงินสะสมมาใช้ในการดำเนินการเฉพาะกรณีดังกล่าวได้
รวมทั้งให้กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ร่วมจัดทำแอปพลิเคชันเสริมประกอบการเรียนออนไลน์ที่สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน
นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาสนับสนุนค่าไฟฟ้าเพื่อการเรียนการสอนออนไลน์สำหรับนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษร่วมด้วย
- ระยะยาว
ให้ ศธ. พิจารณาแนวทางการขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อเป็นหลักประกันในการจัดให้มีอุปกรณ์ให้แก่นักเรียนยากจนและยากจนพิเศษในการเรียนการสอนออนไลน์อย่างยั่งยืน โดยเป็นมาตรการถาวรและสามารถใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยเงื่อนไขในการสนับสนุนคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาเพื่อการศึกษาต้องเป็นไปอย่างรัดกุม .
มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกนักเรียนที่ได้รับสิทธิเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ควรให้สิทธิแก่นักเรียนทุกคนในระดับประถมศึกษาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ป.1 - ม.6) และเทียบเท่าที่มีฐานะยากจนและยากจนพิเศษ ตามเกณฑ์ของ กสศ.
โดยยึดหลักการ Student-Centric ที่เป็นการให้เงินอุดหนุนแก่นักเรียนโดยตรง อาจให้ในลักษณะ Voucher1 หรือ e-voucher ผ่านแอปพลิเคชันของรัฐเพื่อให้ผู้ปกครองและนักเรียนนำไปใช้ซื้อคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาเพื่อการศึกษาได้โดยตรงตามความต้องการของนักเรียนแต่ละคนในแต่ละระดับชั้น และรัฐควรมีบทบาทในการกำหนดประเภทและมาตรฐานของอุปกรณ์2 ประเภทของซอฟท์แวร์ที่บรรจุอยู่ในเครื่อง รวมถึงเงื่อนไขในการรับประกันของผู้จำหน่ายให้เหมาะสมกับการเรียนในแต่ละระดับชั้น
ครม.รับทราบ 2 มาตรการลดความเหลื่อมล้ำการศึกษา หนุนอินเทอร์เน็ต-คอมพ์ให้ นร.-ครู
มาตรการสำหรับครู
ให้ ศธ. พิจารณาดำเนินการสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา เพื่อการศึกษาให้กับครูผู้สอนควบคู่ไปกับการสนับสนุนเด็กนักเรียนที่มีฐานะยากจนและยากจนพิเศษ
เนื่องจากในปัจจุบันครูผู้สอนมีภาระที่ต้องแบกรับจากการสอนในรูปแบบออนไลน์ทั้งค่าใช้จ่ายในด้านอุปกรณ์การสอนและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น อินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากความรับผิดชอบของทางราชการ
ทำให้การเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์ของครูผู้สอนอาจไม่ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือโรงเรียนในชนบทที่มีความขาดแคลนทั้งบุคลากร งบประมาณ และการเข้าถึงทางเทคโนโลยี
ทั้งหมดนี้ คือมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ที่คณะกรรมการดำเนินการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วนเสนอ สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคี ปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) เสนอต่อคณะรัฐมนตรี และรับทราบ เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2565 นี้ โดยได้มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป