แบกขาดทุนปีละ 4 พันล.! กทม.ปรับค่าโดยสาร 'สายสีเขียว' ตลอดสายไม่เกิน 104 บาท

bts 15 01 21 pic

ผู้ว่าฯกทม. ลงนามประกาศอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว เก็บเริ่มต้น 15 บาท ปรับขึ้นสถานีละ 3 บาท ค่าโดยสารไม่เกิน 104 บาทตลอดสาย เผยหากครม.เห็นชอบแก้ไขสัญญากับเอกชนจะลดค่าโดยสารเหลือ 65 บาทตลอดสาย

..................

เมื่อวันที่ 15 ม.ค. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ลงนามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การกำหนดอัตราค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยมีสาระสำคัญ ได้แก่

1.ให้จัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จากสถานีห้าแยกลาดพร้าว (N9) ถึงสถานีคูคต (N24) จำนวน 16 สถานี ในอัตรา 15-45 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี

2.ให้จัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตามแนวเส้นทางสัมปทาน แบ่งเป็นสายสุขุมวิท จำนวน 17 สถานี จากสถานีอ่อนนุช (E9) ถึงสถานีหมอชิต (N8) และสายสีลม จำนวน 6 สถานี จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ (W1) ถึงสถานีสะพานตากสิน (S6) รวมจำนวน 23 สถานี และส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงที่ 1 ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร จากสถานีกรุงธนบุรี (S7) ถึงสถานีวงเวียนใหญ่ (S8) จำนวน 2 สถานี ตามตารางค่าโดยสารที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กำหนด หรือ 16-44 บาท

3.ให้จัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท ระยะทาง 5.25 กิโลเมตร จากสถานีบางจาก (E10) ถึงสถานีแบริ่ง (E14) จำนวน 5 สถานี และส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ จากสถานีสำโรง (E15) ถึงสถานีเคหะสมุทรปราการ (E23) จำนวน 9 สถานี ในอัตรา 15-45 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี

4.ให้จัดเก็บค่าโดยสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายสายสีลม ระยะทาง 5 กิโลเมตร จากสถานีโพธิ์นิมิตร (S9) ถึงสถานีบางหว้า (S12) จำนวน 4 สถานี ในอัตรา 15-24 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/สถานี

ทั้งนี้ ให้จัดเก็บค่าแรกเข้าเพียงครั้งเดียว และให้จัดเก็บค่าโดยสารตลอดเส้นทางไม่เกิน 104 บาท ตามตารางแนบท้ายประกาศ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2564 เป็นต้นไป

bts 15 01 21 1

ขณะเดียวกัน กทม.ออกคำชี้แจงการปรับอัตราค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า เดิมทีกทม.จะอัตราค่าโดยสารของโครงการสายสีเขียวสูงสุดตลอดสายจะอยู่ที่ 158 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ.2564 แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนภายใต้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 กทม.จึงปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดตลอดสายอยู่ที่ 104 บาท

อย่างไรก็ตาม การปรับอัตราค่าโดยสารดังกล่าว จะทำให้กทม.มีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท เมื่อนับรวมตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 จะมีผลขาดทุนถึงประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน กทม. อยู่ระหว่างการนำเสนอแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งหากมีการเห็นชอบแล้ว การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้จะช่วยลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดจาก 104 บาท เป็น 65 บาท ลดลง 39 บาท และแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม. ได้ ซึ่งประกอบด้วย ภาระหนี้สินเดิมที่เกิดขึ้นจากการรับโอนโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งในส่วนเงินต้นค่างานโยธาที่ประมาณ 55,000 ล้านบาทและภาระดอกเบี้ยในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท ค่าลงทุนในงานระบบ (E&M) ในส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 20,000 ล้านบาท ภาระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถค้างจ่ายอีกประมาณ 9,000 ล้านบาท และภาระผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 รวมอีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ เอกชนยังต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าที่คาดการณ์ตอนเจรจา

“กทม. ยืนยันว่า ภายใต้อำนาจของ กทม. จะพยายามแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างดีที่สุดเพื่อให้ลดผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดย กทม. จะอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับจากการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อรัฐบาล เพื่อที่จะให้สามารถปรับอัตราค่าโดยสารให้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายลดลงมาเหลือ 65 บาทโดยเร็วที่สุด” คำชี้แจงระบุ

bts 15 01 21 2